บทย่อ
ในเมื่อเธอเป็นเมียที่ได้มาจากการทรยศความรู้สึกเดียวที่เธอจะได้รับจากเขาก็มีแค่ ความชัง เท่านั้นอย่างหวังว่า เขาจะเลิกชังอย่าหวังว่า เขาเหลียวแลอย่าหวังว่า จะได้แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของเขานภัทรบอกตัวเองเช่นนั้น อย่างหนักแน่นอยู่เสมอแต่ความเกลียดชังโกรธแค้นของเขามันน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ซื่อๆ ของเด็กคนนั้นที่มันค่อยๆ เขย่าความเย็นชาในหัวใจเขา ให้กลายเป็นความรู้สึกอื่น
๑.๑ ไผ่ต้องลม
๑
ไผ่ต้องลม
สายลมเย็นๆ ที่พัดวู่หวิวมาพร้อมกับหยาดพิรุณในช่วงบ่ายคล้อย ทำให้สาวน้อยในชุดนักศึกษาแบบถูกระเบียบ เสื้อสีขาวขนาดพอดีตัว ติดกระดุมและตุ้งติ้งที่มีตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ยัดชายลงไปในกระโปรงจีบรอบซึ่งมีความยาวสั้นเท่าหัวเข่า เบื้องล่างนั้นสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่ยังใหม่สะอาดเพราะเพิ่งใช้เพียงไม่กี่ครั้ง อดที่จะคิดถึงบ้านไม่ได้
ดวงตากลมโตใสแจ๋วสีดำสนิททอดมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องเรียน คล้ายกำลังพุ่งความสนใจไปที่สายฝน แต่หัวใจกลับคะนึงหาบ้านไม้หลังกะทัดรัด ซึ่งปลูกแบบล้านนาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเชียงราย บ้านเก่าๆ ที่มีต้นไผ่หลายต้นขึ้นทึนทึกอยู่หลังบ้าน ยามที่เกิดฟ้าฝนลมแรงพัดกระหน่ำ ลำไผ่ปล้องเล็กๆ เหล่านั้นจะลู่เอนไปตามแรงลม ที่บางครั้งก็กระหน่ำใส่เสียจนเธอคิดว่ามันคงจะหักโค่น ทว่ามันก็ไม่ได้หัก และหลังจากพายุพัดผ่านไปแล้ว ลำไผ่เหล่านั้นก็กลับมายืนตระหง่านได้อีกครั้ง คงเพราะแบบนี้ละมัง พ่อกับแม่จึงตั้งชื่อเธอว่า ‘ไผ่’ ท่านคงอยากให้เธอสามารถหยัดยืนเผชิญปัญหาและเข้มแข็งได้ประดุจดังต้นไผ่ ที่ไม่ว่าจะเจอลมแรงมากเท่าไหร่ก็กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
“ไผ่ป่ะกลับหอกันเถอะ”
กลิ่นจันทร์หันไปทางคนสะกิด ซึ่งก็คืออิงดาวนั่นเอง อิงดาวเป็นเพื่อนสนิทของเธอที่มาจากเชียงรายด้วยกัน บ้านของอิงดาวอยู่ใกล้ๆ กับบ้านยาย กลิ่นจันทร์กับอิงดาวเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นประถม และยังสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยเดียวกันได้อีก จะต่างกันก็เพียงอิงดาวเป็นลูกสาวเศรษฐีในละแวกนั้น ส่วนกลิ่นจันทร์เป็นแค่หลานสาวชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น
“แล้ววันนี้ไม่เข้ารับน้องเหรออิง” เจ้าของเสียงหวานถามเพื่อนอย่างสงสัย เพราะปกติอิงดาวไม่เคยพลาดเรื่องเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องของคณะ
“พี่พีบอกว่า วันนี้ไม่มีรับน้องเพราะฝนตกน่ะ”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นอิงกลับก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราจะไปหาพี่ป้อง ว่าจะไปช่วยงานที่ร้านหน่อย”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ”
“จ้ะ” กลิ่นจันทร์ยิ้มบางๆ ให้กับอิงดาว ก่อนจะแยกย้าย โดยเธอนั่งรถเมล์ต่อไปยังร้านอาหารแบบกึ่งผับของพี่ชายซึ่งอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยมาก
