ตอนที่ 8 คิดเล่นงานจางชิงหนี่ว์
ตอนที่ 8 คิดเล่นงานจางชิงหนี่ว์
รุ่งอรุณวันใหม่มาเยือนอีกครั้ง เหล่าวิหคต่างขับขานบทเพลงอันไพเราะ ร่างบอบบางซึ่งเมื่อคืนพำนักอยู่ในตำหนักเหวินหนิง ยังคงปิดเปลือกตาแน่น ด้วยเพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตาให้หลับลงนั้นยากยิ่งนัก
ทว่าวันนี้มีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด สาวใช้ข้างกายของคุณหนูจางต่างก็มีสีหน้ามิสู้ดีนัก “คุณหนูเจ้าคะ”
มู่เสียนสาวใช้ผู้นี้ดูแลรับใช้นายสาวยามเช้าเสมอ แต่วันนี้คุณหนูของนางกลับมีจ้ำสีแดงขึ้นตรงลำคอ เมื่อคุณหนูพลิกกายจึงได้เห็นรอยนี้เข้า ด้วยความร้อนใจจึงรีบเขย่าตัวของเจ้านายให้ตื่นเสียที
ส่วนลี่จูเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสำรับในยามเช้า ด้วยเพราะนางกำนัลยกมาถึงหน้าห้องนอนแล้ว เช่นนั้นสาวใช้ผู้นี้จึงออกไปรับเอาสำรับเข้ามาเสียก่อน เกรงว่าจะกลายเป็นที่ขบขันของเหล่านางกำนัลทั้งหลาย
“อื้ม มีอะไร” เพราะนอนไม่หลับจึงรู้สึกอ่อนเพลียอยู่มาก นางค่อย ๆ กะพริบเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมา แล้วจู่ ๆ นึกเรื่องเมื่อคืนนั้นออกว่าเกิดอันใดขึ้นมากันแน่ มือเรียวรีบกุมใบหน้าซึ่งกำลังเห่อร้อนขึ้นมิย่างดื้อ ๆ
“คุณหนูมีไข้หรือไม่เจ้าคะ เหตุใดใบหน้าจึงแดงเช่นนี้” ลี่จูสอบถาม นางวางสำรับลงบนโต๊ะแล้ว
ส่วนมู่เสียนเดินเข้าไปหลังฉากกัน กำลังรวบชุดที่คุณหนูพาดเอาไว้เมื่อคืนออกมา นางเร่งฝีเท้าหน้าตาตื่นตระหนก “เมื่อครู่คุณหนูยังดี ๆ อยู่เลยจะมีไข้ได้อย่างไรกัน” แววตาของมู่เสียนเป็นห่วงจางชิงหนี่ว์ยิ่งนัก
นางวางอาภรณ์สีสวยหวานลงบนเตียง จากนั้นจึงยกมือขึ้นทาบลงบนหน้าผาก “ตายแล้ว มีไข้จริง ๆ ด้วย”
จางชิงหนี่ว์เลิ่กลั่กเข้าให้เสียแล้ว นางรีบยกมือขึ้นพร้อมกับส่งเสียงอู้อี้ออกมาแผ่วเบา “ข้าไม่ได้เป็นอะไร สบายดี” จะบอกพวกนางอย่างไรดี เมื่อคืนนี้เป่ยเฟยเทียนจุมพิตดูดดึงซอกคอของนาง ยังเอ่ยปากว่ากลิ่นกายของนางช่างหอมละมุน ยั่วยวนจนเขาอดใจไม่ไหว
เช่นนั้นแล้วจึงกลายเป็นว่า ลำคอของนางถูกเขาลุกล้ำ กลืนกินไปจนได้ แม้จะพยายามขัดขืนแต่แล้ว ห้วงอารมณ์วาบหวามซาบซ่านนั้น มันนำพานางให้คล้อยตามเขาไปในที่สุด ยังโชคดีเขาหักห้ามใจมิให้เกินเลยไปกว่านี้ มิเช่นนั้นข้าวสารอาจกลายเป็นขาวสุกไปแล้วก็ได้
“สบายดีอันใดกันเจ้าคะ หน้าแดงขนาดนี้ ยังมีรอยช้ำอีกด้วย หรือว่าเมื่อคืนมีแมลงกัดเจ้าคะ” มู่เสียนยังคงกังวลใจ จ้องมองคุณหนูด้วยความเป็นห่วง
จางชิงหนี่ว์เกือบหลุดปาก แต่ก็อดหัวเราะเบา ๆ เล็กน้อย “มีแมลงเข้ามากัดข้า เลยเป็นจ้ำขึ้นมา” นางแสร้งโกหกพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กน้อย
“ถ้าเป็นแมลง พวกบ่าวจะได้ไปขอยาทามาให้เจ้าค่ะ” ลี่จูกล่าวเสริมเข้าให้ สีหน้าจริงจังยิ่งนัก อีกทั้งเกรงว่าจะทิ้งรอยช้ำนี้ให้ใครต่อใครได้พบ จึงคิดว่าขอยาท่านหมอมาทาจะดีที่สุด รอยช้ำจะได้จาง
“ไม่ต้องรบกวนท่านป้าฮองเฮาแล้ว นี่ก็สมควรแก่เวลาที่ข้าจะต้องกลับบ้านเสียที” จางชิงหนี่ว์อยากกลับบ้านเกรงว่าท่านพ่อ กับท่านแม่จะเป็นห่วงแล้วกังวลใจขึ้นมา
จางชิงหนี่ว์กางแขนทั้งสองข้างออก สาวใช้นามว่าลี่จูสวมอาภรณ์ให้นายสาวเป็นที่เรียบร้อย มู่เสียนประคองคุณหนูเดินมายังโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะตัวนี้มีเครื่องประทินโฉมมากมาย สาวใช้หยิบหวีไม้แล้วค่อย ๆ หวีเส้นผมยาวสลวยให้นายสาว
จากนั้นจึงรวบผมครึ่งหนึ่งแล้วจัดแต่งทรง เสียบปิ่นหยกลวดลายงดงามเข้ากับกลุ่มผมทันใด ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เอียงใบหน้าสำรวจคร่าว ๆ จากนั้นจึงหยิบตลับแป้งขึ้นแล้วทาลำคอบริเวณมีรอยจ้ำนั้นให้มันดูเจือจางไปบ้าง
“เรียบร้อย” นางระบายยิ้มอ่อน ใบหน้าของนางมิได้แต่งแต้มทาหน้าทาปาก กลับปล่อยให้ใบหน้านั้นเผยผิวพรรณผุดผาดไร้เครื่องประทินโฉมใด ๆ
“คุณหนูมิแต่งหน้าหรือเจ้าคะ” มู่เสียนสงสัยยิ่งนัก ปกติแล้วคุณหนูของนางมิใช่คนไม่รักสวยรักงาม ชมชอบประทินโฉมอยู่เสมอ
“ข้าขี้เกียจ อยากกลับไปพบท่านพ่อ ท่านแม่เร็ว ๆ” ใช่เพราะหากไม่ติดว่าเมื่อวานนี้มันดึกแล้วนางยังต้องเร่งรีบดำเนินแผนการ เกรงว่าวันนี้นางกับองค์ชายสามได้กลายเป็นคู่หมั้น
จางชิงหนี่ว์รับสำหรับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นนางจึงเข้าเฝ้าฮองเฮาอีกครั้งในยามเช้า หลังจากอำลาท่านป้าฮองเฮาเป็นที่เรียบร้อย นางจึงขึ้นรถม้าแล้วได้ออกเดินทางมาจวนตระกูลจาง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
จางชิงหนี่ว์ลงจากรถม้า สาวใช้ทั้งสองประคองผู้เป็นนายลงเป็นที่เรียบร้อย หน้าประตูจวนของนางปรากฏร่างสูงโปร่งของชายผู้หนึ่ง ยืนปั้นหน้ายิ้มแย้ม แล้วจึงสาวเท้าเข้ามาให้นางคล้ายว่าจงใจดักรอมาเนิ่นนาน
“คารวะองค์ชายสาม” เหตุใดเขาจึงมายืนอยู่หน้าประตูเช่นนี้ มีจุดประสงค์อันใดกันแน่ จางชิงหนี่ว์ได้แต่สงสัย นางไม่อยากให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนที่ผ่านมา เห็นสีหน้าของเขาแล้ว นางอยากเอากระบี่เฉือนเนื้อเถือหนังเขายิ่งนัก
“หนี่ว์เอ๋อร์ ข้ามารอเจ้าตั้งนาน” เขายิ้มเยาะเล็กน้อย พร้อมกับเดินเข้ามายืนเคียงข้างกับสตรีที่เขามิปรารถนา แต่ก็ต้องทนฝืนแย้มยิ้มเมื่อพบหน้า รู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก แต่ว่าวันนี้นางดูเรียบร้อยขึ้นสุขุม เยียบเย็นและสง่างาม ทำให้เขาต้องมองนางด้วยความแปลกใจ
“องค์ชายสามมีธุระอันใดหรือเจ้าคะ” ใครอยากพบเขาในยามนี้กัน เหตุใดทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม หรือเป็นเพราะว่านางชิงลงมือก่อน ทุกอย่างมันจึงเปลี่ยนไป ชะตากำลังเปลี่ยนแล้วเช่นนี้จะทำเยี่ยงไรกัน
“เหตุใดเจ้าต้องห่างเหินกับข้าด้วย” เขายื่นมือคิดจะกอบกุมมือนาง จะได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน แต่แล้วนางกลับเดินถอยหลังห่างออกไป ท่าทางเหมือนรังเกียจเขาเสียอย่างนั้น ทำให้องค์ชายสามชักสีหน้าไม่พอใจ
“ข้าอยากพบท่านพ่อ กับท่านแม่ หลีกทางให้ด้วยเจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ส่งเสียงดุดัน แววตาไม่เป็นมิตรกับอีกฝ่ายแล้ว ท่าทางเย่อหยิ่งยิ่งนัก เมื่อเหลือบตามององค์ชายสามอย่างไม่พอใจ
เป่ยหรงจิ่นยกมือขึ้นคลึงขมับ เห็นท่าทางเยือกเย็นเช่นนี้รู้สึกเหมือนอยากเอาชนะ เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ นาง แต่แล้วได้ยินน้ำเสียงคำรามของผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาเข้าให้
“ถอยให้ห่างจากนาง เจ้าอย่าได้คิดล่วงเกินว่าที่พี่สะใภ้เป็นอันขาด” ชายหนุ่มกระแทกเสียงตอกหน้าน้องชายผู้นี้อย่างเดือดดาล
“คู่หมั้นก็ยังไม่ได้เป็น พี่ใหญ่เอาอะไรมามั่นใจว่านางจะเป็นพี่สะใภ้ของข้า!” องค์ชายยามกดยิ้มเล็กน้อย ถึงอย่างไรวันนี้จางชิงหนี่ว์ก็ไม่ได้กลายเป็นคู่หมั้นของไท่จื่ออย่างแน่นอน แววตาของเขามั่นอกมั่นใจยิ่งนัก นั่นเพราะท่านตารับปากเป็นมั่นเหมาะจะส่งเสริมเขาถึงที่สุด และวันนี้นางจะกลายเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงเหม็นเน่าฉาวทั่ววังหลวง
“หนี่เอ๋อร์ เข้าบ้านเถิดอย่าได้ลดตัวมาพูดจากับคนพรรคนี้เลย” เป่ยเฟยเทียน หากไม่ติดว่ามีสายเลือดเดียวกัน เขาคงอยากเอาชีวิตเจ้าน้องชายผู้นี้ไปตั้งนานแล้ว ทำเรื่องเลวทรามชั่วช้ายิ่งนัก
“พี่ใหญ่นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ” เป่ยหรงจิ่นโกรธจนควันออกหู เขาส่งเสียงก้าวร้าวอย่างไม่ยินยอม แววตาจดจ้องไม่วางตา แม้ชายผู้นี้ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าจะเป็นพี่ชาย แต่เขาก็หาได้สนใจไม่
ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา แววตาของเขาสาดประกายอำมหิต กดยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะย่างสามขุมเข้าไปหาน้องชายผู้นี้อย่างองอาจ เขากระซิบกระซาบเบา ๆ ขึ้นมาอย่างจงใจ “ตาแก่เสียนนั่นมีจุดประสงค์อะไร วันนี้เจ้าคิดว่าแผนของเจ้าจะใช้การณ์ได้หรือไม่!”
“พี่ใหญ่!” องค์ชายสามตะคอกเสียงดัง แววตาแข็งกร้าวไม่ลดละ มือหนากำหมัดแน่น
“อะไรกัน ข้ายืนใกล้ ๆ เจ้าเช่นนี้เหตุใดจะต้องพูดเสียงดังด้วยเล่า เบา ๆ ก็ได้” เป่ยเฟยเทียนหยอกเย้าน้องชายต่างมารดา ท่าทางของเขายียวนกวนประสาทยิ่งนัก พร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เมื่อพูดจบ
“คอยดูเถิดสักวันข้าจะต้องชนะท่านให้ได้” องค์ชายสามกระฟัดกระเฟียดหัวเสียยิ่งนัก ถูกพี่ชายเยาะเย้ยเช่นนี้เป็นประจำ ต่อกรทีไรไม่เคยสำเร็จสักครา เขาจึงปรามาสเอาไว้ล่วงหน้า สักวันหนึ่งเขาจะต้องกำชัยเหนือกว่าให้จงได้
เป่ยเฟยเทียน ยืนกอดอก พร้อมกับรอยยิ้มดุจปีศาจ สีหน้าเบิกบานไม่น้อยนัก แววตาดำสนิทแฝงไปด้วยความอำมหิตในดวงตาคมกริบคู่นี้ กล่าวน้ำเสียงติดตลกขบขัน “ข้าจะตั้งตารอ ฮ่า ๆ ๆ”
องค์ชายสามกำลังจะเดินไปยังอาชาที่เขาเร่งควบม้า มาดหมายจะทำให้จางชิงหนี่ว์เสียหาย พร้อมกับมีแผนร้ายเพราะเขามาดักรอนางเช่นนี้ ย่อมกลายเป็นข่าวให้ร่ำลือกันเป็นแน่ แต่ทว่าเขากลับถูกหญิงสาวเอ่ยเรียกเสียก่อน จึงได้หันหน้ากลับมาอีกครั้งด้วยแววตาสงสัย
“หนี่ว์เอ๋อร์เปลี่ยนใจใช่หรือไม่” แม้มีความหวังแค่เศษเสี้ยวยังดีกว่า
“องค์ชายสามคิดผิดแล้วเจ้าค่ะ ข้าเพียงจะบอกว่า ต่อไปนี้อย่าได้มาเหยียบจวนตระกูลจางอีก หวังว่าองค์ชายสามคงจะเข้าใจ” น้ำเสียงของจางชิงหนี่ว์และสีหน้าช่างดูโอหังอวดดียิ่งนัก นางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาลุ่มลึกยากคาดเดา
องค์ชายสามหน้าชาตัวชาไปหมด คาดไม่ถึงว่าฝีปากนางจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาสะบัดแขนเสื้อหุนหันออกไปอย่างคนอารมณ์ไม่ดี จางชิงหนี่ว์กดยิ้มเล็กน้อย จึงได้เอ่ยกับบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าจวนน้ำเสียงก้องกังวานยิ่งนัก
“เอาน้ำสะอาดมาชะล้างความสกปรกเสีย ขัดให้สะอาดอย่าได้หลงเหลือคราบสกปรก คราบเสนียด รกหูรกตาติดหน้าจวนอีก!”