บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 นางรองแอบเจ้าเล่ห์

"คุณหนูเจ้าขากลับกันเถิดเจ้าค่ะ หาไม่นายท่านกับฮูหยินเป็นห่วงเอาได้นะเจ้าคะ" เจียถงกระซิบข้างหูเจ้านายสาว หยวนเสี่ยวหงจึงพยักหน้ารับ แม้จะรู้สึกเสียดายที่ยังไม่ทันได้พูดคุยกับท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงบุรุษที่แอบปลื้มมานานให้มากกว่านี้ แต่เพราะนางออกมาข้างนอกนานแล้ว หากไม่รีบกลับไปท่านพ่อกับท่านแม่คงจะเป็นห่วงไม่น้อย

"ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน ลาก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ คุณหนูสวีอี้ฝาน" หญิงสาวระบายยิ้มหวานให้กับทุกคน ท่าทางอ่อนหวานงดงามจนทำให้ใครหลายคนยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว เว้นเสียแต่เปาอี้ส่วงที่ยังทำหน้านิ่งตีหน้าขรึมอยู่เช่นเดิม

"ไม่มีอะไรแล้วเราก็กลับกันดีกว่าหลิงหลิง" สวีอี้ฝานรับรองเท้าผ้าแพรจากมือหลิงหลิงมาสวมกลับคืนก่อนจะหันไปกล่าวคำลากับคนตัวโต จากนั้นก็เดินจากไปทันที

แต่เมื่อเดินมาถึงรถม้าก็เห็นสีหน้าเลิ่กลั่กของพลขับรถม้า ก่อนจะหันไปเห็นล้อรถข้างหน้าทั้งสองข้างแบนราบไปกับพื้นราวกับเป็นชิ้นส่วนเดียวกัน

"เอาอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู ล้อแบนราบเช่นนี้คงนั่งรถม้ากลับจวนไม่ได้แล้ว" หลิงหลิงทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ยามนี้แดดเปรี้ยงยิ่งนัก ร้อนจนแสบไปทั่วทั้งผิวกาย

"จะทำอย่างไรได้ล่ะหลิงหลิง นอกจากเดินกลับ" สวีอี้ฝานไม่ได้สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด นางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ทุกข์ร้อน จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปตามถนน ความลำบากแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาง เพราะในตอนที่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์ฝึกหัดอยู่ในหน่วยม้าบิน นางลำบากมากกว่านี้หลายเท่า

"ฮ้าาา" หลิงหลิงทำตาโตอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ จากตลาดไปถึงจวนสกุลสวีอยู่ไกลกันไม่ใช่น้อย พวกนางจะเดินไปถึงได้อย่างไรกัน แต่สุดท้ายก็ต้องรีบรวบกระโปรงขึ้นวิ่งตามเจ้านายสาวที่ก้าวดุ่มๆ เดินนำหน้าไปแล้ว

กุบกับ กุบกับ!

เดินห่างออกมาจากตลาดได้เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงรถม้าคันใหญ่วิ่งตรงมา ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้าห่างออกไปจากพวกนางไม่ไกล

"ขึ้นมาสิข้าจะไปส่ง" ม่านผืนบางถูกสายลมพัดจนเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งหลังตรงตาทิดมองไปเบื้องหน้าราวกับภาพเมื่อครู่ที่ตลาดก็มิปาน

"ท่านแม่ทัพเปา" สวีอี้ฝานขานเรียกชื่อคนตัวโตเบาๆ

"คุณหนูเจ้าขา บ่าวว่าเราควรรับน้ำใจจากท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ" หลิงหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ยามนี้ยังเดินออกมาจากตลาดไม่ถึงครึ่งทาง นางก็แทบจะไม่ไหวแล้ว

สวีอี้ฝานหันไปสบตากับหลิงหลิงที่อยู่ในสภาพเหงื่อท่วมไปทั่วกายราวกับเพิ่งไปเล่นน้ำที่ไหนมา เห็นเช่นนี้ก็นึกสงสารสาวใช้คนสนิทไม่น้อย คิดว่าหากนางยังคงดึงดันเดินกลับจวนต่อ หลิงหลิงคงได้เป็นลมหมดสติไปก่อนถึงจวนเป็นแน่ สุดท้ายหญิงสาวจึงตัดสินใจตอบรับน้ำใจจากเปาอี้ส่วง

ประตูรถม้าถูกดึงให้เปิดออก สวีอี้ฝานก้าวเข้าไปนั่งด้านในฝั่งตรงข้ามกับคนตัวโต ส่วนหลิงหลิงได้ขึ้นไปนั่งข้างพลขับรถม้าที่ด้านนอก

"ขอบคุณท่านแม่ทัพมากนะเจ้าคะ หากแต่ว่าข้ากับท่านอยู่ด้วยกันตามลำพังในรถม้าเช่นนี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก หากท่านแม่ทัพจะกรุณา ข้าขอให้สาวใช้ของข้าเข้ามานั่งด้วยได้หรือไม่"

