ตอนที่ 6 ข้าคิดถึง
ตอนที่ 6 ข้าคิดถึง
เมื่อขันทีหลิวแนะนำทางลัด เช่นนั้นแล้วเสียนเฟยจึงยิ้มออกมาในที่สุด นางมีแผนการจัดการทำลายชื่อเสียงของจางชิงหนี่ว์แล้ว มีหนทางลัดนี้ รับรองว่าคงจะประวิงเวลาหรืออาจยกเลิกราชโองการก็เป็นได้ นางกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างเบิกบานใจ พร้อมกับยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ
“คืนนี้คงทำให้ข้านอนหลับฝันดี” นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถูกนางกำนัลประคองให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “จิ่นเอ๋อร์เร่งไปพบท่านตาเจ้าเสีย แล้วบอกความที่แม่สั่งเจ้า หวังว่าเจ้าคงไม่โง่เขลาจนเกินไป”
“ขอรับท่านแม่” องค์ชายสามหงุดหงิดใจยิ่งนัก ดึกดื่นเช่นนี้องครักษ์คนสนิทก็มีเหตุใดต้องเป็นเขาควบม้าไปกลางค่ำกลางคืนด้วยเล่า มารดาจะให้เขาลำบากลำบนถึงไหนกันแน่ ให้เขานอนตีพุงอยู่ในตำหนักกับเหล่านางกำนัลมิได้หรือไร
เป่ยหรงจิ่น ค่อนขอดผู้เป็นมารดาเสียยกใหญ่ แต่กระนั้นก็ทำตามคำสั่งของมารดามิอาจละเลยสักครึ่งคำ เขาเดินมายังคอกม้าของตำหนักฉางอัน จากนั้นจึงกระโดดขึ้นนั่งบนอานม้าแล้วกระตุกเชือกให้มันไปตามทิศทางที่เขาวางไว้
ส่วนสตรีที่เขาหมายปองนั้น นางคือบุตรสาวของเจ้าเมืองจิงเป่ย อยู่ใกล้ ๆ กับเมืองหลวง เช่นนั้นแล้วเขาจึงแอบลักลอบไปพบกับนางบ่อยครั้ง ยังมีค่ำคืนวสันต์ด้วยกันอีกด้วย
เพราะนางทำให้เขาหลงใหลอยากมอบตำแหน่งพระชายาให้ แต่ฐานะมารดาของยอดดวงใจนั้นต่ำต้อยจนเกินไป มีฐานะเป็นแค่ลูกสาวอนุ เรื่องนี้เขาชอกช้ำใจนัก จะส่งเสริมผลักดันให้นางรับตำแหน่งพระชายาได้อย่างไรกัน
เมื่อชายหนุ่มควบม้าเสียงดังกึกก้อง เดินทางมาได้เกือบสองก้านธูปก็ถึงจวนท่านตาแล้ว เขาเคาะประตูหันซ้ายที ขวาที ว่ามีใครติดตามมาหรือไม่ เขาย่อมระมัดระวังตัว เกรงว่าจะมีคนคิดร้ายวางแผนซุ่มโจมตีเขาลับหลัง ทำตัวราวกับเป็นสุนัขลอบกัดก็คงจะเป็นน้องสี่ หรือองค์ชายสี่เป่ยซู่สือพระโอรสของโจวกุ้ยเฟย
ทว่าผู้ที่แอบลอบติดตามองค์ชายสามมาตั้งแต่ต้น ชายผู้นี้สวมชุดดำอำพรางใบหน้าด้วยหน้ากากปีศาจสีแดงช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง ภายใต้หน้ากากปีศาจนี้จ้องมองไปยังน้องชายต่างมารดา ข้างกายมีชายชุดดำอีกสองคนติดตามดูแลเจ้านายสูงศักดิ์มิห่างกาย
“ไท่จื่อองค์ชายสามมาจวนตระกูลเสียนดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ” หนึ่งในองครักษ์กล่าวขึ้น เมื่อพวกเขาอยู่บนต้นไม้สูงใหญ่ แววตามองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่ม ซึ่งยืนหันซ้ายที ขวาที ท่าทางเลิ่กลั่กคล้ายหวาดระแวง
“พวกเจ้าแอบเข้าไป อย่าให้หรงจิ่นจับได้เล่า” แม้ว่าน้องชายผู้นี้มีวรยุทธ์ไม่สูงส่ง แต่เรื่องเลวทรามชั่วช้าล้วนยกให้เป็นอันดับหนึ่ง
“พ่ะย่ะค่ะไท่จื่อ” เมื่อพวกเขาได้รับคำสั่ง จึงเร้นกายทะยานอย่างเงียบเชียบเข้าไปจวนตระกูลเสียน โดยอยู่บนหลังคา พลันองค์ชายรองไม่รู้ว่าติดตามพี่ชายมาตั้งแต่เมื่อไร เขายกมือขึ้นสะกิดพี่ชายเบา ๆ
“เจ้ามิอยู่ดูแลท่านแม่เล่า” เขาย่อมรับรู้การมาของผู้เป็นน้องชาย
“ก็ข้าเป็นห่วงพี่ใหญ่นี่นา ให้ข้าเล่นงานเจ้าสามหักแขนขามันดีหรือไม่” เขามิพอใจน้องชายผู้นี้ยิ่งนัก มักสร้างแต่ปัญหามิเคยทำคุณงามความดีมีแต่แค่มีใบหน้าหล่อเหลา เรื่องอื่น ๆ มิเคยได้ความ ซ้ำยังมักแก่งแย่งชิงดีทำตนเป็นปรปักษ์อยู่เสมอ
“ช้าก่อน อย่าเพิ่งใจร้อนไป ดูก่อนว่าหลังจากนี้เจ้านั่นจะทำสิ่งใดกันแน่” เป่ยเฟยเทียนมีความกังวลกลัดกลุ้มใจอยู่แล้ว แม้รู้ทั้งรู้ว่าที่ผ่านมานั้นจางชิงหนี่ว์ชื่นชอบน้องสามยิ่งนัก แต่คราวนี้ในเมื่อโอกาสเป็นของเขาแล้ว เช่นนั้นเขาจะกุมของใจของนางให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนองค์ชายรองนั่งชันเข่าเอนแผ่นหลังพิงกับลำต้นริมฝีปากคาบดอกหญ้าต้นเล็ก ๆ เอาไว้ ท่าทางของเขาราวกับเป็นบุรุษเสเพลมิเป็นโล้เป็นพาย แต่ทว่ามิอาจดูเบาสติปัญญาของน้องชายผู้นี้ได้ หากไม่สลักสำคัญ หรือเก่งกล้ามากความสามารถ จะได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์วังหลวงได้อย่างไรกัน
“พี่ใหญ่ก็ใจดีเช่นนี้ เจ้านั้นมันถึงได้ลำพองตนยิ่งนัก” เขาถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย หากเป็นเขาจะถลกมันเสีย ชอบวุ่นวายจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง ที่ผ่านมาเขามักหลับตาข้างหนึ่งมองไม่เห็นว่าเป่ยหรงจิ่น กระทำสิ่งใดลงไปบ้าง หากแต่บัดนี้ เขาจะไม่ละเว้นมันอีกต่อไปถ้าทำให้จางชิงหนี่ว์เดือดร้อน
ไม่ถึงครึ่งก้านธูป องค์ชายสามรีบออกมาจากจวนตระกูลเสียนแล้ว องครักษ์ทั้งสองเมื่อครู่ได้ยินชัดถ้อยชัดคำทีเดียว ว่าองค์ชายสามนั้นต้องการให้ใต้เท้าเสียนปล่อยข่าวลือ เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองกำหมัดแน่นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างกรุ่นโกรธ
