บทที่ 2 บาง Bar'r บาร์ของคนโสด .2
พวกเราโอนย้ายหน่วยกิตมาเรียนที่มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งที่เสียค่าหน่วยกิตไม่แพงนักและอยู่หอพักใกล้ ๆ ที่เรียน แต่เวลาผ่านมาไม่นานนักสิ่งที่พวกเราหวาดกลัวก็เกิดขึ้นม่านไหมที่เริ่มจะทำใจได้กลับตั้งครรภ์เป็นเพราะผลพวงที่เกิดในคราวนั้นและตอนนั้นเธอก็ช็อกมาก
กว่าที่พวกเราจะตั้งสติกันได้อีกครั้งก็เล่นเอาหนักหน่วงพอสมควรมันเหมือนบททดสอบชีวิตสำหรับม่านไหมแต่เธอกลับเข้มแข็งมากนัก เพราะสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในท้องของเธอทำให้เธอเลือกที่จะก้าวผ่านมันอย่างองอาจและเธอก็ไม่คิดที่จะเอาเด็กคนนั้นออก
นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราเลือกและมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราเลยก็ว่าได้ พอคิดย้อนกลับไปคนที่เข้มแข็งที่สุดในตอนนั้นคงไม่พ้นผู้เป็นพี่สาวที่ต้องเรียนไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วยถึงแม้ว่าบางครั้งฉันกับแพรไปสอบแทนบ้างเพราะนั่นเป็นสิ่งที่พวกเราตั้งใจเอาไว้ว่าพวกเราต้องจบพร้อมกันนั่นเอง
ดีที่พวกเราเลือกเรียนคนละคณะเลยไม่ทำให้อาจารย์จับได้ และตอนนี้สิ่งที่เป็นกำลังใจของพวกเราก็คงไม่พ้นเจ้าลูกหมูตัวอ้วนกลมที่อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน
เด็กชายกัลย์ดิษฐ์ ฉัตรชนกหรือน้องกัลย์เด็กน้อยที่ไม่มีใครรู้ว่าพ่อที่แท้จริงเป็นใครรวมถึงพี่สาวฉันก็ไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแต่พวกเราก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องในคืนนั้นอีกเลย มันเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนพร้อมที่จะฝังกลบเอาไว้ในใจและฉันเองก็รู้ว่าพี่สาวนั้นยังคงกลัวกับเหตุการณ์ที่ฝังใจนั้นมาตลอด แต่เหมือนว่าเจ้าลูกหมูนั้นจะมีเลือดอีกครึ่งเป็นต่างชาติเพราะพันธุกรรมที่เด่นชัดยิ่งโตขึ้นยิ่งปรากฏชัดเจน
เด็กอ้วนผมทองนัยน์ตาสีฟ้านั่นทำเอาเราสามคนที่เห็นครั้งแรกในตอนที่พยาบาลนำเด็กตัวน้อยมาส่งผู้เป็นมารดาพวกเราทั้งสามคนมองเด็กอ้วนด้วยอาการตกตะลึงก่อนจะพากันร้องไห้โฮด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าเด็กน้อยคนนี้สักที
และคนที่ดีใจที่สุดก็ไม่พ้นพี่สาวของฉัน ฉันรู้ว่าพี่สาวฉันทำใจเรื่องนั้นได้แล้วและตอนนี้ก็โฟกัสเพียงเด็กน้อยนัยน์ตาสีฟ้าเท่านั้นรวมถึงฉันและแพรไหมด้วยใครจะมาเห่อเท่าฉันสองคนที่เป็นน้าได้
ตอนนี้พวกเราถือว่าความเป็นอยู่ค่อนข้างดีไม่ได้อัตคัดขัดสนเหมือนกับการมาที่นี่ครั้งแรก พวกเราเรียนจบและทำงานตามที่ตนเองตั้งใจแพรไหมทำงานเป็นเลขาที่บริษัทแห่งหนึ่งส่วนม่านไหมทำงานเกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้าเพราะเป็นคนมีพรสวรรค์จนตอนนี้ก็มีร้านเสื้อผ้าออนไลน์เป็นของตัวเองเสื้อผ้าทุกชิ้นม่านไหมจะเป็นคนออกแบบและส่งไปที่โรงงานและเธอก็เอามาไลฟ์ขายจนเป็นที่ต้องตาของใครหลายคนจนเริ่มมีคนติดใจแบรนด์เสื้อผ้าของเธอและตอนนี้เธอก็กำลังขยายกิจการ
ส่วนฉันเปิดร้านเบเกอรี่หน้าหมู่บ้านและกลางคืนก็ไปรับงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์โฮสแห่งหนึ่งนอกจากเสิร์ฟก็ยังช่วยทำงานทั่วไปเพราะความไว้ใจจากเจ้าของร้านและผู้จัดการร้านงานของฉันจึงไม่ได้ตายตัวนักจะว่าเป็นเพราะพวกพี่เขาเอ็นดูก็ว่าได้
ตอนนี้พวกเราทั้งสามคนย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรเล็ก ๆ แห่งหนึ่งโดยที่ต่างคนก็ต่างทำงานหาเงินมาปรนเปรอเจ้าอ้วนกันไม่หยุดพูดแล้วก็คิดถึงไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเด็กอ้วนนอนหรือยังอยากหอมก้นขาว ๆ นุ่มนิ่มของเจ้าอ้วนจัง อื้อ...คันเขี้ยวขึ้นมาทันที
หลังจากเดินตามพี่สองเข้ามาในร้านฉันก็แยกมาทำหน้าที่ของตัวเองพร้อมกับคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะเข้ามาเปลี่ยนชุดเสิร์ฟและจัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพที่พร้อมทำงานไม่ใช่ยัยเพิ้งที่ดูไม่ได้เหมือนตอนที่เข้ามาก่อนหน้านั้น หลังจัดการแปลงโฉมเสร็จฉันก็เดินเข้าไปหาบรรดาหนุ่มโฮสต์ที่เตรียมตัวอยู่อีกห้องหนึ่งถามว่าทำไมฉันถึงเลือกงานที่นี่ ทุกคนอาจคิดว่าฉันต้องดิ้นรนสู้ชีวิตเป็นอย่างมาก ทำงานที่เดียวเงินต้องไม่พอยาไส้แน่ ๆ และใช่ก็เพราะฉันอยากได้เงินเยอะยังไงล่ะ!
