บทย่อ
ใครจะรู้ว่าหุ้นส่วนอีกคนของร้านบาร์โฮสที่เธอทำงานอยู่จะเป็นผู้ชายคนที่เธอเคยแบล็คเมล์มาก่อน พสุธา กิจธนะวรกุล ดิน อายุ 28 ปี นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศทายาทเจ้าของโรงแรมและธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แถมยังมีบริษัทส่งออกอะไหล่ยนต์ครบวงจรล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่ทำเงินปีละมหาศาล เคยถูกสาวแบล็คเมลและจำฝั่งใจมาจนถึงทุกวันนี้ พสุธาต้องมาทำงานแทนพี่สาวช่วงที่พี่สาวท้องแก่ใกล้คลอดแต่เหมือนว่าการเข้ามาที่นี่ไม่เสียเปล่าเพราะใครจะคิดว่าเขาจะมาเจอกับผู้หญิงคนนั้น...คนที่ทำให้เขาเข็ดขยาดกับผู้หญิงจนต้องอาศัยจิตแพทย์บำบัด ... กุลนันท์ ฉัตรชนก ใยไหม อายุ 24 ปี หญิงสาวสู้ชีวิตทำงานทุกอย่างที่ได้เงินมีฝาแฝดไม่ใช่แค่สองแต่ใยไหมมีแฝดสาม หกปีที่แล้วเธอทำสิ่งที่ผิดและฝังใจมาตลอด ทุกวันนี้ใยไหมทำงานสองที่ ที่แรกเป็นร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่ทุกคนเข้าใจว่าเธอเป็นเพียงพนักงานร้านตัวเล็ก ๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอนั่นแหละเป็นเจ้าของร้าน ส่วนงานที่สองเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านบาร์โฮสแห่งหนึ่ง ทุกคนคิดว่าเธอทำเพราะขัดสนต้องการเงินแต่ใครจะคิดว่าที่เธอทำทุกวันนี้เพราะหนุ่มโฮสต์กล้ามแน่นนั้นต่างหากที่ดึงดูดเธอมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ใครจะคิดว่าหุ้นส่วนร้านคนใหม่ที่มาแทนชั่วคราวในระหว่างที่เจ้าของร้านไปคลอดลูกจะเป็นคนที่เธอทำเขาไว้เจ็บแสบเมื่อหกปีก่อน ... ... "หึ! เปล่าใครจะไปถูกใจคนที่หลอกแบล็กเมล์กูว่ะ.. "อย่าบอกนะว่าจะให้น้องมันบำบัดมึงไหนว่ามึงหายแล้วไง" "หายไม่หายแล้วไงถึงยังไงผู้หญิงคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เคยทำกับกูมั้ยวะมึงคิดว่าที่กูโดนผู้หญิงคนนั้นทำกับกูในตอนนั้นกูควรจะปล่อยเธอไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอมึงคิดว่ากูรู้สึกยังไงที่รู้ว่าโดนผู้หญิงคนนั้นหลอกเหมือนกูเป็นคนโง่!!" "ไอ้เหี้ยดินอย่าบอกนะว่ามึงทำกับน้องเพราะอยากแก้แค้นแค่นั้นแล้วน้องล่ะ มึงไม่คิดถึงจิตใจน้องมันบ้างวะ" "กูก็เห็นเด็กนั้นมันชอบนักไม่ใช่เหรอผู้ชายน่ะ แค่โดนกูเอาก็ไม่ได้สึกหรออะไรนี่ น่าจะชอบด้วยซ้ำกูก็ไม่ใช่คนธรรมดา กูมีหน้ามีตาตามที่เธอเลือกไงเธอควรจะดีใจด้วยซ้ำที่คนอย่างกูให้ความสนใจหรือให้เธอเรียกร้องมาสิ! คอนโด รถยนต์ กระเป๋าหรูเครื่องสำอางแบรนด์ดังหรือจะเอาเงินเรียกร้องแบบเธอเคยเรียกร้องมาน่ะ" ... ... โปรดอ่านสักนิด สวัสดีค่ะ นิยายเมีย(ไม่)ลับเจ้าของบาร์โฮส เป็นหนึ่งในเซตนิยายเมีย(ไม่)ลับโดยจะมีทั้งหมดสามเรื่องด้วยกันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับสามสาวฝาแฝดที่ดิ้นรนต่อสู้ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นนิยายอ่านง่ายมีอารมณ์หลากหลายตัวละครบางมุมอาจจะดูซับซ้อน การพูดคุยของตัวละครอาจมีคำหยาบคายทุกตัวละครไม่ได้ดีเริ๊ดมีขาวมีดำมีรัก โลภ โกรธ หลง มีความเห็นแก่ตัว ดั่งบุคคลธรรมดาทั่วไป เรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในจินตนาการแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ถ้าหากชื่นชอบรบกวนกดรีวิวกดหัวใจให้ด้วยน้า ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วย ปล. หากพบคำผิดอย่าเพิ่งหักดาวไรท์น้า ไรท์ตรวจหลายรอบตรวจจนตาลายไปหมดแต่หากยังพบตำผิดอยู่ต้องขออภัยจริง ๆ ค่ะ
บทที่ 1 บาง Bar'r บาร์ของคนโสด .1
ร้านบาง Bar'r
"ไอ้ไหมมาเร็วเข้า ชักช้าจริงรู้ก็รู้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ร้านจะยุ่งเป็นพิเศษยังจะมาช้าอีก มันน่าตบให้สมองไหลเลยนะแกเนี่ยะ!" เสียงแปดหลอดของผู้จัดการร้านนามว่าแพท เอ๊ย! เจ้แพทตี้กะเทยร่างยักษ์ที่ยืนทำหน้าบึ้ง ทำเอาคนที่เพิ่งวิ่งมาถึงกับตัวสั่นเพราะความกลัวพร้อมกับยกมือไหว้ผู้จัดการร้านด้วยอาการลนลานการโดนด่าจากคนตรงหน้าไม่น่ากลัวเท่าการโดนหักเงินหรือถ้าเกิดไล่ออกขึ้นมาเธอต้องแย่แน่ ๆ
แฮ่ก!
"สวัสดีค่ะพี่แพท เอ๊ย!!เจ้แพทตี้...ขอโทษที่หนูมาสายนะคะ" เด็กสาวในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงยีนขาสั้นตัวชายขาดตามสมัยนิยมพร้อมกับใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักไม่เข้ากับอายุที่ตอนนี้หยุดตรงหน้าสาวสองตัวสูงใหญ่อย่างกับยักษ์วัดแจ้งแต่ดันแต่งองค์ทรงเครื่องสาวจัดจนเธอเองยังยอมแพ้
"อีเด็กนี่ ตอนแรกว่าจะไม่ด่าละแต่พอเรียกชื่อเก่าเจ้ล่ะอยากจะตบสักที" ไม่พูดเปล่ามือใหญ่เท่าจานเปลยกสูงจนคนตัวเล็กทำคอหดยกมือกันใบหน้าทั้งสองมือพร้อมกับร้องห้ามเสียงหลงแถมเจ้าตัวยังเผลอกระโดดถอยหลังกรูด้วยความตกใจ เพราะถ้าหากโดนอีเจ้ตบขึ้นมาจริงละก็..
อย่าถามว่าจะลุกขึ้นมาได้หรือเปล่า... ต้องถามว่าเธอจะฟื้นขึ้นมามั้ย!!! เพราะรูปร่างเธอนั้นเล็กกระจิ๋วเดียวเพียงแค่เจ้แพทตี้สะบัดปลายนิ้วก็ทำเอาเธอปลิวได้แล้ว เอาไรกะคนสูงร้อยห้าสิบเจ็ดกันล่ะแต่ถึงจะตัวเล็กแต่อย่างอื่นไม่เล็กนะจ๊ะพอดีแม่ให้มาเยอะ
"เจ้ขา...อย่าตบหนูนะ กรี๊ด ๆ พี่สองขาช่วยด้วยเจ้จะตบหนู พี่สองขาช่วยด้วยค่า..." เสียงกรีดร้องกรี๊ดกร๊าดเกินจริงพร้อมสับขาสั้น ๆ วิ่งซอยเท้ายิก ๆ เข้าไปหาคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านพร้อมคลี่ยิ้มสวย เป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ทำให้คนอย่างใยไหมกระชุ่มกระชวยหัวใจเป็นที่สุด
หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปเกาะหนุ่มโฮสต์เบอร์หนึ่งของร้านบางBar’r ขวัญใจของเธอแขนเรียวคล้องหมับเข้าไปที่ผู้มาใหม่ออดอ้อนออเซาะฉอเลาะทำเอาผู้จัดการร้านเบะปากมองบน
"พี่สองขาดูเจ้ดิจะตบหนู" ใยไหมทำหน้ายื่นปากยาวฟ้องผู้มาใหม่ก่อนจะเอนเอียงใบหน้าซบลงบนไหล่แกร่งของโฮสต์เบอร์หนึ่งพร้อมกับยิ้มทักทายโบกไม้โบกมือให้หนุ่ม ๆ ที่ทยอยเดินเรียงรายเข้ามาในร้านพร้อมเริ่มงานในค่ำคืนนี้
สองหนุ่มโฮสต์หล่อสไตล์เกาหลียกมือลูบหัวสาวน้อยน่ารักก่อนจะโยกไปมาอย่างแรงด้วยความมันเขี้ยว เข้าร้านปุ๊ปตัววุ่นก็จู่โจมทันทีพร้อมกับการตีกันของสองคนต่างขนาดที่เห็นจนชินตา
"สวัสดีครับเจ้" คนมาใหม่ยกมือไหว้อ่อนช้อยงดงามตามแบบฉบับผู้ชายมารยาทดีอีกทั้งคำพูดยังฟังนุ่มเบาสบายพาคนคล้อยตามได้ง่ายนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนุ่มเบอร์หนึ่งที่สาว ๆ พากันติด
"สองมาก็ดีแล้วพานังเด็กประสาทไปทีอยู่กับมันแล้วเจ้ปวดหัวมากนะ ร้องโอเวอร์ทำอย่างกับเจ้จะตบมันจริง ๆ " กะเทยร่างยักษ์บ่นเสียงดังยกมือเท้าเอวชี้หน้าเด็กสาวที่ยืนยิ้มแฉ่งข้างหนุ่มหล่อแต่ไม่วายโดนเด็กมันจะตอกกลับมาอย่างทันควัน
"อ่าว..เจ้ เห็นว่าอยากเล่นบทโหดหนูก็ส่งบทให้เจ้แล้วไง" เด็กสาวยืนเถียงผู้จัดการร้านฉอด ๆ ก่อนจะวิ่งตามหนุ่มโฮสต์ขวัญใจเข้าไปในร้าน
เสียงร้องโวยวายของพนักงานตัวเล็กไม่ทำให้ผู้คนที่กำลังเดินเข้ามาใส่ใจ เพราะเป็นภาพที่ทุกคนเห็นได้ทุกวันถ้าไม่เห็นตีกันนี่สิแปลก
...
สวัสดีค่ะฉันชื่อนางสาวกุลนันท์ ฉัตรชนกชื่อเล่นใยไหม อายุ 24 อีกไม่ถึงเดือนก็จะเข้าสู่วัยเบญจเพสแล้วฉันมีพี่น้องทั้งหมดสามคนและที่สำคัญเราสามคนยังเป็นฝาแฝดกันอีกด้วยแฝดคนโตชื่อม่านไหมแฝดคนกลางชื่อแพรไหมและฉันใยไหมออกมาเป็นคนสุดท้าย
ฉันกับบรรดาพี่สาวฝาแฝดถ้ามองแบบผิวเผินจะไม่สามารถแยกออกด้วยซ้ำว่าคนไหนเป็นคนไหนเพราะพวกเราเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่ถ้าสังเกตดี ๆ พวกเราทั้งสามคนมีจุดตำหนิบนใบหน้าต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฉันจะมีขี้แมลงวันอยู่บนบริเวณใต้ตาข้างซ้าย ม่านไหมจะมีเขี้ยวเล็ก ๆ แพรไหมจะมีลักยิ้มซึ่งเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดถ้าพวกเราอยู่ด้วยกัน
พวกเราเป็นเด็กกำพร้าพ่อกับแม่เสียไปตั้งแต่เด็กด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์แต่พวกเราก็ยังมีตากับยายที่เลี้ยงพวกเรามาเป็นอย่างดีและเงินประกันชีวิตที่พ่อกับแม่ทำเอาไว้ก็สามารถเลี้ยงพวกเราได้หลายปีแล้วยังมีเงินมรดกของพ่อกับแม่ที่สามารถส่งให้พวกเราเรียนจบปริญญาตรีได้ทั้งสามคน
ตอนที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่พวกเราไม่เคยอยู่อย่างลำบาก พ่อกับแม่ของพวกเราเป็นหมอและชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราก็ดีมากด้วย
แต่หลังจากเกิดอุบัติเหตุพรากบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเราไป เราต้องโยกย้ายจากบ้านที่อยู่อาศัยพ่อพวกเราเป็นเด็กกำพร้าแต่เพราะเป็นคนมุมานะขยันศึกษาเล่าเรียนและถีบตัวเองจนได้ดิบได้ดีเป็นถึงนายแพทย์ใหญ่และไม่มีญาติพี่น้องคนไหน พวกเราจำต้องย้ายมาอยู่กับตายายที่จังหวัดเชียงใหม่พอโตมาตาก็จากไปในตอนที่พวกเราอายุได้สิบสี่ปี พอตาเสียไปไม่นานยายก็จากไปในเวลาไล่เลี่ยกันสร้างความเสียใจให้กับพวกเราสามสาวเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นพวกเราก็ถูกลุงกับป้าแท้ ๆ พาไปอยู่ด้วยถือเป็นผู้ปกครองและยึดเอาเงินที่เป็นของพ่อกับแม่ทิ้งไว้นำไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ส่วนพวกเราสามคนก็ถูกจำกัดการใช้จ่ายทุกอย่าง ตอนนั้นพวกเรายังเด็กมากไม่รู้เรื่องราวที่พวกลุงกับป้าทำแต่ก็พอโตมาก็รู้ว่าพวกเราเป็นแค่เด็กที่มีประโยชน์ของสองผัวเมียนั่นเท่านั้น ที่เอาพวกเรามาเลี้ยงก็เพราะเงินที่หวังเงินจากมรดกของพ่อกับแม่บ้านที่เคยอยู่ก็ถูกขายเปลี่ยนเป็นเงิน เพียงแค่ไม่กี่ปีเงินมรดกก็หมดลงพร้อมกับปัญหาหนี้สินที่ตามมามากมาย
สองผัวเมียนอกจากจะใช้เงินเก่งแล้วยังเอาเงินที่มีไปเล่นการพนันจนหมดไม่มีเหลือ
จนกระทั่งพวกเราเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐบาลพวกเราก็ออกมาอยู่กันเองที่หอพักของมหาวิทยาลัยตั้งแต่เข้าเรียนชั้นปีหนึ่งและอยู่กันเองสามคนพี่น้องมาตั้งแต่ตอนนั้น
ส่วนลุงกับป้านั่นก็ไม่ได้เหลียวแลตั้งแต่พวกเราหนีออกมาและเหมือนจะดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องมีภาระ พวกเราออกมาอาศัยอยู่ด้วยกันที่หอพักเล็ก ๆ แห่งหนึ่งหลังมหาวิทยาลัย พวกเราเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยและคิดว่าตอนนี้มันดีมากแล้ว ดีกว่าตอนที่อยู่กับทั้งสองคนนั้นแต่ความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน
มันมีเรื่องที่ทำให้เราสามคนพี่น้องต้องจมอยู่กับเสียใจและคนที่เสียใจมากที่สุดก็คงเป็นพี่สาวแฝดคนโตของฉัน
ในปีที่พวกเราอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ลุงกับป้าที่คิดว่าชาตินี้เราจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวตลอดชีวิต กลับเข้ามาในชีวิตของพวกเราอีกครั้งทั้งที่สามปีมานี้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวข้องแวะกัน วันนั้นฉันกับแฝดคนกลางไปทำงานพิเศษเหลือไว้แค่พี่สาวคนโตที่กำลังไม่สบาย ทำให้เธอไม่ได้ไปทำงานและไม่รู้ว่าลุงกับป้ารู้ได้ยังไงว่าพวกเราอาศัยอยู่ที่นั่น ในตอนที่พวกเราไม่อยู่ลุงแท้ ๆ ถือโอกาสเข้ามาหาพี่สาวและพูดจาหลอกล่อพี่ของฉันว่าตอนนี้ป้าป่วยนอนอยู่โรงพยาบาลอยากจะเห็นหน้าหลานสักครั้งถึงจะไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งสามคนก็ไม่เป็นไร ขอเพียงพวกเราคนใดคนหนึ่งเข้าไปเยี่ยมเยียนบ้างแค่นั้น ด้วยความที่พี่สาวเป็นคนจิตใจดีเป็นทุนเดิมและยังตกใจที่ป้าป่วยทำให้เธอไม่ได้คิดอะไรเพียงแค่อยากไปเยี่ยมป้าที่นอนโรงพยาบาลตามที่ลุงบอกเท่านั้น
หลังจากตามลุงออกไปแทนที่เธอจะถูกลุงพาตัวไปที่โรงพยาบาลกลับกลายเป็นว่าเธอถูกพามาที่โรงแรมแห่งหนึ่งและรู้สึกตัวในตอนเช้าพร้อมกับอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่งตอนนั้นเธอทำอะไรไม่ถูกทั้งกลัวทั้งเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นและหนีออกมาด้วยสภาพที่ย่ำแย่สุด ๆ ไม่คิดว่าการตามลุงไปครั้งนั้นทำให้เธอต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าและหวงแหนที่สุดในชีวิตไปแถมยังทำให้พี่สาวเธอต้องทนทุกข์จนเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้า ขนาดฉันกับแพรยังไม่สามารถพาพี่สาวออกมาจากขุมนรกที่ติดอยู่ในใจของเธอได้ นานวันเธอก็ยิ่งจมดิ่งอยู่กับตัวเองเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
หลังจากที่แพรและฉันรู้เรื่องต่างคนต่างโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองแพรไหมโทษตัวเองว่าไม่น่าปล่อยให้พี่สาวซึ่งกำลังป่วยอยู่คนเดียวและฉันก็โทษตัวเองที่ไม่ได้ดูแลพี่เหมือนกันถึงมีโอกาสให้คนเลวนั่นเข้ามาถึงตัวพี่สาวได้ ต่างคนต่างกอดปลอบผู้เป็นพี่สาวที่ได้แต่ร้องไห้หัวใจแทบแหลกสลายไปต่อหน้า น้ำตาของพวกเราเหมือนไม่มีวันหมดมันพรั่งพรูออกมาเป็นสายแข่งกันไม่หยุด
กว่าพวกเราจะช่วยกันปลอบพี่สาวที่อยู่ในสภาวะย่ำแย่จิตใจเปราะบางได้ ก็ผ่านมาหลายวันฉันและแพรต่างก็คอยสลับกันเฝ้าม่านไหมเพราะกลัวว่าเธอจะคิดสั้น
ฉันกับแพรตัดสินใจย้ายที่อยู่เพื่อหนีจากสองคนนั้นเพราะถ้ามีโอกาสมาเจอกันฉันเกรงว่าพี่สาวจะกระทบกระเทือนจิตใจในยามที่ต้องมองหน้าสองคนนั้น
ฉันกับแพรช่วยกันจัดการเรื่องการย้ายที่เรียนและช่วยกันเก็บของยังดีที่มันมีไม่มาก พวกเรามีแค่เอกสารสำคัญ เสื้อผ้ากับของใช้อีกเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อยพวกเราพากันเดินทางออกมาจากเชียงใหม่ด้วยรถไฟมาอยู่ที่กรุงเทพ