บท
ตั้งค่า

ชวงเจีย

ลำธารกว้างทว่าน้ำกลับไม่ลึกอย่างที่แป๋มคิด ..แป๋มกลัวน้ำ.. แต่เมื่อมองเห็นจูจิ้นถลาลงไปที่กลางลำธาร ลงไปแช่น้ำเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้หลายวันมานี้ อากาศหนาว ไม่เคยได้อาบน้ำ น้ำในลำธารไหลผ่านหินก้อนสวยหลากสี เลาะเรื่อยไปตาม ช่องทางคดเคี้ยวสวยงามบ้างลึกบ้างตื้นแต่ก็ไม่ถึงกลับทำให้จมได้ สองข้างเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี เจ้าบ้านเฉิน ลุยน้ำลงไปที่น้ำไหลเอื่อยทิ้งตัวลง สอดล้วงเข้าไปใต้ซอกหิน เพียงครุ๋เดียวก็ส่งเสียงดังลั่น

“โอ๊ยยยย”

ยกกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่เท่ากับหัวแครอทที่ก้ามข้างหนึ่งของมันหนีบติดอยู่ที่นิ้ว จูจิ้น ถลาเขาไปหาบิดาดึงตัวกุ้งเสียยกใหญ่

“เสี่ยวซง มาจับกุ้งไปจูจิ้น อาจทำมันหลุดมือ”

เสี่ยวซง วิ่งลุยนำลงไปจนถึงน้ำลึกที่เจ้าบ้านเฉินกำลังงมกุ้งมือเปล่าอยู่

“ข้าจับได้หรอกน่าไม่ใช่จูเจี่ย”

เจ้าน้องชาย แต่แป๋มกำลังตื่นตาตื่นใจ

“ท่านพ่อเก่งจัง ทำไมจับกุ้งมือเปล่าได้”

“กุ้ง เวลาที่ถูกต้อนมักจะดีดตัวถอยหลังเช่นนั้นเจ้าเพียงแค่ดักมันไว้ทั้งสองทาง ยิ่งหากมีคนมาช่วยดักยิ่งจับมันง่ายดายเมื่อครู่พ่อทำมันหลุดไปเสียหนึ่งตัวคงจะเป็นตัวผู้ ตัวนี้เป็นตัวเมีย”

“มันอยู่บ้านเดียวกันหรือคะ”

“ก้อนหินก้อนใหญ่แบบนี้บางทีก็สามสีตัว อยู่ที่ว่ามีโพรงใต้หิน พวกกุ้งมักจะ ทำโพรงไว้ เพื่อซุกตัวอยู่นั้นหากลูบไปใต้พื้นหินแล้วรู้สึกว่ามีโพรงนั่นล่ะที่อยู่ของพวกมัน เสี่ยวซงเจ้ามาลองช่วยลุง งมกุ้งกัน”

แป๋มนึกสนุก เดินลงไปรวมกลุ่ม จูจิ้น เดินกลับขึ้นมาเอากุ้งมาเก็บโดยเอาถังใส่น้ำแล้วปล่อยกุ้งที่จับได้ลงไปนอนแช่น้ำเพื่อความสดไม่ให้มันตาย

เสี่ยวซงกับเจ้าบ้านเฉิน ล้วงมือเข้าไป จับกุ้งมาง่ายดาย คนละตัวสองตัว แป๋มอยากลองบ้าง จึงเข้าไปช่วยต้อนกุ้งในโพรงหิน ล้วงมือเข้าไปรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรดิ้นตุบตับ ชนเอามือทั้งสองข้าง

“ท่านพ่อ.. ท่านพ่อ..มันอยู่ตรงนี้”

เสี่ยวซงลาเข้ารวบกุ้งตัวโตที่ชนมือของแป่มไปมาใบหน้าหล่อเหลาเกือบจะโดนแก้มอวบของแป๋ม เสี่ยวซง ไม่ได้รู้สึกอะไรแต่แป๋มกับอายม้วน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ฉับ”กุ้งตัวใหญ่ที่ถูกต้อนจนมุมใช้กล้ามใหญ่หนีบฉับเข้าที่นิ้วนางของแป๋มระดับความเจ็บประมาณ ลูกหมาฟันคมงับมือ

“อืออออออเจ็บ”

ส่ายหน้าไปมาหลับตาพริ้ม ดึงตัวกุ้งที่ไม่ยอมปล่อยกล้ามขึ้นมาด้วยมืออีกข้างคว้าตัวกุ้งไว้แน่น

เสี่ยวซงกับจูจิ้นหัวเราะ ขำกับท่าทีของแป๋ม

“เห็นไหมเล่า ในที่สุดแกก็เสร็จฉัน กุ้งนี่จับไม่ยากเลย ในที่สุดฉันก็จับได้555”

รู้สึกภูมิอกภูมิใจอย่างที่สุดแต่เมื่อยกตัวกุ้งขึ้นมาชื่นชม บางอย่างแล่นเข้าไปจับขั้วหัวใจ

“ท่านพ่อ….ข้าไม่กินมันจะได้ไหม”เจ้าบ้านเฉินจูจิ้นและเสี่ยวซงถามขึ้นพร้อมๆ กัน

“ทำไม”

“ก็มันมีไข่เต็มท้องเลย ข้าสงสารมัน”

ใต้รยางค์มีไข่สีเหลืองทองเต็มไปหมดแป๋มเกิดความสงสารขึ้นมาทันที

“555จูเจี่ยเป็นคนขี้สงสารแบบนี้ตลอด เพราะเหตุนี้ข้าถึงไม่ค่อยพาเจ้ามาที่ลำธารไม่ปล่อยกุ้งก็ปล่อยปลาของข้า แล้วแสร้งพูดว่าทำมันหลุดมือ ไม่กินก็ปล่อยมันไปเสียดีเสียอีกมันจะได้แพร่พันธุ์ออกลูกออกหลาน”

แป๋มทำสีหน้างงงันจุเจี่ยคนนี้อุปนิสัยเหมือนแป่มไม่น้อยหรือว่า นั่นคือโลกคู่ขนานกันแน่บางทีตอนนี้จูเจี่ยอาจกำลังใช้ชีวิตอยู่ที่ห้องทำงานนั่งงงงันกับการพิมพ์นิยายที่ไร้คนอ่าน แต่ว่าอยากเขียน อยากเป็นนักเขียน อยากอ่านเม้นท์ อยากมีเพื่อนคุย เลยเปิดให้อ่านฟรี555 แต่จะว่าไปจูเจี่ยจะทำได้เท่าทีแป๋มทำไมหนอเขียนนิยายเดือนละสี่เรื่องจบเดือนละสองเรื่อง โดยที่ไม่ลุกไปไหน นอกจากห้องน้ำ เขียนจนปวดหัว ความดันขึ้น จิตตก บางทีก็เกิดอาการดาวน์กับเม้นท์ที่บันทอนกำลังใจ

สุดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สู้สู้จูเจี่ย แป๋มก็จะพยายามเป็นเธอให้ดีที่สุด

จับกุ้งได้ไม่น้อยวันนี้แป๋มสามารถจับกุ้งได้ถึง ห้าตัวอากาศเริ่มขมุกขมัว หนาวสั่น ปากคล้ำ มือเหี่ยวจูจิ้นก่อกองไฟลุกโชติช่วง

“ไปพิงไฟเสียก่อน ให้หายหนาว แล้วค่อยกลับไปที่บ้านป่านนี้แม่ของเจ้าคงกำลังเตรียมเครื่องแกง มันเทศกับกุ้งวันนี้ได้กุ้งเยอะมากปกติพ่อกับจูจิ้นมาได้น้อยกว่านี้มากวันนี้มีทั้งเสี่ยวซงและจูเจี่ยมาช่วยกัน วันนี้เสี่ยวซงเจ้าจะได้ลองชิมแกงกุ้งฝีมือท่านป้าที่อร่อยที่สุดในสามแคว้นที่ ข้าตกลงใช้ชีวิตกับแม่ของจูเจี่ยก็เพราะนางทำอาหารอร่อยที่สุด”

แป๋มอยู่ๆ ก็น้ำตาปริ่มขอบตาคิดถึงคุณพ่อของแป๋มที่มักจะมีคำสัพยอกแม่ของแป๋มทำนองนี้เหมือนกัน เสี่ยวซงหันมองหน้าของแป๋ม ก่อนจะยิ้มบางๆ

“เฮ้อ ข้ารึอุตส่าห์เตรียมคำพูดไว้”

“คำพูดอะไรจูจิ้น”

“ข้าตั้งใจเตรียมคำพูดสบประมาทจูเจี่ยว่าไม่อาจจับกุ้งได้ แต่นางกลับจับมันได้ตั้งห้าตัว หรือว่าเป็นเพราะมีพี่ชายเสี่ยวซงมาด้วยจึงตั้งใจจับกุ้งให้ได้มากๆ ”

แป๋มเปลี่ยนอารมณ์ทันทีจูจิ้น นายนี่สุดยอดเสียจริง

ท่านเจ้าบ้านอมยิ้ม เสี่ยวซงเขย่าหัวจูจิ้นไปมาแป๋มชี้หน้ากลมๆ ของจูจิ้น

“จูจิ้นน้องพี่ อีกหน่อยเจ้าก็คงจะโตเมื่อวันนั้นมาถึง ข้าก็คงหาโอกาสเอาคืนเจ้าให้เจ้าได้ขายหน้า หญิงงามสักคนที่เจ้าพึงใจนาง….”