"จะสนใจไปไยในเมื่ออีกไม่นานเราทั้งสองคนก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี" เปาอี้ส่วงตอบเสียงเรียบ สวีอี้ฝานจึงจำต้องเงียบเสียงลงเพราะรู้ว่าพูดไปเขาก็คงไม่อนุญาต

ตลอดทางกลับไปยังจวนสกุลสวีบรรยากาศมีเพียงแค่ความเงียบ สวีอี้ฝานขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด ในที่สุดจึงตัดสินใจถามในสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป

"ท่านแม่ทัพวางแผนอนาคตของเราสองคนอย่างไรบ้างเจ้าคะ"

"หมายความว่าอย่างไร"

"เอ่อ... ก็หมายความว่าหลังจากที่เราสองคนแต่งงานกันไปแล้ว ท่านแม่ทัพมีแผนอย่างไรเกี่ยวกับชีวิตของเราสองคนเจ้าคะ" สวีอี้ฝานทำหน้ามุ่ย คำถามง่ายๆ เหตุใดเขาถึงไม่เข้าใจ

"การแต่งงานสำหรับข้าเป็นเพียงหน้าที่หนึ่งที่ต้องกระทำ ไยต้องคิดอะไรมากมายให้ปวดหัว" ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดอยู่มาก สวีอี้ฝานคิดว่าท่านแม่ทัพเปาเองก็คงไม่ได้ต้องการแต่งงานกับนางกระมัง

คำตอบของเขาทำให้คนฟังหมดอารมณ์จะถาม นอกจากเขาจะไม่วางแผนอนาคตของเขาและนางแล้ว ดูเหมือนว่าในสายตาของเขาจะมองนางเป็นเหมือนภาระของเขาเสียด้วยซ้ำไป

สวีอี้ฝานเบ้ปากใส่คนตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ เอาเถิด... เขาจะคิดอย่างไรก็ช่าง ในเมื่อไม่ช้าหรือเร็ว สุดท้ายทั้งเขาและนางก็ต้องแยกจากกันไปอยู่ดี

ครึ่ก!

รถม้าคันใหญ่เซถลาหลังจากเผชิญหน้ากับหลุมขนาดใหญ่ ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างในโงนเงนเซถลามาอีกฝั่งตามแรงเหวี่ยง

"อ๊ะ!" หญิงสาวร้องเสียงหลง ร่างบางถลาไปข้างหน้าฝั่งตรงข้ามของตน มือบางรีบยื่นไปดันผนังรถม้าเอาไว้ก่อนที่ใบหน้าของนางจะกระแทกเข้ากับใบหน้าคมคายของเปาอี้ส่วง

ดวงตาคู่งามกะพริบถี่ หัวใจเต้นแรงราวจะหลุดออกมานอกอก เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่คืบ การได้อยู่ใกล้กันเช่นนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่ยังเป็นมู่ฝาน ในวันที่นางเสียสละชีพปกป้องเขาเพราะความเข้าใจผิด นางเห็นเขามองสบตากับนางราวกับคนไม่ได้ตาบอด

หรือเขาอาจจะโกหก...

เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงขยับเข้าไปใช้สายตาจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของเขา พลางเอียงคอมองด้วยความสงสัยราวกับกำลังค้นหาความจริงบางอย่าง แต่เมื่อเห็นว่าเปาอี้ส่วงยังคงนิ่งเฉย เขาไม่ได้สะทกสะท้านต่อการจู่โจมของนาง สุดท้ายจึงยอมแพ้ถอยกลับไปนั่งลงตามเดิมโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังลอบถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

ตลอดทางมาถึงจวนสกุลสวีทั้งเปาอี้ส่วงและสวีอี้ฝานก็ไม่ได้สนทนาด้วยกันอีก ต่างคนต่างนิ่งเงียบจมอยู่กับความคิดของตนเอง เมื่อรถม้าเคลื่อนมาจอดที่หน้าประตูจวนสกุลสวีเรียบร้อยแล้ว สวีอี้ฝานก้าวลงจากรถม้าพลางหันกลับไปหาคนที่นั่งอยู่เพื่อจะเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปจิบชาแทนคำขอบคุณ

"ท่านแม่ทัพ ข้าขอเชิญ..."

"กลับจวนสกุลเปา"

หญิงสาวเอ่ยยังไม่ทันจบประโยค เสียงห้าวพลันสั่งการเสียงดัง จากนั้นรถม้าคันใหญ่ก็เคลื่อนตัวจากไปด้วยความรวดเร็ว

"หยิ่งผยอง อวดดี น่าหมั่นไส้!" สวีอี้ฝานตะโกนไล่หลังไปด้วยความหมั่นไส้ นี่น่ะหรือบุรุษที่กำลังจะกลายมาเป็นสามีของนางในอนาคต ดูท่าว่าชีวิตคู่ของเขาและนางคงจะล่มไม่เป็นท่าก่อนที่นางจะทันได้ทำให้เขากับหยวนเสี่ยวหงรักกันเสียด้วยซ้ำไป

ดวงตากลมโตจดจ้องไปยังรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไป มุมปากบางยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบปิ่นหยกปักผมขึ้นมา หรี่ตาลงเล็กน้อย กะระยะจนคิดว่าไม่พลาดพร้อมปามันออกไปข้างหน้าอย่างแรง

ฉึ่ก!

ปลายแหลมของปิ่นปักลงไปบนล้อรถม้าอย่างแม่นยำ ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนไปตามถนน

"คิกๆๆ" มือบางยกขึ้นมาปิดปาก ส่งเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจ

"คุณหนูหัวเราะอะไรหรือเจ้าคะ" หลิงหลิงที่ยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ทางด้านหลังค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองเจ้านายสาวที่ยืนหัวเราะอยู่คนเดียวด้วยความประหลาดใจ

"วันนี้อากาศแจ่มใส ข้าเลยอารมณ์ดีก็เท่านั้น" นางหันไปตอบสาวใช้คนสนิท พลางเดินกลับเข้าไปในจวนพร้อมส่งเสียงฮัมเพลงเบาๆอย่างอารมณ์ดี

ดวงอาทิตย์ในยามบ่ายคล้อยส่องแสงสว่างจ้ากว่าเวลาเช้า ภายใต้ต้นไม้ใหญ่บนถนนที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าเผยให้เห็นรถม้าคันใหญ่คันหนึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่

"ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าเห็นปิ่นปักผมเล่มนี้ปักอยู่ที่ล้อรถฝั่งทางด้านหลัง คาดว่าสาเหตุที่ยางแบนเกิดจากปิ่นเล่มนี้ขอรับ" หลูเผิงยื่นปิ่นหยกปักผมให้เจ้านายหนุ่ม เปาอี้ส่วงรับปิ่นเล่มนี้มาพิจารณา ไม่นานคิ้วกระบี่ก็เลิกขึ้นเล็กน้อย เขาจำได้ว่าเขาเห็นมันปักอยู่บนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวี

"มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน" เขาพึมพำเสียงเบาด้วยความสงสัย หลังจากส่งสวีอี้ฝานและสาวใช้ของนางกลับจวนแล้ว รถม้าของเขาก็เคลื่อนกลับไปยังจวนสกุลเปา ทว่าเดินทางออกมาจากจวนสกุลสวีได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆรถม้าก็ส่ายไปส่ายมา ก่อนจะหยุดลง หลูเผิงรายงานว่าเป็นเพราะยางแบน ก่อนจะพบว่าสาเหตุที่ยางแบนนั้นมาจากปิ่นปักผมของสวีอี้ฝาน

ก่อนที่นางจะเปิดประตูลงจากรถม้า เขายังเห็นปิ่นเล่มนี้ปักอยู่บนมวยผมของนาง แล้วเหตุไฉนยามนี้มันถึงได้มาปักอยู่บนรถม้าของเขาได้ นอกเสียจากว่านางจะเป็นคนทำ

สวีอี้ฝาน เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากจริงๆ!

ครั้นพอหวนนึกถึงยามที่นางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ส่งสายตามองเขาอย่างจับผิด มุมปากหยักก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย นางจะรู้หรือไม่ว่าในยามที่กลิ่นกายหอมกรุ่นจากกายนางลอยเข้ามาแตะจมูก ชวนให้เขาเกิดความรู้สึกปั่นป่วนมากเพียงใด แต่เขาจำต้องเก็บอาการเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย

"ท่านแม่ทัพคิดอะไรอยู่หรือขอรับ" เสียงของหลูเผิงทำให้เปาอี้ส่วงหลุดจากภวังค์ เขาส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ

"ช่างเถิด ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก รีบกลับจวนกันเถิด"

"ขอรับท่านแม่ทัพ" หลูเผิงรับคำจากนั้นจึงยกมือขึ้นเป่าปาก เปาอี้ส่วงก็ทำแบบเดียวกัน รอเพียงไม่นานปรากฏอาชาตัวใหญ่สีขาวและสีดำวิ่งเข้ามาหาคนทั้งคู่

ร่างสูงกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาคมทอดมองไปเบื้องหน้า ยามนี้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่น เขาจึงไม่ต้องปกปิดตัวตนของตนอีกต่อไป

"ฮี้!" อาชาสีดำทะมึนราวกับสีนิลกาฬยกสองขาหน้าเปล่งเสียงร้องดังลั่น ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้า โดยมีอาชาสีขาวตัวใหญ่ของหลูเผิงวิ่งตามไปอย่างติดๆ

*********

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel