๑.๒ ไผ่ต้องลม
“เราว่ากันไปตามพยานหลักฐานจะดีกว่านะครับ ถ้าผลการสอบสวนออกมาว่า ร้านคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร ร้านคุณก็สามารถเปิดได้ตามปกติ”
“ใช้เวลานานแค่ไหนครับ”
“คงจะสักสองอาทิตย์หรือไม่ก็หนึ่งเดือน”
“แต่ผมต้องจ่ายค่าเช่าและเงินเดือนพนักงานนะครับ ปิดนานขนาดนั้นผมต้องแย่แน่ๆ”
“เอาเป็นว่าผมจะเร่งสอบสวนเพื่อที่คุณจะได้เสียหายน้อยที่สุด ถ้าคุณบริสุทธิ์จริงๆ ก็อดทนรอหน่อย ขอตัวก่อนนะครับ อ้อ...แล้วอย่าฝ่าฝืนคำสั่งล่ะ ไม่อย่างนั้นโทษจะหนักกว่าเดิม” ตำรวจยศร้อยเอกกำชับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเข้มดุ ก่อนจะพาลูกน้องคุมตัวผู้ต้องหากลับไปยังโรงพัก
“ป้อง” คราวนี้เป็นปัณรสที่โอบกอดแฟนหนุ่มเพื่อให้กำลังใจ เธอรู้ว่าเขาลำบากมาก เนื่องจากลงทุนลงแรงไปกับร้าน จนต้องกู้หนี้ยืมสินมาไม่ใช่น้อย กิจการกำลังไปได้ดีแท้ๆ แต่กลับมาต้องเจอเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ
“ผมโอเค...บีม” กวินกอดกระชับร่างบางไว้แน่น หากทว่าในใจเต็มไปด้วยความกังวลกับปัญหามากมายที่กำลังจะตามมาจากการที่ร้านต้องโดนปิด
สองหนุ่มสาวยืนกอดกันอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะบอกให้พนักงานเก็บร้าน พร้อมกับบอกข่าวร้ายว่าร้านโดนปิดชั่วคราว แต่เขายังจะจ่ายเงินค่าจ้างให้ทุกคนเช่นเดิม
แสงไฟยังคงส่องสว่างไปทั่วร้าน ในขณะที่พนักงานต่างช่วยกันยกเก้าอี้ขึ้นโต๊ะ และทำความสะอาดเช็ดถูคล้ายกับบรรยากาศช่วงปิดร้านในแต่ละคืน จะต่างกันก็เพียงคืนนี้ปิดร้านไวกว่าเท่านั้น และพรุ่งนี้กับคืนต่อๆ ไป พวกเขาจะไม่ได้มาทำงานที่ร้านไปอีกหลายวัน
กลิ่นจันทร์ช่วยพนักงานคนอื่นๆ เก็บร้าน เธอยังคงเงียบและไม่ได้เอ่ยถามอะไรกับพี่ชาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เธอตกใจไม่น้อย เธอไม่เชื่อและไม่คิดจะเชื่อ ว่าพี่ชายที่แสนดีของเธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพราะกวินพร่ำสอนและเป็นตัวอย่างที่ดีให้เธอเสมอมา พี่ชายของเธอรักเสียงดนตรี เล่นกีตาร์เก่งมาก ตอนเด็กๆ เขามีความฝันอยากมีร้านแบบนี้เป็นของตัวเอง ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จแล้ว แต่จู่ๆ กลับต้องโดนปิด แม้ใครไม่รู้ แต่กลิ่นจันทร์รู้ดีว่ากวินเสียใจแค่ไหนที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทว่า เธอยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพี่ชาย หากแม้ว่าจะมีทางใดที่พอช่วยได้ เธอก็พร้อมจะแลกทุกอย่าง เพื่อให้ร้านของพี่ชายได้กลับมาเปิดอีกครั้ง
เสียงการสนทนาที่ค่อนข้างดัง ปลุกสาวน้อยซึ่งนอนอยู่ในห้องนอนของคอนโดมิเนียม ให้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนค่อนข้างดึกก็ตาม ร่างบางลุกขึ้นไปเปิดประตูแล้วชะเง้อดูเหตุการณ์ด้านนอก เห็นกวินและปัณรสกำลังเจรจากับชายสองคนที่อยู่ในชุดซาฟารีสีกรมท่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“คุณไนท์ให้เวลาถึงเย็นนี้เท่านั้นนะครับ ถ้าคุณสองคนยังไม่ย้ายออก คุณไนท์จะแจ้งความข้อหาบุกรุก”
“จะแจ้งได้ยังไง ผมทำสัญญาซื้อขายแล้ว ตอนนี้ผมเป็นเจ้าของที่นี่”
“สัญญายังไม่ถือว่าสมบูรณ์นะครับ เพราะคุณยังไม่ได้โอนเงินให้กับคุณไนท์ เพราะฉะนั้นตามกฎหมายถือว่าตอนนี้คุณไนท์ยังเป็นเจ้าของที่นี่อยู่”
“โอเคครับ พวกคุณสองคนกลับไปก่อน เดี๋ยวผมจะไปเจรจากับเขาเอง”
ผู้ชายทั้งสองคนยอมกลับไป แต่ทิ้งความเดือดเนื้อร้อนใจอันมหาศาลไว้ให้กับกวินอีกรอบ กลิ่นจันทร์ได้แต่แอบมองพี่ชายเงียบๆ ด้วยความสงสารจับใจ ตั้งแต่เล็กจนโต กวินเป็นคนที่เข้มแข็งและยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคมาโดยตลอด ทว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ ดูเหมือนจะสั่นคลอนความเข้มแข็งของพี่ชายเธอมากพอสมควร เธอไม่รู้ว่ากวินกำลังมีปัญหากับใคร แต่ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้คือ ‘ไนท์’ ซึ่งเธอจำเขาได้แม่น เพราะเคยเจอกันแล้วในวันที่เธอมาหาพี่ชายที่นี่
ร่างบางกลับเข้าห้องไปเงียบๆ อาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาชุดเดิมที่ตัวเองใส่มา โดยไม่รู้สักนิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้ใส่ชุดนี้โดยที่ทั้งกายและใจยังบริสุทธิ์
“จะกลับแล้วเหรอไผ่” กวินพยายามจะยิ้มและปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติต่อหน้าน้องสาว หากแววตากลับทิ้งร่องรอยแห่งความกังวลไว้มากมาย
“ไผ่จะกลับแล้ว พี่ป้องกำลังจะออกไปข้างนอกเหรอ ไผ่ขอติดรถไปด้วยนะ”
“เอาสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
กลิ่นจันทร์เดินไปเกาะแขนพี่ชาย ไม่ใช่อ้อนเหมือนทุกครั้ง แต่มันคือการให้กำลังใจเงียบๆ ผ่านทางสัมผัส ซึ่งในยามนี้เธอรู้ว่ากวินต้องการมันมากที่สุด
สาวน้อยนั่งหน้าคู่กับพี่ชาย ขณะที่กวินขับรถเงียบๆ แบบคนกำลังมีเรื่องให้ขบคิด ทั้งที่ปกติคนเป็นพี่จะชวนคุยและถามนั่นถามนี่เสมอเวลาที่ได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้
“พี่ป้องแวะทำธุระก่อนก็ได้นะ ไผ่เรียนบ่าย ไผ่รอได้” กลิ่นจันทร์เอ่ยขึ้นอย่างพอจะรู้ว่ากวินคงอยากไปเจรจาเรื่องคอนโดมิเนียมให้จบก่อน
“พี่ไปส่งไผ่ก่อนดีกว่า”
“มหาวิทยาลัยอยู่ตั้งไกล กว่าจะย้อนไปย้อนมาอีกนะ”
“งั้นพี่ขอเวลาแป๊บหนึ่งนะ”
“ได้ค่ะ” กลิ่นจันทร์พยักหน้า ก่อนที่กวินจะหักพวงมาลัยรถเข้าสู่ถนนอีกเส้นออกไปทางชานเมือง และไม่นานรถก็แล่นเข้ามาในอาณาจักรแห่งหนึ่ง ซึ่งกินพื้นที่น่าจะเกือบๆ ร้อยไร่ โดยบรรยากาศนั้นช่างต่างกันลิบลับจนแทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีอยู่จริงในกรุงเทพฯ
รถของกวินแล่นมาจอดรถหน้าอาคารรูปทรงแปลกตา ความสูงไม่น่าจะเกินสี่ชั้น แต่ความโอ่อ่าหรูหราและความมีเอกลักษณ์บ่งบอกชัดว่าตึกแห่งนี้คือแลนด์มาร์กของที่นี่ และคนที่เป็นเจ้าของตึก น่าจะเป็นเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้ด้วย
กวินลงจากรถโดยบอกน้องสาวให้ไปรอในร้านกาแฟก่อน กลิ่นจันทร์รับปากแต่พอคล้อยหลัง เธอกลับแอบตามพี่ชายเข้าไปข้างในแทบจะทันที