เป่ยหรงจิ่นหารู้ไม่ว่าแผนการของตนถูกพี่ชายต่างมารดาทราบเข้าให้เสียแล้ว ด้วยเพราะไท่จื่อเพ่งเล็งน้องชายผู้นี้เอาไว้ตั้งแต่ต้น องครักษ์ทั้งสองรีบกล่าวทูลรายงานทันที
“เลวทรามชั่วช้ายิ่งนัก” เป่ยเฟยเทียนสบถด้วยความไม่พอใจ เขาพ่นลมออกจมูกอย่างเดือดดาล “เมื่อครู่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาทำงานมิเคยพลาด เข้าจวนตระกูลเสียนย่อมต้องหาของบางอย่างติดมือมาด้วย โชคดีนักในนั้นมีรายชื่อของพรรคพวกที่รับสินบนของใต้เท้าเสียน
“ดียิ่งนัก คอยดูสิว่าพรุ่งนี้คนพวกนั้นจะทำหน้าอย่างไร” แววตาของเป่ยเฟยเทียนดุดันขึ้นมาราวกับว่าต้องการสังหารผู้ใดสักคนในยามนี้
องค์ชายรองยกมือขึ้นมาสะกิดพี่ชายเบา ๆ อีกครั้งว่า “พี่ใหญ่เรื่องที่ท่านฝันมันจะเป็นจริง ๆ หรือ ท่านเชื่อเรื่องความฝันด้วยหรือขอรับ” เขายังครุ่นคิดไม่เลิกรา
เมื่อสองวันที่แล้วพี่ชายของเขาพลัดตกจากหลังม้าแล้วถูกเชือกม้าพันที่ข้อเท้าเอาไว้ เพราะว่าอาชาตัวนี้นั้นมันพยศยิ่งนัก เป็นม้าศึกต่างเมืองมอบมาให้เป็นของบรรณาการ เจ้ามาพยศตัวนี้วิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก ลากร่างของพี่ชายไปกระแทกต้นไม้พอดี เป็นเหตุให้พี่ชายของเขาหมดสติไปหนึ่งวัน
ยามเมื่อฟื้นขึ้นมาก็มีอาการกลัดกลุ้มและกังวลใจแปลก ๆ เกี่ยวกับความฝันที่ได้เห็น ทำให้เขาร่ำไห้เสียอกเสียใจนักหนา ที่ไม่อาจช่วยชีวิตของจางชิงหนี่ว์เอาไว้ได้
“ข้าก็หวังว่าเรื่องเลวร้ายมันคงไม่เกิดขึ้น” ความฝันนั้นมันเลวร้ายต่อเขายิ่งนัก เมื่อเขาได้พบกับจางชิงหนี่ว์ในวันที่นางปลิดชีวิตตัวเองด้วยผ้าขาว เมื่อฟื้นขึ้นมาจากห้วงฝันร้ายนี้ ทำให้เขาหวาดกลัวว่าจะเสียนางไปถึงทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้นางมาครอบครอง
“พี่ใหญ่ก็คิดเป็นจริงเป็นจัง มีข้าอยู่ทั้งคนไม่ให้เรื่องที่ท่านฝันมันเกิดขึ้นมาแน่” แววตาของเป่ยเฟยหยางนั้นดูเด็ดเดี่ยวสีหน้ามั่นอกมั่นใจนักหนา เขาหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นพี่ชายพยักหน้าแล้วส่งยิ้มตอบกลับ
ส่วนทางด้านหญิงสาวนอนพลิกไปพลิกมาหลายครั้งหลายหน เพราะนอนไม่หลับหวาดกลัวว่า ถ้าหากหลับแล้วจะกลับไปอยู่ในที่ ที่จากมาหรือไม่ สาวใช้ทั้งสองนอนพักอยู่ด้านนอกห้องรับรองนี้ จากนั้นด้วยความว้าวุ่นใจจึงได้หย่อนปลายเท้าลงจากเตียงนอน เพื่อจะสวมรองเท้า
จู่ ๆ เงาวูบหนึ่งทะยานเข้ามาทำให้นางตระหนกตกใจ จนเกือบเผลอหลุดอุทานออกมาเสียอย่างนั้น ฝ่ามือหนาปิดปากนางเอาไว้ทัน แต่นางดิ้นรนขัดขืนมิยอมจำนนแต่โดยดี
“หนี่ว์เอ๋อร์ ข้าเอง” เขารีบทะยานเร่งกลับตำหนักรับรองอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะอยากมาดูว่านางนอนหลับสนิทหรือไม่ก็เพราะว่าเป็นห่วงนางสุดหัวใจ
“ทำไมกลับมาอีกเล่า มินอนพักผ่อนหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงคุ้นเคยนี้ ทำให้นางหยุดดิ้น แต่ทว่านางไม่เข้าใจเขายิ่งนัก เมื่อเกือบครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ เขาเร่งรีบออกไปอย่างเร่งด่วน นางก็ไม่ได้ถาม เห็นเขารีบร้อนออกปานนั้นคงมีเรื่องด่วนกระมัง
“ก็ข้าคิดถึงเจ้าอย่างไรเล่า” ว่าแล้วเขากระชับร่างบอบบางของนางเข้ามาแนบอกโอบกอดนางด้วยความปรารถนาอันลึกล้ำ “คิดถึงเจ้ามาก คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก ข้าไม่อยากเสียเจ้าไปหนี่ว์เอ๋อร์ สัญญากับข้าได้หรือไม่ว่าเจ้า จะไม่จากข้าไปไหนอีกแล้ว”
แม้ว่านางจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่ก็ตอบตกลงเพราะยามนี้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก จนทำให้ก้อนเนื้อข้างซ้ายนั้นเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างดื้อ ราวกับเด็กสาวไร้เดียงสาเสียอย่างนั้น
เมื่อชายหนุ่มอดใจไม่ไหว จึงประทับริมฝีปากเข้าที่กลีบปากนุ่มนิ่มอย่างอ่อนโยน ปลายลิ้นอุ่นร้อน ละเลียดชิมกลีบปากนุ่มรัญจวนอย่างทะนุถนอม
หญิงสาวเผยอปากกอบโกยลมหายใจเข้า ทำให้เขาแทรกปลายลิ้นกระหวัดรัดรึงอย่างเอาแต่ใจ ช่วงชิงเวลาอันมีค่าแสนสุขนี้เอาไว้ ทว่ามันทำให้จางชิงหนี่ว์รู้สึกถึงกระแสอบอุ่นไหลวนอยู่ในหัวใจดวงนี้
ชายหนุ่มผละออกจากริมฝีปากอย่างแสนเสียดาย เขาโอบร่างบอบบางเอาไว้ ด้วยความปีติล้นทะลักหัวใจ เขาล้วงเข้าไปในสาบเสื้อแล้วหยิบเอากำไลหยกขึ้นมา สวมใส่ข้อมือของนางด้วยตนเอง “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตข้าพร้อมแลกด้วยชีวิตเพื่อเจ้าหนี่ว์เอ๋อร์”
หัวใจของนางหลอมละลายเพียงเพราะคำพูดของเขา ช่างลึกซึ้งกินใจเหลือเกิน นางตื้นตันใจยิ่งนักโผสวมกอดเขาแน่น ดวงตาคู่สวยแดงก่ำหัวใจดวงนี้สั่นคลอนเพราะเขาเสียแล้ว น้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับสะอึกสะอื้นเบา ๆ
“เป็นข้าที่โง่งมเอง เป็นข้าที่มองไม่เห็นถึงความรักของท่าน ข้าผิดต่อท่านแล้วพี่เทียน หนี่ว์เอ๋อร์ผิดไปแล้ว”