คุณหมอจอมจริงจัง(3)
พยาบาลสาวเดินเข้ามาแจ้ง ก่อนที่เธอนั้นจะเดินตามชายหนุ่มไปที่วอร์ดพักฟื้น หญิงวัยกลางคนนอนอยู่บนเตียง สายตาเหม่อมองเพดานนิ่ง ชายหนุ่มยืนดูอาการอีกฝ่ายสักพักเพื่อสังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่
“คุณป้าครับ”
ชนาธิปพยายามเอ่ยเรียกอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนนั้นจะไม่ได้ยิน เธอยังคงนอนนิ่ง
“ป้าครับ ได้ยินผมไหมครับ”
เพียงสักพักสายตาคู่นั้นก็เลื่อนหันมามอง ชายหนุ่ม เหมือนกับสติกลับมาเธอจึงพยายามหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง
“เกิดอะไรขึ้นหมอ”
น้ำเสียงอ่อนแรงเอ่ยถาม ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยตอบ
“ป้าลื่นล้มครับ เพิ่งผ่าตัดเสร็จ ตอนนี้คุณป้ารู้สึกยังไงบ้างบอกผมได้ไหมครับ”
หญิงวัยกลางคนทำท่าครุ่นคิด เธอพยายามเค้นสมองแต่รู้สึกหนักหัวมาก ทั้งยังเวียนศีรษะจนต้องหลับตาลงเพราะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
“รู้สึกเวียนหัวนะ”
ชายหนุ่มรีบจดอาการลงในสมุดก่อนจะถามไถ่อีกหลายอย่างแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นจะยังตอบคำถามได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“คุณป้ารู้สึกปวดหัวไหมครับ”
“นิดหน่อยนะ”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยตอบ ก่อนที่เธอจะเอนกายนอนลง พยาบาลสาวรีบจัดแจงช่วยประคองอย่างเอาใจใส่ แต่ความเป็นจริงแล้วเธอเพียงแค่อยากเอาใจหมอหนุ่มเท่านั้น หากเป็นในช่วงเวลาปกติพวกเธอก็ไม่ได้ใส่ใจคนไข้ถึงขนาดนี้ แต่เพราะอยากให้ หมอชนาธิปประทับใจ พยาบาลสาวจึงแสร้งทำตัวเป็นคนอ่อนโยน
“ผมฝากดูอาการคุณป้าให้หน่อยนะ เคสนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษนิดนึง”
คุณหมอหันมาสั่งก่อนที่หญิงสาวจะฉีกยิ้มและเอ่ยตอบเสียงหวาน
“ได้เลยค่ะคุณหมอ”
ชายหนุ่มเดินเลี่ยงออกไป ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะสะกิดหญิงสาวเพื่อขอดื่มน้ำ แต่พยาบาลนิสัยเสียกลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอปัดมืออีกฝ่ายออกก่อนจะตวาดใส่
“รอไปก่อน ฉันต้องไปตรวจเตียงอื่นก่อน”
พยาบาลหันมาตะคอกก่อนจะสะบัดหน้าเดินไป หญิงวัยกลางคนรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก เมื่อครู่อีกฝ่ายยังดูแลเธออยู่เลย แล้วจู่ๆกลับแสดงกิริยาท่าทางไม่น่ารัก
“คนสมัยนี้ นิสัยแย่จริง”
เธอพึมพำก่อนจะหลับตาลง หลังจากเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ชนาธิปก็เดินเข้ามาอีกครั้ง หญิงวัยกลางคนที่เห็นว่าหมอหนุ่มมาตรวจอาการ ก็ขอให้อีกฝ่ายช่วยหยิบน้ำให้
“ถ้าคุณป้าหิวน้ำสามารถแจ้งพยาบาลได้เลยนะครับ”
หญิงวัยกลางคนยกยิ้มจืดเจื่อน เธอนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“แจ้งได้ด้วยหรือ เมื่อกี้ก็บอกเขานะแต่ก็ไม่เห็นเอามาให้เลย”
คนไข้ตอบจนทำให้พยาบาลสาวถลึงตาใส่ชายหนุ่มหันขวับไปมองก่อนที่พยาบาลนิสัยเสียจะปรับสีหน้าเป็นเศร้าสลด
“ทำไมคุณไม่เอาน้ำดื่มให้คนไข้”
“คือ พอดีคนไข้เตียงนั้นต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมค่ะ ก็เลยลืม”
เธอแก้ตัวก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อเห็นสายตาของหมอหนุ่ม ชนาธิปไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่ตักเตือนไปเล็กน้อยเท่านั้น
“แล้วคุณป้าอยู่บ้านคนเดียวหรือครับ”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้า อันที่จริงเธอก็มีญาติพี่น้องแต่ทุกคนก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่น นานทีปีหนถึงจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
“แบบนี้อันตรายมากเลยนะครับ จากที่ผมอ่านในประวัติคุณป้ามีโรคประจำตัวมากมาย ผมไม่แนะนำให้อยู่คนเดียว ควรจะมีคนคอยดูแล”
คุณหมอรีบแนะนำ หลายปีก่อนเขาเคยเจอคนไข้สูงอายุที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง โชคร้ายที่รายนั้นพวกเขาเข้าไปช่วยเหลือไม่ทัน สิ้นใจเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
“ป้าก็ไม่ได้อยากอยู่คนเดียวหรอกนะหมอ แต่ลูกสาวป้าเขาอยู่ที่อื่น ป้าก็ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง”
เธอไม่อยากให้ลูกสาวพะวักพะวง ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมานั่งเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำอะไร จึงมักจะโกหกว่าสบายดี ทั้งที่ตอนนี้โรครุมเร้า
“คุณป้ารีบติดต่อหาลูกสาวนะครับ จะได้รีบมาดูอาการ เผื่อมีอะไรผมจะได้แจ้ง”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้า ก่อนจะควานหาโทรศัพท์แต่กลับไม่พบ เธอลืมไปว่าตอนมาที่นี่นั้นไม่มีสติ ถึงไม่ได้พกอะไรติดตัวมาด้วย โชคดีที่กู้ภัยนั้นนำบัตรประชาชนของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะมา ทำให้สามารถพิสูจน์ตัวตนและทำเรื่องเปิดสิทธิ์ที่โรงพยาบาลได้
“สงสัยไอ้หนูพวกนั้นไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาให้ ป้ารบกวนยืมโทรศัพท์หมอได้ไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนที่เขานั้นจะหยิบโทรศัพท์ส่งให้อีกฝ่าย แต่เนื่องจากว่าหญิงวัยกลางคนพึ่งได้รับการกระทบกระเทือนที่สมอง ทำให้เธอนั้นต้องเค้นคิดอยู่นาน เพราะจำเบอร์โทรศัพท์ลูกสาวไม่ค่อยได้
“ค่อยๆคิดครับ ไม่ต้องรีบ ผมรอได้”
คุณหมอกล่าวอย่างใจดีก่อนที่เขาจะลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียง
“นึกออกเเล้วล่ะ”
เมื่อนึกขึ้นได้หญิงวัยกลางคนไม่รอช้าที่จะรีบกรอกเบอร์โทรศัพท์ลงไป ก่อนจะกดโทรออก เพียงครู่เดียวเธอก็เอ่ยทักทายปลายสาย
“น้องบัว อยู่ไหนล่ะลูก”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงแว่นหวานเอ่ยตอบกลับมา แต่ก็ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก
“แม่อยู่โรงพยาบาล แม่สะดุดล้ม แต่ไม่ต้องมาก็ได้นะลูก ตอนนี้แม่ดีขึ้นแล้ว”
คนเป็นแม่รีบพูดเพราะไม่อยากให้ลูกสาวนั้นต้องทิ้งการเรียน เธอจึงโกหกว่าดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าทางปลายสายนั้นจะไม่ยอมและดึงดันที่จะกลับมาให้ได้