7
"ม่านไหมไม่ใช่คนใช้ลูก"
"ถ้าไม่ใช่คนใช้แล้วเป็นอะไรก็เห็นอยู่แต่งตัวมอซอซ่อมซ่อขนาดนี้ถ้าไม่ใช่คนใช้แล้วเป็นอะไร"
"ม่านไหมเป็นลูกสาวของลูกน้องพ่อเองลูกแต่ตอนนี้ลูกน้องพ่อตายไปแล้วพ่อก็เลยรับม่านไหมมาดูแลเพราะเค้าไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนพ่อสงสารก็เลยรับมาอุปการะ"
"หึรับมาอุปการะ ถามจริงพ่อหวังอะไรกับเด็กนี่อยู่หรือเปล่า กำลังแตกเนื้อสาวซะด้วยดูๆแล้วอายุน่าจะซักสิบแปดสิบเก้าแบบนี้พ่อก็ไม่ตอ้งกลัวติดคุกตอนแก่แล้วล่ะสิ"
"แกอย่าคิดอกุศลแบบนี้กับพ่อนะตาเจ้า"
"ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะทำไมพ่อถึงต้องร้อนตัวขนาดนี้ด้วยล่ะ"
"คำพูดของแกใครฟังดูก็รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พ่อจะบอกให้นะว่าพ่อรักหนูม่านไหมเหมือนลูกเหมือนหลานรักเหมือนที่รักแกนั่นแล่ะ"
"หึ รักผมงั้นเหรอ ถ้าพ่อรักผมพ่อคงไม่ทำร้ายแม่จนทำให้แม่ต้องคิดสั้นฆ่าตัวตายทิ้งให้ผมเป็นเด็กกำพร้าแบบนี้หรอก!!"
"ตาเจ้าแกฟังให้ดีนะ สิ่งที่พ่อจะพูดต่อไปนี้คือความจริง จดหมายที่แม่แกเขียนมันไม่ใช่เรื่องจริงไม่มีความจริงอยู่เลยแม้แต่น้อย พ่อไม่เคยมีเมียน้อยไม่เคยขอหย่ากับแม่แกมีแต่แม่แกที่ขอหย่ากับพ่อตั้งแต่วันแรกที่แกเกิดมาลืมตาดูโลก"
"พ่อ!!! พ่ออย่ามาใส่ร้ายแม่ของผมแบบนี้ พ่อทำผิดทำชั่วกับแม่พ่อทำไมไม่ยอมรับความจริง"
"ตาเจ้า แกจะให้พ่อไปสาบานวัดไหนที่ไหนก็ได้แต่พ่อขอยืนยันว่าพ่อไม่ได้ทำร้ายแม่แก"
"พ่อจะพูดยังไงก็ได้เพราะแม่ก็ตายไปแล้วนี่ พ่อจะพูดจาเอาดีเข้าตัวยังไงก็ได้ แต่ผมไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดผมเชื่อหลักฐานของแม่เชื่อทุกคำพูดของแม่ ผมไม่เชื่อพ่อ"
"ถ้าแกไม่เชื่อฉันไม่ให้อภัยฉันแล้วแกจะกลับมาทำไม"
"ผมก็จะกลับมาเอาทุกสิ่งทุกอย่างของแม่คืนน่ะสิ พ่ออย่าคิดนะว่าผมไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อกำลังคบกับผู้หญิงคนนึงอยู่แถมยังมีแพลนจะแต่งงานกันอีก"
"แกรู้"
"รู้ดิผมไมไ่ด้โง่ และพ่ออย่าหวังว่าพ่อจะเอาผู้หญิงคนไหนหน้าไหนมาแทนที่แม่เด็ดขาดผมไม่ยอม"
ฉันที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ทำได้เพียงแค่ยืนก้มหน้าไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองใครเลย ฉันรู้สึกถึงความกดดันความอึดอัดของทั้งสองคนที่ดูเหมือนจะไม่มีทางเข้าใจกันได้ แต่ละคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง คุณเจ้าสมุทรก็เชื่อในสิ่งเขาเชื่อมาตลอดต่อให้คุณท่านอธิบายยังไงเขาก็ไม่รับฟัง
"เดินขวางทำไมวะ หลบไป!!" ฉันรีบขยับตัวหนีทันทีเมื่อคุณเจ้าสมุทรหันหลังจะเดินออกไปจากห้องรับแขกโดยมีฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง
ปึก!!! เขาเดินมาชนไหล่ของฉันแรงมากเหมือนจงใจตั้งใจจนฉันแทบล้มหงายหลังแต่โชคดีที่ฉันเอามือคว้าจับขอบประตูเอาไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นคงล้มลงไปแล้ว พอคุณเจ้าสมุทรเดินออกไปคุณท่านก็ทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาแล้วเอามือแตะไปที่หน้าอกข้างซ้ายตอนนี้ใบหน้าของท่านซีดมากท่านคงจะเกิดอาการแน่นหน้าอกเหมือนที่เคยเป็นเวลาที่ท่านเครียดมากๆ ฉันจึงรีบวิ่งไปเอายาในห้องนอนของท่านมาให้ท่านทาน ฉันลืมบอกไปใช่ไหมว่าร่างกายของคุณท่านไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไหร่ เป็นทั้งความดัน เบาหวาน โรคหัวใจสารพัดโรคทุกวันนี้เป็นฉันที่ต้องคอยจัดยาให้ท่านทานทุกวัน
"ม่านเอ้ย ลุงขอโทษด้วยนะลูกที่ตาเจ้าพูดแบบนั้นกับเราน่ะ อย่าคิดมากเลยนะลูก" คุณท่านบอกกับฉันหลังจากทานยาจนอาการแน่นหน้าอกดีขึ้น อยากจะบอกว่าฉันไม่ได้เก็บเอาคำพูดของคุณเจ้าสมุทรมาคิดเพราะฉันอยู่กับคุณท่านมานานฉันรู้ดีว่าท่านเป็นคนดีมากแค่ไหน
"ไม่เป็นไรค่ะม่านไม่ถือ" ฉันเขียนลงไปในกระดาษให้ท่านอ่าน
"ขอบใจนะลูก ถ้าม่านเป็นลูกสาวของลุงก็น่าจะดีเนอะลุงคงมีความสุขมากกว่านี้ที่มีลูกคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ"
"ถึงม่านจะไม่ใช่ลูกสาวของคุณท่านแต่ม่านก็ยินดีและเต็มใจดูแลคุณท่านตลอดไปค่ะ" ฉันเขียนแล้วยื่นให้ท่านอ่านอีกครั้ง ท่านยิ้มออกมาพร้อมกับถามฉันซึ่งเป็นคำถามที่มันไม่เคยอยู่ในความคิดของฉันเลย
"แล้วไม่คิดจะมีแฟนมีครอบครัวบ้างเหรอลูกหื้ม"
"ไม่ค่ะ คนพูดไม่ได้อย่างม่านคงไม่เหมาะที่จะมีครอบครัวกับใคร ไปไหนก็คงอายคนอื่น"
ฉันรู้ตัวเองดีว่าตัวเองเป็นยังไงถึงจะไม่ใช่คนพิการแต่ก็เหมือนพิการเพราะจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังพูดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากพูดนะแต่มันพูดไม่ออกมันเหมือนมีอะไรบางอย่างมาทำให้ฉัน
ไม่กล้าที่จะพูด ฉันเคยฝึกพูดคนเดียวในห้องครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ฉันก็พูดไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่ได้เสียใจหรืออะไรที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ฉันพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นจะพูดได้หรือไม่ได้มันก็ไม่ได้
มีค่ามีความสำคัญอะไรฉันกลับมองว่ามันเป็นข้อดีซะอีกเพราะฉันจะได้ไม่ต้องคอยตอบคำถามของใครเวลามีใครมาถามหรือมาหาเรื่องฉันเงียบอย่างเดียว
"ลุงก็ยังหวังว่าสักวันม่านจะกลับมาพูดได้อีกครั้งนึงนะลูก"