บทที่ 3 นางรองช่วยนางเอก
รถม้าคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอยู่ที่ตลาดติดกับทะเลสาบหานฟง แสงอาทิตย์ทอประกายลงมากระทบผิวน้ำ ส่องแสงประกายวิบวับราวกับอัญมณีล้ำค่า บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบายจากสายลมแห่งวสันตฤดู
มู่ฝานในร่างของสวีอี้ฝานก้าวลงมาจากรถม้า ดวงตากวางกวาดมองไปรอบๆอย่างมีความสุข แม้นางจะเป็นคนแคว้นฮั่น แต่ไม่เคยได้มาแวะเวียนเดินเล่นซื้อของเช่นนี้มาก่อน นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกเฉียวกุ้ยเฟยพระมารดาของหวางจื่อชางอ๋องทรงเก็บมาเลี้ยงด้วยความเวทนา ทว่าแม้จะเป็นสตรีตัวเล็กบอบบางแต่เรื่องการต่อสู้ไม่แพ้บุรุษใด เมื่อโตขึ้นจึงถูกพาเข้าไปประจำที่หน่วยองครักษ์อวี่หลิน ฉายาหน่วยม้าบิน หน่วยราชองครักษ์ที่ถวายการอารักขาใกล้ชิดของเชื้อพระวงศ์ มู่ฝานฝึกปรือวิชาฝีมือจนผ่านการคัดเลือกได้รับตำแหน่งองครักษ์เงาประจำตัวของหวางจื่อชางอ๋อง นางอยู่รับใช้ข้างกายเขามาหลายปี ไม่เคยทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องจนกระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ" เสียงของหลิงหลิงบ่าวรับใช้คนสนิทข้างกายของสวีอี้ฝานดังขึ้นทำให้เจ้าตัวหลุดจากภวังค์ความคิด
"มีอะไรหรือ" สวีอี้ฝานผินหน้ากลับมามองไปยังบ่าวรับใช้ข้างกายด้วยความงุนงง
"คุณหนูคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ เหตุใดถึงได้ดูเหม่อลอยเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ" หลิงหลิงถามด้วยความสงสัย นางเห็นเจ้านายยิ้มแย้มสลับกับทำหน้าเศร้าอยู่นานสองนานแล้ว
"เปล่าหรอก รีบไปกันเถอะ ข้าคันไม้คันมืออยากใช้เงินไปหมดแล้ว" หญิงสาวยกมือทั้งสองข้างถูกันไปมา ดวงตาจดจ้องไปยังร้านรวงต่างๆอย่างหมายมาด ในเมื่อมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในร่างคุณหนูใหญ่แห่งสกุลสวีผู้ร่ำรวยทั้งที นางจะใช้เงินราวกับว่ามันเป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่าเลย คอยดูสิ!
หญิงสาวเดินเข้าร้านโน้นเดินออกร้านนี้จนพอใจ หลิงหลิงที่ถือของเต็มไม้เต็มมือถึงกับหอบแฮ่กมองเจ้านายที่ยังคงเลือกซื้อของอย่างสบายอารมณ์ด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าคุณหนูสวีอี้ฝานกลายเป็นคนใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
"หลิงหลิง เจ้าเอาของไปเก็บที่รถม้าก่อนเถิด" โบกมือไล่สาวใช้ เมื่อเห็นว่ายามนี้ข้าวของเต็มไม้เต็มมือของหลิงหลิงจนแทบไม่มีมือจับอีกต่อไปแล้ว
"เจ้าค่ะ คุณหนูรอบ่าวอยู่ตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะ" หลิงหลิงเอ่ยจบก็รีบวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็ว
สวีอี้ฝานหมุนกายหันหลังกวาดตามองไปรอบๆเพื่อหาจุดหมายในการใช้เงินร้านต่อไป แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นกลุ่มคนกำลังยืนมุงอะไรบางอย่าง สัญชาตญาณบอกว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเกิดขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นทำให้หลงลืมวาจาของหลิงหลิงไปชั่วขณะ ขาเรียวก้าวเดินตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
"ท่านเป็นถึงบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ แต่เหตุใดต้องทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ด้วยเล่า คิดว่าเป็นเรื่องสมควรแล้วหรือ" เสียงหวานใสดังขึ้น สวีอี้ฝานแทรกกายฝ่าฝูงชนเข้าไปจนได้เห็นสตรีรูปร่างบอบบางผู้หญิงกำลังยืนต่อว่าชายฉกรรณ์หน้าตาน่ากลัวอย่างกล้าหาญ ข้างหลังของนางมีชายชราแต่งกายซอมซ่อยืนอยู่ บนพื้นมีขนมกุ้ยฮวาหกกระจายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด
"คุณหนูหยวนเสี่ยวหงนี่เอง" หญิงสาวพึมพำเสียงเบา นางจำได้ดีว่าสตรีผู้นี้คือคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหยวน ชื่อเสียงของนางเป็นที่รู้จักในคนหมู่มากเพราะเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามอีกทั้งยังนิสัยดี ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอยู่เสมอ
"ฮะ ฮ่า แม่นางคนงามกล่าวเกินไปแล้ว ข้าหาได้รังแกชายแก่ผู้นี้ไม่ ข้าเพียงต้องการอุดหนุนเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ชายแก่ผู้นี้กลับโกงเงินค่าขนมของข้าไป" ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกล่าวขึ้น ในขณะที่อีกสองคนที่เหลือก็รีบพูดจาสนับสนุนสหายของตนทันที
"มะ ไม่จริงนะขอรับ พวกท่านต่างหากที่กินขนมข้าแล้วไม่จ่ายเงิน อีกทั้งยังโวยวายขว้างปาข้าวของๆข้าจนหกกระจายเกลื่อนพื้นไปหมด" ประโยคสุดท้ายชายชราหันไปกล่าวกับบุรุษทั้งสามคน สีหน้าของเขาเศร้าสร้อย สายตาฝ้าฟางมองไปยังขนมที่หกเกลื่อนอยู่พื้นด้วยความเสียดาย ท่าทางดูน่าสงสารอย่างมาก
"ว่าอย่างไรนะ! ตาแก่ผู้นี้นิสัยปลิ้นปล้อน พวกข้าน่ะหรือจะโกงเงินเจ้า ขนมของเจ้าก็ใช่ว่าจะอร่อยนักหนา ข้าช่วยซื้อให้ก็ดีตั้งเท่าไหร่แล้ว" เขาแกล้งเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง หมายจะข่มขวัญให้ฝ่ายตรงข้ามหวาดกลัว
"ท่านป้าเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ" สวีอี้ฝานใช้นิ้วเรียวสะกิดหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างกาย นางจึงหันมากระซิบกระซาบเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ได้ความว่า บุรุษร่างใหญ่สามคนนี้กินขนมกุ้ยฮวาแล้วไม่จ่ายเงิน แต่เมื่อชายชราเจ้าของร้านทวงกลับไม่พอใจ แกล้งทำทีเป็นโวยวายทำลายข้าวของจนพังไม่เหลือชิ้นดี จนกระทั่งคุณหนูสกุลหยวนเข้ามาช่วย
สวีอี้ฝานขานรับดังอ้อเบาๆ หยวนเสี่ยวหงมีจิตใจดีสมเป็นนางเอกเสียจริง...
"แม่นางคนงาม เจ้าทำให้พวกข้าต้องอับอายรีบกล่าวคำขอโทษมาเถิด ไม่อย่างนั้นจะหาว่าพวกข้าไม่เตือนไม่ได้นะ" ชายผู้หนึ่งกล่าวเสียงแข็ง ทำทีเปลี่ยนเฉไฉไปเรื่องอื่น
"เหตุใดข้าต้องขอโทษ พวกท่านต่างหากที่เป็นคนผิดควรจะขอโทษท่านลุงผู้นี้" หยวนเสี่ยวหงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่สนใจบ่าวรับใช้คนสนิทที่ใช้มือสะกิดนางยิกๆ
"ได้! หากไม่ขอโทษก็คงต้องได้เห็นดีกัน!" กล่าวเสียงแข็งพลางย่างสามขุมเข้ามาหา บรรดาผู้คนที่ห้อมล้อมต่างพากันยืนดูด้วยใจระทึก ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยเลยสักคน
"อย่าทำร้ายคุณหนูของข้านะ" เจียถงรีบก้าวเข้ามาขวาง แต่กลับถูกชายร่างใหญ่ผลักจนล้มคะมำไปกองอยู่บนพื้น
ปั่ก!
ทว่าก่อนจะก้าวถึงตัวของหยวนเสี่ยวกลับมีรองเท้าผ้าแพรเนื้อดีสีม่วงอ่อนลอยละลิ่วมากระแทกศีรษะของเขาเสียก่อน
"ผู้ใดกัน!" ชายผู้นั้นแผดเสียงกร้าวด้วยความโกรธ มองรองเท้าคู่เล็กในมือด้วยความหงุดหงิดปนอับอาย
นี่มันรองเท้าของสตรีชัดๆ!
"ของข้าเอง" สวีอี้ฝานก้าวเข้าไปยืนตรงกลางของวงสนทนา โดยมีสายตาของหยวนเสี่ยวหงมองคนมาใหม่ด้วยความประหลาดใจ
"คุณหนูสวีอี้ฝาน" นางเคยเห็นสวีอี้ฝานตามงานสังคมประปรายทว่าไม่เคยพูดคุยกันเป็นส่วนตัว
"แม่นางโยนรองเท้าใส่ศีรษะของข้าหรือ" เขาถามเสียงแข็งกระด้าง กวักมือเรียกชายอีกสองคนให้เดินเข้ามาล้อมตัวของสวีอี้ฝานเอาไว้
"เปล่าเสียหน่อย จู่ๆรองเท้าของข้าก็ดันหลุดไปโดนหัวของพวกท่านเอง หากไม่เชื่อก็ดูนี่สิ" กล่าวพลางยกเท้าอีกข้างขึ้นมาอย่างแรงจนรองเท้าผ้าแพรสีม่วงอ่อนที่ยังติดอยู่ที่ข้อเท้าของนางลอยละลิ่วไปกระแทกใบหน้าของชายอีกคนเข้าเต็มเปา
"ไม่ใช่แล้ว แม่นางจงใจทำร้ายพวกข้า!"
"อ้อ งั้นหรือ คงเป็นเพราะใบหน้าและนิสัยของพวกท่านมันรบกวนบาทาของข้ามากกระมัง" สวีอี้ฝานเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ท่าทางยียวนกวนประสาทของนางทำให้ความอดทนของชายฉกรรจ์ทั้งสามคนขาดผึงลงทันใด
"วอนเสียแล้ว อย่าหาว่าข้ารังแกสตรีก็แล้วกัน" ขายาวก้าวฉั่บๆเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นหมายจะฟาดลงบนใบหน้างามเป็นการสั่งสอน
ทว่า...
โป๊ก! ด้ามกริชสีเงินลอยละลิ่วมากระแทกศีรษะของเขาอย่างจัง
"อ๊ากกก อูย" ชายร่างหนาถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น ยกขึ้นกอบกุมหน้าผากของตนที่มีโลหิตไหลซึมออกมา ส่วนชายพรรคพวกอีกสองคนถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่กมองหาต้นสายปลายเหตุด้วยความหวาดหวั่น
"ท่านแม่ทัพเปา" เสียงชาวเมืองพากันขานเรียกผู้มาใหม่ วงล้อมของฝูงชนค่อยๆแหวกออกจากกันเผยให้เห็นร่างสูงของเปาอี้ส่วงกำลังเดินตรงเข้ามา ดวงตาคู่คมสองข้างทอดมองไปข้างหน้าไม่ไหวติงและไม่สบสายตาของผู้ใด
คำกล่าวเรียกชื่อคนมาใหม่ทำให้ชายทั้งสามคนพากันหน้าถอดสีรีบกุลีกุจอลุกขึ้นวิ่งหนีจากไปด้วยความรวดเร็ว
"คุณหนูเจ้าขา คุณหนูของบ่าว" หลิงหลิงวิ่งน้ำตาหน้าคลอเบ้าเข้ามาหาสวีอี้ฝานพร้อมจับคนร่างบางหมุนไปมา ส่งสายตามองอย่างสำรวจด้วยความตกใจ
หลังจากนำข้าวของไปเก็บบนรถม้าเสร็จ เมื่อเดินกลับมาก็ไม่เห็นคุณหนูของนางแล้ว นางจึงวิ่งวุ่นออกตามหากว่าจะรู้ว่าคุณหนูมีเรื่องกับบุรุษนักเลงตัวโตทั้งสามคนก็ตอนที่ชาวเมืองพากันแหวกทางออกเผยให้เห็นเหตุการณ์ภายในวงล้อม
"เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ"
"ไม่เป็นไร ข้าสบายดี" สวีอี้ฝานส่งยิ้มกว้างให้หลิงหลิง เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงสบายใจขึ้น
"ท่านแม่ทัพเปา" หยวนเสี่ยวหงยอบกายคารวะผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม สวีอี้ฝานเห็นเช่นนั้นจึงรีบทำตาม ในขณะที่ชายหนุ่มผู้มาใหม่เพียงแค่ผงกศีรษะรับเบาๆเป็นการตอบรับเท่านั้น
"บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" เสียงทุ้มทว่าหนักแน่นกล่าวถาม ดวงตาทอดมองไปยังที่ว่างตรงกลางระหว่างสตรีทั้งสองคน สวีอี้ฝานและหยวนเสี่ยวหงหันมาสบตากัน ก่อนที่หยวนเสี่ยวหงจะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ
"ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ โชคดียิ่งนักที่ได้คุณหนูสวีอี้ฝานมาช่วยไว้"
สวีอี้ฝานทำตาโตรีบยกมือขึ้นโบกไปมา
"เปล่าเลย ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดเดียว มีแต่คุณหนูหยวนเสี่ยวหงที่กล้าหาญกล้าต่อกรกับพวกบุรุษร่างหนาหน้าตาน่ากลัวพวกนั้น" ถึงแม้ว่าข้าเกือบได้เอาเลือดหัวของพวกมันออกแล้วก็ตาม ประโยคหลังนางได้แต่คิดในใจ
"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คิดจะช่วยผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่างไรเสียก็ต้องรู้จักประมาณตน หาไม่จากวีรบุรุษจะกลายเป็นเหยื่อเสียเอง นั่นไม่ใช่วิถีของคนฉลาด" เปาอี้ส่วงกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้าเฉยชาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด
'นั่นเป็นคำชมหรือคำด่ากันนะ' สวีอี้ฝานคิดในใจ พลางเหลือบไปมองคนข้างกาย เมื่อเห็นสีหน้าจืดเจื่อนของหยวนเสี่ยวหงจึงขานรับอ้อเบาๆ
วาจานั้นของท่านแม่ทัพเปาเป็นคำด่านี่เอง...
*********