และที่นี่ก็เป็นที่ที่เงินเดือนเยอะมาก ๆ แต่จริง ๆ แล้วเรื่องที่ดึงดูดฉันให้อยู่ที่นี่มันมากกว่าเงินเดือนที่ได้หลายเท่านัก
ฉันทำที่นี่มาตั้งแต่ย้ายมาเรียนใหม่ ๆ หลังจากดั้นด้นวิ่งหางานอยู่นานก็ไปเจอกับเจ้แพทตี้ที่กำลังถูกกระชากกระเป๋ายื้อยุดฉุดกระชากกับโจรอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ตอนนั้นฉันที่เพิ่งเคยเห็นเหตุการณ์ระทึกขวัญเป็นครั้งแรกก็ทำอะไรไม่ถูก แต่ใครจะรู้ว่าเสียงร้องของเจ้แพทตี้มันปลุกประสาทฉันจนฮึกเหิมเพราะถ้าฟังเจ้มันร้องกรี๊ดอีกครั้งแก้วหูฉันคงได้แตก
โดยไม่ทันได้คิดอะไรฉันก็หยิบไม้ขนาดพอดีที่ฉันเห็นตรงซอกกำแพงแล้ววิ่งพุ่งไปที่ผู้ชายผอมแห้งอย่างกับคนติดยาฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันเอาไม้ฟาดไปที่มือมันอย่างแรงพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของมันที่ดังขึ้นทันที และสิ่งที่ทำเอาฉันตะลึงกว่าการที่ไอ้โจรคนนั้นถูกตีก็คือไม้ที่ฉันฟาดมันเต็มแรงนั้นมันมีตะปูติดอยู่ทำให้ไอ้โจรมันปล่อยกระเป๋าที่ยื้อกับเจ้แพทตี้ทันที
พอฉันเห็นว่ามันเลือดออกฉันก็ตกใจไม่แพ้กันจนต้องรีบปล่อยมือออกจำได้ว่าตอนนั้นกลัวจนตัวสั่นมาก ส่วนไอ้โจรนั่นก็ดึงไม้ที่มีตะปูปักออกจากเนื้อด้วยใบหน้าที่เจ็บปวดพร้อมเสียงร้องน่ากลัวเลือดมันพุ่งต่อหน้าฉันแลดูสยดสยองติดตา
และตอนนั้นเองเจ้แพทตี้ที่เห็นความได้เปรียบก็อาศัยจังหวะที่มันบาดเจ็บยกเท้าถีบไปที่มันเต็มแรงจนมันล้มกระแทกพื้นเสียงดังอักและเจ้แพทตี้ยังคงตามไปกระทืบมันอีกหลายครั้งจนฉันเองก็ตกใจและยังงงว่าทำไมก่อนหน้านั้นเจ้มันถึงไม่สู้โจรวะ แต่พอเจ้มันเห็นฉันเข้าไปช่วยเท่านั้นแหละความบรรลัยเลยเกิด
ฉันมองเจ้มันกระทืบโจรพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่ตัวเองใหญ่กว่าไอ้โจรห้าร้อยนั่นเป็นสองเท่าคิดดูว่าผู้ชายที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบกับไอ้โจรกระจอกที่สูงไม่ถึงไหล่
ลองคิดสภาพดูแล้วกัน...
ถ้าไม่มีคนเข้ามาช่วยห้ามป่านนี้เจ้แพทตี้คงกลายเป็นฆาตกรไปแล้วคงไม่ได้มาเป็นเจ้แพทตี้คลุมบางBar'r อยู่ถึงทุกวันนี้เพราะอาจจะเข้าไปเป็นลูกพี่หัวโจกคุมคนในคุกแทน เจ้แพทตี้ในตอนนั้นเหมือนคนที่กำลังสติแตก สาวแตกกลายเป็นหนุ่มน่ากลัวทั้งเสียงพูดแตกห้าวทั้งเท้าที่กระทืบไอ้โจรนั่นไม่หยุดไม่ต่างจากผู้ชายคนหนึ่งที่ดูโมโหจนหลุดโลกลืมไปว่าตัวเองเป็นสาวสองส่วนฉันที่ไม่คิดเข้าไปห้ามเพราะเกรงว่าจะโดนลูกหลงก็ได้แต่ยืนมองเจ้มันกระทืบผู้ชายคนนั้นตาปริบ ๆ แต่ไม่นานนักก็มีคนเข้ามาห้ามเจ้ไม่ให้กระทืบต่อ ฉันมองผู้ชายมาใหม่พร้อมกับมองเจ้ที่อยู่ ๆ อาการมาดแมนก็หายไป
เพราะจู่ ๆ เจ้มันก็เกิดอาการเข่าอ่อนตัวอ่อนร่างยักษ์ของเจ้มันเซถลาไปหาผู้ชายที่เพิ่งเข้ามาเสียอย่างนั้นทั้งสายตาที่มองไปยังผู้ชายคนนั้นก็ทำให้ฉันนึกร้องอ๋อ...ในใจพร้อมกับแอบกลอกตามองบนไปหนึ่งกรุบ
กะเทยการละครนี่เอง
ฉันมองอีเจ้มันสวมบทบาททำเป็นตัวเล็กตัวน้อยทั้งดัดเสียงออดอ้อนเกินจริงทั้งร่างกายที่ดูระโหยโรยแรงทั้งที่ตัวเองเพิ่งกระทืบคนมาและฉันยังเห็นอีกว่าอีเจ้มันไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลยด้วยซ้ำ หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์พร้อมกับจับคนร้ายเข้าคุก
หลังจากนั้นฉันก็เดินตามเจ้มันมาอย่างงง ๆ และนั่นแหละคือการเจอกันครั้งแรกของฉันกับอีเจ้แล้วฉันก็ยังถือเป็นผู้มีพระคุณของเจ้มันด้วยนะ ถึงแม้ว่าจะมารู้ทีหลังว่าผู้ชายคนที่เจ้มันอ่อยเบอร์แรงคนนั้นคือคนที่เจ้มันแอบชอบอยู่ แล้วที่ทำทีกรีดร้องสู้โจรไม่ได้นั่นก็เพราะอยากเรียกร้องความสนใจต่อผู้ชายคนนั้นที่เป็นเจ้าของร้านอาหารอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ถึงว่าที่ฉันได้ยินเสียงร้องประหลาดแสบแก้วหูอันที่จริงมันไม่ได้เกิดจากความกลัวอะไรนั่นหรอกแต่มารยาเจ้เค้าล้วน ๆ
แต่ดันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเพราะฉันดันเป็นฝ่ายไปช่วยเจ้มันก่อนไง ถึงไม่รู้ว่ามันกำลังแสดงแต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ของเจ้กับผู้ชายคนนั้นก็เหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมมั้ง! ก็เห็นเจ้บอกว่าแต่ก่อนเค้าไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำแต่ตอนนี้คุยกันแล้ว ตอนที่ผู้ชายคนนั้นพูดทักสวัสดีตอนเช้าของทุกวันในตอนที่อีเจ้มันเข้าไปทานอาหารที่ร้านนั้น
ฉันแอบเพลียให้กับการมโนของเจ้มันก็เพราะพี่เค้าพูดสวัสดีกับลูกค้าทุกคนที่เข้าไปในร้านมั้ยแต่เหมือนกับว่าความสัมพันธ์ไม่ได้คืบหน้าไปกว่านั้นเพราะเจ้าของร้านจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว
อันที่จริงย้ายตามสามีไปอยู่ต่างประเทศต่างหาก ฮ่า ฮ่า คิดแล้วสมน้ำหน้าอีเจ้นักเป็นตัวแม่ภาษาอะไรถึงไม่เห็นความเป็นลูกสาวของผู้ชายคนนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งขำสีหน้าตอนที่อีเจ้มันรู้ความจริงจะว่าสงสารก็สงสารอ่ะนะ
แต่หลังจากนั้นก็เหมือนว่าอีเจ้มันจะมีอะไรดี ๆ เพราะแอบเห็นเจ้มันชอบแอบยิ้มอยู่คนเดียวบ่อย ๆ
เอิ่ม...ถ้าไม่ได้เป็นบ้าก็คงไบโพล่าร์ เอ๊ย! ไม่ใช่ดิ..ดูเหมือนคนมีความรักมากกว่าเพราะว่ารอบตัวเจ้มันเป็นสีชมพู๊...ชมพูฟรุ๊งเต็มไปหมด