รีบยกมือปิดปากเหมือนกับเป็นการเปิดเผยความในใจเสี่ยวซงอมยิ้ม

จูจิ้นยักคิ้วแผล็บๆ เมื่อแป๋มขุดหลุมล่อจูจิ้นแล้วตัวเองตกลงไปเอง

ข้างลำธารที่พุ่มไม้หนา

“ไท่จือเป็นไท่จืออย่างแน่นอนเหตุใดถึง มาซ่อนตัวนป่าเขาเช่นนี้”

“รีบกราบทูลแล้ว เชิญตัวไท่จือกลับไปวังหลวงเสียเถิด”

“รอให้ปลอดคนจึงจะแสดงตัว ตอนนี้มีแต่จะสร้างความตกจและเสื่อมเสียหากคนพวกนั้นดีก็คงไม่มีปัญหาแต่หากเห็นว่าเป็นไท่จือแล้วต้องการผลประโยชน์จึงยากจะควบคุม”

เสี่ยวซงเหลือบตาเห็นแล้วว่ามีคนอยู่ที่นั่น

“ท่านลุงรีบกลับกันเถิด”

ท่านเจ้าบ้านเฉินพยักหน้า เสี่ยวซงแบกถังใส่กุ้งจูจิ้นกำมือเสี่ยวซงไว้แป๋มเดินตามหลังรั้งท้ายด้วยท่านเฉิน

“มากันแล้ว”ฮูหยินเอ่ยทักรับเอาถังกุ้งในมือของเสี่ยวซง

“โอ้โห้วันนี้ได้ตัวใหญ่ มากมายเช่นนี้ วันนี้ข้าจะแกงกุ้งกับกุ้งย่าง ให้พวกเจ้าได้กินกัน”

“ท่านแม่แล้วพี่จูเจี่ยกินเยอะๆ ไม่อ้วนหรือไรพี่จูเจี่ยยิ่งชอบกินกุ้งอยู่ด้วย”

“ข้ามีวิธีไม่ให้นางอ้วน จะว่าไปหลายวันมานี้จูเจี่ยยอมกินอาหารที่ข้าทำไม่กินหมูกับไก่เหมือนที่เคยทำหมูเค็มเราก็เหลือเก็บไว้กินอีกนาน เจ้าเห็นหรือไม่พี่สาวเจ้าผอมลงไปไม่น้อย”

แป๋มอมยิ้ม ก้มหน้าเขินอาย

“จูเจี่ย ท่านคงอยากจะสวยอวดพี่เสี่ยวซงแน่เลย”

เจ้าเด็กบ้านี่เอาอีกแล้ว

“ข้าอยากจะพัฒนาตัวเองสียบ้าง”

“อาหารที่แม่เจ้าปรุงสองสามวันมานี้ ล้วนแต่เป็นของที่กินแล้วไม่อ้วนเจ้าพูดเองว่าอยากจะผอมข้าคุยกับแม่ของเจ้าแล้วว่าเราจะปรุงแต่อาหารที่จูเจี่ยกินแล้วไม่อ้วน เพียงแต่เจ้าไม่ปฏิเสธมันรับรองเห็นผลอย่างแน่นอน”

แป๋มยิ้มซาบซึ้งน้ำจอย่างที่สุดย้อนเวลามาไม่เสียทีอย่างน้อยก็มีคนใส่ใจ

จูจิ้นกับจูเจี่ยนั่งย่างกุ้งบนเตา ดิน เสี่ยวซงยกเอาหินลาวาที่มีเก็บไว้หลายขนาดมาวางบนเตาดินกองไฟด้านล่างเอากุ้งตัวใหญ่ขึ้นไปวาง แป๋มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว วันนี้ฮูหยินเฉินมาดึงสายรัดเอวให้เพราะแป๋มทำอยู่นานก็ไม่เป็นผลไม่เหมือนอย่างที่เขาทำกัน

“เจ้าผอมลงไปจริงๆ รู้สึกตัวบ้างไหม”

แป๋มพยักหน้าผอมลงไปจริงๆ มีองค์มีเอวกับเขาด้วยคงลงไปไม่ต่ำสามกิโลหากเป็นที่บ้านคงลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว เสี่ยวซงมองอาภรณ์สีพื้นๆ ของแป๋มที่สวมใส่เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบเสีย จูจิ้น นั่งอยู่บนตักของเสี่ยวซง พลิกกุ้งไปมาเอามืออังเตาไฟไล่ความหนาวเหน็บลมแรงกรรโชก ท่านเฉิน ขยับเข้าใกล้เตาดินอีกคน

“พรุ่งนี้หิมะคงตกแน่ๆ หากอากาศจะหนาวลงเรื่อยๆ แบบนี้ อีกสองสามวันข้าตั้งใจจะพาพวกเจ้าขึ้นไปเก็บหน่อไม้ป่ามาบนเขา เพื่อเตรียมส่งเข้าวังหลวงฝ่าบาทนิยมกินหน่อไม่มากฉะนั้นจึงต้องคัดที่ดีที่สุดถวายที่เหลือเราเก็บไว้กินเอง”

“ท่านลุงทำไมไม่เก็บของดีดีไว้กิน”เสี่ยวซงถาม

“ของดีดี ขายได้ราคางามแลกเสื้อผ้าหรือของที่เราไม่สามารถหาเองได้ ถือว่าถูกต้องแล้ว ส่วนที่เหลือก็ใช่ว่าไม่ดีแต่คนชอบมองว่าของสวยไร้ที่ติจึงเป็นของดีบางทีของที่ไม่สวยรสชาติก็ไม่ได้ต่างกันเพียงแต่มันไม่สวยไม่ถูกใจคนกินเช่นนั้นในใจข้า หากใครต้องการของดีในแบบของเขา ข้าก็เพียงแต่ให้เขาไป ส่วนเรากินแค่ที่สดใหม่ก็ล้วนเป็นของดีในแบบของเราเช่นกัน”

เสี่ยวซงพยักหน้ายิ้มๆ กุ้งตัวที่สุกถูกวางในถาดไม้ พร้อมกับน้ำจิ้มที่ มีพริกและชวงเจียสีเขียวโขลกปนกันกลายเป็นสีเขียวแดงน่ากิน

“ท่านพ่อ ทำไม่มีทำน้ำจิ้ม…”

กำลังจะเอ่ยปากถามเรื่องชวงเจียกลิ่นฉุนเหมือนหมาล่า

“ชวงเจีย ข้าเพิ่งเข้าป่าไปเก็บมาเมื่อหลายวันก่อน เหี่ยวไปบ้างแต่ก็ยังเขียวยังหอม กินกับกุ้งย่างรสดีที่สุด”

“ไม่นิยมกินกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหรือ”

“เจ้าลองน้ำจิ้มสูตรนี้ดูก่อนล้วนเข้ากันกับกุ้งย่างไม่น้อย อีกทั้งซวงเจียยังบำรุงหัวใจบำรุงโลหิต ลดความดัน ย่อยอาหาร ขับลมในลำไส้”

อย่างนี้ก็ช่วยไม่ให้รู้สึกอึดอัดเวลากินแกงมันเทศ แล้วที่แน่ๆอาจมีผายลมบ้าง อือ ..ช่างรอบคอบเสียจริงอาหารแต่ละอย่างล้วนเแม็ทกันและพิถีพิถันอย่างที่สุด

ท่านเฉินบรรจงแกะกุ้งเนื้อแน่นเหนียวหนึบส่งให้แป๋ม หัวของกุ้งเป็นสีแดงส้ม มันหัวกุ้ง อะฮ้า ของโปรด การเปิบมือเริ่มขึ้นแล้วแป๋มใช้มือหยิบกุ้งที่ท่านเฉินส่งให้จิ้มไปที่ น้ำจิ้มผสมซวงเจี่ย รสชาติเผ็ดร้อน หวานนิดๆ เค็มหน่อยๆ แล้วก็มีความมันหนึบและนุ่มวหวานของกุ้งสดๆ ที่ตัวใหญ่จนเกือบจะเต็มปากรสชาติ อร่อยจะแป๋ม อยากจะร้องไห้ รสหวานของเนื้อกุ้งติดที่ริมฝีปากความเผ็ดร้อนอยู่ที่ปลายลิ้น และเมื่อเคี้ยวเนื้อกุ้งกับรู้สึกถึงความนุ่มและหวานหอม

“ลงมือกันเลย กุ้งกินเป็นดิ่มซำส่วนกับข้าวแม่เจ้ากำลังแกงกุ้งกับ มันเทศกลิ่นหอมมาแต่ไกลแล้ว”

พอได้รับอนุญาต ต่างคนต่างคว้าตัวกุ้งคนละตัวสองตัว กุ้งที่เห็นมากมายจนแป๋มคิดว่าจะกินไม่หมด แต่เมื่อลิ้มรสของมันแล้วใครกันจะอดใจไหว

“อร่อยที่สุดในสามโลก”

เสี่ยวซง แกะกุ้งให้กับท่านเฉินและจูจิ้น ก่อนจะยื่นส่งให้แป๋มแบบอายๆ

“ข้า.ข้าแกะเองได้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel