บทที่ 2 สมรสพระราชทาน
ณ จวนสกุลสวี เมืองต้าเหลียง แคว้นฮั่น
วันนี้คนสกุลสวียุ่งวุ่นวายเป็นการใหญ่ เมื่อจู่ๆไต้กงกงก็ถือพระราชโองการเข้ามาที่จวนสกุลสวี ทุกคนต่างรู้ดีว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับคนสกุลสวีเป็นแน่ และคนที่ดูจะกังวลเป็นพิเศษก็ไม่พ้นเป็นสวีฮูหยิน
"ให้ข้าไปตามฝานฝานดีหรือไม่เจ้าคะท่านพี่" นางหันไปกระซิบถามสามีที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าคมของเขาเรียบเฉย ไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด
"ไม่ต้อง" เขากล่าวเสียงเรียบ เกิดเป็นคนต้องรู้หน้าที่ หากนางจะปล่อยให้ทุกคนรอคอยอยู่เช่นนี้ก็แล้วแต่นางเถิด
หลี่อ้ายซีลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางปรายตามองค้อนประมุขของจวนไปหนหนึ่ง ลางทีก็แอบเบื่อหน่ายกับนิสัยเข้มงวดของเขายิ่งนัก
"หมิงหมิงยืนดีๆสิ!" นางหันมาส่งเสียงดุให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆที่กำลังขยับตัวยุกยิกไปมา ทางด้านสวีชางหมิงได้ยินเสียงดุของคนเป็นแม่พลันสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยืดอกขึ้น ยืนอย่างสงบเสงี่ยมต่อไป
"ต้องให้แม่บอกสอนกี่ครั้ง แม่เหนื่อยกับเจ้ามากแล้วนะ" หลี่อ้ายซีตำหนิบุตรชายเสียงแข็ง ส่ายหน้าไปมาอย่างระอา บุตรชายคนนี้ดื้อด้านยิ่งนัก
"ท่านแม่ พี่สาวมาแล้วขอรับ" สวีชางหมิงรีบขัดขึ้น ก่อนที่จะโดนมารดาบ่นหูชาพลางพยักเพยิดไปทางหน้าประตูเผยให้เห็นร่างบอบบางของใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
สวีอี้ฝานในชุดสีม่วงอ่อนยาวกรอมเท้าเหมาะกับสวมใส่ในฤดูวสันต์ ดวงหน้างามถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมบางเบาเผยให้เห็นผิวเนียนใสเด่นชัด ผมยาวสลวยถูกปล่อยยาว รวบเป็นมวยครึ่งศีรษะและปักด้วยปิ่นหยกระย้าแลดูงดงามหาใดเปรียบ
"อะแฮ่ม มากันครบแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดพระราชโองการให้ฟัง" ไต้กงกงยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเบาๆหนึ่งหน จากนั้นจึงหยิบพระราชสาส์นที่ถูกม้วนเก็บอย่างดีมาคลี่ออก กวาดสายตามองไปยังตัวอักษรที่ถูกขีดเขียนลงบนแผ่นกระดาษ
"สวีอี้ฝานบุตรสาวของเสนาบดีกรมขุนนางสวีหยางโป เป็นผู้มีความประพฤติดีงาม มีชาติตระกูลสูงส่ง อีกทั้งยังเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ควรค่าอย่างยิ่งที่จะได้คู่ครองที่เหมาะสม จึงพระราชทานสมรสให้สวีอี้ฝานดำรงตำแหน่งฮูหยินเอกในแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฮั่นเปาอี้ส่วง จบราชโองการ"
"ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสให้พี่สาวของข้าแต่งงานกับคนตาบอดงั้นหรือ โอะ!" สวีชางหมิงรีบยกมือขึ้นปิดปาก หลังจากที่เผลอเอ่ยวาจาไม่สมควรออกมา พลางหันไปส่งยิ้มอย่างเจื่อนๆให้คนเป็นแม่พร้อมเปล่งเสียงร้องโอดโอยออกมาเบาๆ เมื่อนางยกมือขึ้นหยิกหมั่บไปที่ท่อนแขนกำยำของเขา
วาจาของเขาทำให้คนทั้งห้องหันไปมองสวีอี้ฝาน พบว่าใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม ก่อนที่ร่างบางจะยอบกายลงอย่างนอบน้อม
"สวีอี้ฝานน้อมรับราชโองการ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น หมื่นปี" แพรขนตายาวกะพริบไปมาเบาๆ แววตาสั่นไหวเล็กน้อย ยากจะคาดเดาได้ว่าภายใต้ดวงหน้าเรียบเฉยนั้นมีความคิดเห็นอย่างไร
คล้อยหลังจากส่งไต้กงกงกลับไปแล้ว ร่างบางก็ถูกดึงเข้าไปสู่อ้อมแขนของมารดา จากนั้นหลี่อ้ายซีก็เปล่งเสียงร้องไห้โฮ
"แย่มาก แย่จริงๆ แย่ที่สุด ฝ่าบาททรงคิดอะไรอยู่ เหตุใดถึงส่งฝานฝานไปเป็นฮูหยินของแม่ทัพตาบอด"
"ฮูหยินระวังคำพูดด้วย" สวีหยางโปเตือนภรรยา ทว่าสีหน้าของเขาเองก็ดูกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน แม้เปาอี้ส่วงจะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ผู้เก่งกาจของแคว้นฮั่น ทว่าอย่างไรเสียเขาหาใช่คนปกติทั่วไป ใครเล่าจะอยากให้แก้วตาดวงใจไปอยู่กินกับคนตาบอด
"เป็นเพราะท่านแม่ทัพยอมเสียสละดวงตาเพื่อทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดิน ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้นจึงประทานรางวัลโดยการให้ท่านแม่ทัพได้แต่งงานกับหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นฮั่นอย่างพี่สาวกระมัง" สวีชางหมิงทำหน้าครุ่นคิด ซึ่งวาจาของเขาก็ไม่ได้ผิดไปจากความเป็นจริงแม้แต่น้อย
เมื่อสองปีก่อน เปาอี้ส่วงยกทัพไปปราบกบฏเมืองไต้ซื่อ แม้จะได้รับชัยชนะแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสูญการมองเห็นทั้งสองข้าง แต่ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะบอดสนิทก็หาได้ทำให้ความเก่งกาจของเขาลดลงไม่ เมื่อสามเดือนก่อนยังยกทัพไปจัดการกับเผ่าเหลียงที่มารุกรานชายแดนเมืองชินหยูจนราบเป็นหน้ากลอง
"ทำไม ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ ฝานฝานแม่สงสารลูกยิ่งนัก" เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวีอี้ฝานสัมผัสได้ถึงความเปียกชุ่มบริเวณไหล่บาง นางจึงยกมือขึ้นมาลูบหลังมารดาอย่างปลอบประโลม
"ท่านแม่ ข้าเพียงแค่ต้องแต่งงาน ข้ายังมีชีวิตอยู่ หาได้ไปสู้รบกับใครเสียหน่อยเจ้าค่ะ" สวีอี้ฝานไม่ได้รู้สึกกังวลต่อพระราชโองการของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย
เพราะแม้ว่าร่างนี้จะเป็นของสวีอี้ฝานก็จริง แต่ดวงวิญญาณกลับเป็นของมู่ฝานซึ่งท่านเทพได้พานางมาอยู่ในร่างนี้ หลังจากที่สวีอี้ฝานตัวจริงป่วยตายเพราะไข้ป่า ยามนี้นางมาอยู่ในร่างนี้ได้ราวเจ็ดวันแล้ว พบว่าการเป็นสวีอี้ฝานนั้นสุขสบายยิ่งนัก บิดาของนางเป็นถึงขุนนางขั้นสอง แม้จะเป็นคนเข้มงวดแต่ก็รักนางไม่น้อย ส่วนท่านแม่หลี่อ้ายซีก็รักและเอ็นดูนางอยู่มากทีเดียว ไม่นับรวมกับสวีชางหมิงน้องชายตัวแสบที่ถึงแม้จะชอบกวนโมโหอยู่บ่อยๆ แต่ก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นห่วงนางมากจริงๆ
นับว่าครอบครัวสกุลสวีเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากทีเดียว ซ้ำพอเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางยังถือโอกาสได้ใช้ชีวิตหรูหราอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ถึงแม้จะนอนตีพุงขลุกตัวอยู่บนที่นอนทั้งวันก็ไม่มีผู้ใดกล้าตำหนิ
"แม่รู้ว่าลูกเพียงแค่ต้องแต่งงาน อันที่จริงแม่ควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ลูกแม่กำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา แต่แม่ทำใจไม่ได้จริงๆที่ลูกต้องแต่งงานกับท่านแม่ทัพเปา" หลี่อ้ายซีกล่าวเสียงสะอื้น ก่อนจะหันไปหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
"แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการสมรสมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้" สวีชางหมิงกล่าวพึมพำ
สวีหยางโปจึงถอนลมหายใจออกมาเบาๆพลางเอ่ยว่า
"อันที่จริงฝ่าบาททรงกังวลเรื่องท่านแม่ทัพเปามานานแล้ว เหตุเพราะเขายังไม่มีคู่ครองตกลงปลงใจกับหญิงใด ฝ่าบาทคงเกรงว่าท่านแม่ทัพจะไม่มีคนดูแลจึงจัดการมอบสมรสพระราชทานให้ด้วยพระองค์เอง"
"แต่ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินผู้เฒ่าของจวนสกุลสกุลเปาเป็นคนเข้มงวดมากมิใช่หรือ นางจะไม่รังแกฝานฝานของเราหรือเจ้าคะ"
"ท่านแม่ทัพหาใช่คนที่จะยอมให้ผู้ใดมารังแกฝานฝานได้เช่นนั้นหรอก เจ้าอย่าได้กังวลไปนักเลย" สวีหยางโปกล่าวอย่างปลงตก ในเมื่อฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการมาแล้ว ใครเล่าจะขัดได้
สวีอี้ฝานมองสีหน้าเป็นกังวลของครอบครัวสลับไปมาพลางลอบยิ้มออกมาเล็กน้อย นางไม่ทุกข์ใจหรอก เพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียสักวันหนึ่งนางกับเขาก็ต้องหย่ากันอยู่แล้ว
"ท่านแม่เจ้าขา พระราชโองการสมรสของฝ่าบาททำให้ข้าช้ำใจยิ่งนัก ข้าขอสักสองร้อยตำลึงทองได้หรือไม่ อยากออกไปซื้อของเผื่อจะลืมเรื่องช้ำใจได้บ้าง" นางกล่าวอย่างน่าสงสาร มือบางรวบเอวบางของมารดาพลางซบหน้าลงบนอกนุ่มนิ่มอย่างออดอ้อน
เมื่อคนเป็นแม่เห็นเช่นนั้นก็พลันใจอ่อนยวบ ล้วงกุญแจเปิดหีบเงินส่งให้นางทันที
"อยากได้เท่าไหร่ก็ไปเอาเถิด"
"ขอบคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ" กล่าวด้วยความดีใจ จากนั้นจึงจรดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มนิ่มของมารดาหนหนึ่งและรีบวิ่งแจ้นออกไปอย่างรวดเร็ว
หลี่อ้ายซีมองตามแผ่นหลังบางด้วยแววตาอ่อนโยน ตั้งแต่สวีอี้ฝานฟื้นขึ้นมาจากพิษไข้ นางกลับกลายเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน คงเป็นเพราะอาการป่วยที่ทำให้นางเกือบไม่รอดจึงทำให้นางกลายเป็นเช่นนี้
ช่างน่าสงสารยิ่งนัก...
"ท่านแม่ ข้าไม่ขอเยอะเท่าพี่สาว ขอเพียงแค่ร้อยตำลึงทองก็พอขอรับ" สวีชางหมิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ส่งสายตามองมารดาตาปริบๆ
"เจ้าน่ะไม่ต้องเลย วันก่อนให้ไปห้าร้อยตำลึงทองใช้หมดแล้วหรืออย่างไร รีบไปเตรียมตัวไปที่สำนึกศึกษาได้แล้ว อย่าให้แม่ต้องพูดซ้ำสอง"
ใบหน้าคมถอดแบบคนเป็นพ่อมาหงิกงออย่างขัดใจ ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดเดินกลับไปยังหอนอนของตนอย่างรวดเร็ว
หลี่อ้ายซีส่ายศีรษะไปมาเบาๆ แต่เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าสายตาดุคมของสามีกำลังมองอยู่ ปากหนาของเขาอ้าออกหมายจะพูดบางอย่างแต่กลับต้องหุบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนางยกนิ้วขึ้นไปจ่อริมฝีปากของเขาเอาไว้
"ท่านพี่ไม่ต้องพูดเจ้าค่ะ เดี๋ยวคืนนี้ได้นอนพื้นอีกนะ" นางรู้ว่าเขาจะบ่นนางเรื่องตามใจลูก นางจึงรีบชิงขัดขึ้นมาเสียก่อน กล่าวจบก็ส่งยิ้มหวานให้เขาหนหนึ่ง ก่อนจะเดินกรีดกรายออกไปจากห้อง
*********