ร่างบางในชุดนักศึกษา ตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานในร้านพอสมควร เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่กลิ่นจันทร์มาที่นี่ เธอถามหาพี่ชายกับพนักงานคนหนึ่ง พอพนักงานคนนั้นรู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของกวิน ก็รีบพาเธอเดินเข้าไปในห้องของผู้จัดการ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้มีแค่กวินอยู่ในห้อง แต่ปัณรสแฟนสาวของกวินก็อยู่ด้วย
“สวัสดีค่ะพี่ป้องพี่บีม” คนเป็นน้องเอ่ยอย่างสดใส พลางยกมือไหว้พี่ชายกับคนรักของเขา โดยไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของพี่ชายเจือไปด้วยความกังวลบางอย่าง
“มาได้ไงหือเรา” พี่ชายทักทายตอบและยกมือขึ้นขยี้ผมเบาๆ อย่างเอ็นดู
“นั่งรถเมล์มาค่ะ”
“แล้ววันนี้ไม่มีรับน้องเหรอ ทำไมถึงมาหาพี่ได้”
“ไม่มีค่ะ พอดีวันนี้ฝนตก รุ่นพี่ก็เลยงดกิจกรรมหนึ่งวัน และพรุ่งนี้ไผ่ก็มีเรียนช่วงบ่ายด้วย ไผ่อยากมาช่วยงานที่ร้านพี่ป้องแล้วก็อยากมาค้างด้วย ก็เลยนั่งรถมาหา”
“เรียนกับรับน้องก็หนักแล้ว ไม่ต้องมาช่วยพี่ก็ได้ แค่ไผ่ตั้งใจเรียนพี่ก็ดีใจแล้ว อยากค้างก็แค่มาค้างก็พอ”
“ไผ่อยากช่วยนี่ อีกอย่างไผ่ก็คิดถึงพี่ป้องด้วย อยากกอด”
“งั้นก็มากอดให้หายคิดถึงก่อน แล้วค่อยไปช่วยงาน”
เมื่อพี่ชายกางมือออก ร่างบางก็รีบขยับเข้าไปหาในทันที เธอโอบกอดเอวเขาแล้วซบหน้าลงบนอกอุ่นๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำในตอนเด็ก โดยมีปัณรสยืนมองอยู่เงียบๆ แล้วยิ้มบางๆ ให้กับภาพนั้น
“เมื่อไหร่จะเลิกอ้อนหือเรา โตแล้วนะ ถ้าวันหนึ่งพี่ไม่อยู่จะทำยังไง”
“ไม่รู้ละ ไผ่ไม่ยอมให้พี่ป้องไปไหนหรอก ไผ่จะทำทุกอย่างเพื่อให้พี่ป้องเป็นพี่ชายที่แสนดีของไผ่แบบนี้ตลอดไป”
“แล้วถ้าพี่ไม่ใช่คนที่แสนดีล่ะ” กวินยกมือขึ้นลูบผมนุ่มสลวย พลางทอดสายตามองน้องสาวอย่างอ่อนโยนและผูกพัน กลิ่นจันทร์คืออีกหนึ่งกำลังใจของเขาหลังจากที่พ่อกับแม่จากไปเมื่อหลายปีก่อน น้องสาวเขาเป็นเด็กดีมาก ไม่เคยทำตัวให้ต้องหนักใจ เขาคงทั้งดีใจและภูมิใจสุดๆ ในวันที่กลิ่นจันทร์เรียนจบ และมีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า
“ต่อให้พี่ป้องเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่น แต่พี่ป้องก็ยังจะเป็นพี่ชายที่แสนดีของไผ่เสมอนะ”
“เด็กขี้ประจบเอ๊ย...” ปากว่าแต่อ้อมแขนกลับกระชับร่างน้องสาวแนบแน่นกว่าเดิม เขาได้แต่หวังว่ากลิ่นจันทร์จะไม่หมดศรัทธาในตัวเขา ในวันที่รู้ว่าเขาเคยทำเลวอะไรไว้บ้าง
ผ่านไปเกือบสองนาที กลิ่นจันทร์จึงผละออกจากอ้อมแขนของพี่ชาย ก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดพนักงานของร้านแล้วออกไปช่วยงานด้านนอก
ยิ่งดึกคนในร้านก็ยิ่งหนาตา กลิ่นจันทร์ทั้งเดินรับออเดอร์ทั้งเดินเสิร์ฟอาหารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เธอก็ชินกับความเหน็ดเหนื่อยทางกายเสียแล้ว เพราะช่วยยายทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ และการที่ร้านของกวินมีคนมาใช้บริการเยอะเช่นนี้ แสดงว่าร้านกำลังดัง กิจการของร้านไปได้ดี ซึ่งอีกไม่นานพี่ชายของเธอคงจะสบายขึ้น และเธออยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เพราะที่ผ่านมากวินทำเพื่อคนในครอบครัวมาตลอด พี่ชายเธอส่งเงินให้ยายทุกเดือน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านและเป็นค่าเล่าเรียนให้เธอ แต่ตอนนี้ภาระของพี่ชายก็เยอะขึ้น เพราะต้องส่งเธอเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งค่าใช้จ่ายและค่าเทอมมันแพงมากกว่าตอนเธอเรียนมัธยมหลายเท่า ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่าหากมีเวลาว่างเมื่อไหร่จะมาช่วยงานที่ร้านบ่อยๆ หรือไม่ก็จะหางานพิเศษทำ เพื่อแบ่งเบาภาระของพี่ชาย
เกือบเที่ยงคืน ลูกค้าในร้านเริ่มมีอาการเมามายตามประสานักดื่ม อีกทั้งเสียงดนตรีก็เร่งเร้า จนหลายคนลุกขึ้นเต้นอย่างสนุกสนาน ทว่าบรรยากาศแห่งความครื้นเครงเหล่านั้นก็พลันต้องสะดุดลง ไฟที่เปิดพอสลัว สว่างโร่ขึ้น นักดนตรีซึ่งกำลังเล่นสดอยู่บนเวทีก็ต้องหยุดเล่น เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่าสิบนายเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับหมายค้น กวินเห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไปเคลียร์เพราะไม่อยากให้ลูกค้าแตกตื่น
“มีอะไรเหรอครับคุณตำรวจ”
“ผมได้รับแจ้งว่า ร้านนี้มีการมั่วสุมยาเสพติดและมีการค้ายาด้วย”
กวินถึงกับผงะเมื่อได้ยินข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงนั้น
“ผมรับรองครับว่าไม่มีเรื่องแบบนั้นในร้านของผม”
“ผมจำเป็นต้องทำตามหน้าที่ ผมขอค้นร้านของคุณ และจะต้องสุ่มตรวจปัสสาวะลูกค้าในร้านนี้ด้วย นี่ครับหมายค้น” ตำรวจยศร้อยเอกส่งหมายค้นให้กับกวิน จากนั้นก็พยักหน้าให้เจ้าหน้าที่คนอื่นตรวจค้นร้าน และตรวจปัสสาวะของลูกค้าที่มาใช้บริการหลายคน
“เกิดอะไรขึ้นคะป้อง” ปัณรสเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าบ่งบอกถึงความกังวลแตกตื่น ไม่แพ้พนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่ในร้าน
“ตำรวจมาค้นร้านน่ะ แต่ไม่ต้องกลัวนะบีม เราไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย”
“ทำไมจู่ๆ ตำรวจถึงมาค้นร้านเราล่ะคะ”
“คงมีคนบอกให้มานั่นแหละ” กวินบอกเสียงเรียบๆ ทว่าแค่นั้น ก็ทำให้ปัณรสรู้ทันทีว่าใครคือคนที่อยู่เบื้องหลัง เพราะวันนี้ธุรกิจด้านเสริมความงามของเธอ ก็เพิ่งถูกกล่าวหาว่ามีสารต้องห้ามไว้ในครอบครอง
“บีมขอโทษนะป้อง ถ้าไม่ใช่เพราะบีม ป้องก็คงไม่ต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมรักคุณ ไม่ว่าจะต้องเผชิญอะไรหรือต้องเลวร้ายแค่ไหน ผมก็พร้อมจะรักและยินดีจะเผชิญ”
กวินดึงร่างบางของปัณรสมากอดเพื่อปลอบโยนและเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง เพราะเขารู้ว่าการแก้แค้นของนภัทรได้เริ่มขึ้นแล้ว
ความโกลาหลในร้านเกิดขึ้นอยู่นานนับชั่วโมง ก่อนที่ตำรวจซึ่งเป็นหัวหน้าทีม จะแจ้งผลการตรวจค้นกับเจ้าของร้านอย่างกวิน จนทำให้เขาถึงกับหน้าเครียด
“เราตรวจพบว่าลูกค้าหลายคนมีผลตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง และบางคนพกพายาเสพติด เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องสั่งปิดร้านของคุณชั่วคราว จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่า ทางร้านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหรือเป็นแหล่งซ่องสุมการเสพยา”
“ผมรับรองครับผู้กอง ว่าทางร้านผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ”