๑ ความผิดติดตัว (๑)
๑
ความผิดติดตัว
บ้านหลังงามสามชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ในพื้นที่กว่า 5 ไร่ในหมู่บ้านซึ่งราคาที่ดินแพงยิ่งกว่าทอง แต่เพราะสืบทอดมรดกต่อกันมาจึงกลายเป็นเจ้าของไปโดยปริยาย มีรั้วล้อมรอบเพื่อบ่งบอกอาณาเขตบริเวณ ปลูกต้นไม้สูงเพื่อให้ร่มเงา ทั้งยังมีไม้ดอกส่งกลิ่นหอมทั่วบริเวณ
ถนนลาดด้วยหินอ่อนทอดยาวจากหน้ารั้วมาถึงตัวบ้าน สวนด้านหน้ารังสรรค์ตามความชอบของคุณผู้หญิงภัทรศยา ปัณณทัต เป็นสวนสไตล์อังกฤษมีคิวปิดกำลังแผลงศรอยู่ลานตรงกลาง งดงามชวนมองเป็นอย่างยิ่ง
โถงกลางบ้านและตามมุมห้องมีแจกันดอกไม้ใบใหญ่ตั้งไว้เพื่อความสวยงาม หน้าต่างกรุเป็นกระจกขนาดยาวถูกปิดด้วยผ้าม่านกำมะหยี่สีทองปักเลื่อมเข้ากับแชนเดอร์เลียหยดน้ำที่ราคาทำเอาลมแทบจับ การทำความสะอาดก็แสนจะยากเย็นแต่เพื่อความสวยงามของห้องรับรองแขก เจ้าของบ้านก็ยินยอมที่จะจ่าย
แม้ว่าบ้านหลังนี้จะใหญ่และกว้างขวางมากเพียงใด กลับมีคนอาศัยแค่สองคนคือคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายกนต์ธร ปัณณทัตอดีตเอกอัครราชทูตที่เกษียณแล้วกลับมาอยู่บ้านพร้อมลงทุนกับเพื่อนสนิททำธุรกิจสนามกอล์ฟ
เพราะลูกชายคนเดียวของบ้านอย่างกษมา ปัณณทัตไปเรียนต่อปริญญาโทและทำงานที่ต่างประเทศ ไม่ยอมกลับเมืองไทยหลายปี ให้เหตุผลว่ากำลังสนุกกับงาน
“วันนี้มีงานอะไรเหรอป้า ทำไมคนในบ้านดูคึกคักกันจังเลย” เรือนร่างแบบบางในชุดนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังเดินออกมาจากห้องพักด้านในสุด จัดระเบียบผมและชุดให้เรียบร้อย หยิบกล่องอาหารที่ป้าแม่บ้านซึ่งเป็นญาติของตนทำไว้ให้ไปกินระหว่างวันใส่ถุง
แต่เพราะทุกคนยุ่งมากตั้งแต่เช้าทำให้เธอถามด้วยความสงสัย
ลินน์ ชัยเกษสาวน้อยหน้าใสจากดินแดนที่ราบสูง ต้องเข้ามาเรียนในเมืองหลวงเพราะสอบติดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ภาระค่าใช้จ่ายมากเกินกว่าครอบครัวจะส่งไหว แต่โชคดีที่ป้าของตนทำงานในบ้านคนรวย จึงขออนุญาตเจ้าของบ้านให้หลานสาวมาอาศัยอยู่ด้วยกัน
คุณผู้หญิงเห็นการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งยังเอ็นดูลินน์เป็นการส่วนตัวเมื่อเห็นถึงความขยัน จึงรับหญิงสาวมาอยู่ด้วยกัน ให้ค่าขนมเพราะเธอไม่ยอมรับค่าจ้างเหมือนแม่บ้านคนอื่นเนื่องจากเกรงใจ แค่ให้ที่พักอาศัยและอาหารครบสามมื้อก็มากเกินพอแล้ว
“วันนี้คุณก่อจะกลับบ้าน” ป้าน้อยเป็นพี่สาวของแม่ที่มาทำงานในเมืองหลวงตั้งแต่เธอยังเด็กบอกด้วยเสียงเร่งรีบ ต้องเตรียมอาหารเพื่อจะได้เริ่มทำช่วงบ่าย ถึงจะมีคนไม่เยอะเพราะเชิญเฉพาะญาติมิตรคนสนิท แต่อาหารก็ไม่ให้พร่องต้องเต็มโต๊ะ เหลือดีกว่าขาดคือคำที่คุณภัทรศยาพูดบ่อย
“คุณก่อ...ลูกชายคนเดียวของบ้านหลังนี้น่ะเหรอ” นึกถึงชายหนุ่มสุดหล่อที่เธอเห็นเพียงในรูปถ่าย
ยอมรับว่าหล่อจนตกตะลึง ยืนมองภาพของเขาบ่อยครั้งแล้วชื่นชมตาเป็นประกาย รอยยิ้มหวานกับใบหน้าคมเข้มคล้ายพระเอกในละคร พบเจอคนหน้าตาดีมาก็มากแต่เขากลับแตกต่างออกไป รับรู้ได้ถึงความเป็นผู้ดีแผ่กระจายแม้ในรูปภาพ
เธอจะได้เห็นตัวจริงของเขาแล้ว...ตื่นเต้นจังแฮะ
“ใช่ คุณก่อไปต่างประเทศหลายปีแล้ว คุณท่านคิดถึงลูกชายมาก รบเร้าให้กลับตั้งหลายปีแต่เธอไม่ยอมกลับ ขอทำงานที่เมืองนอกหาประสบการณ์ แต่วันนี้กำลังจะถึงไทยเลยต้องจัดการเตรียมงานฉลอง” พยักหน้าตามคำบอกเล่านั้น
“แกจะกลับทันไหม”
“งานเลี้ยงมีถึงกี่โมงล่ะป้า” ย้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น อยู่ที่นี่มากว่าสี่ปีและอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอก็จะเรียนจบ คิดว่าถ้าหางานได้จะขอแยกออกไปอยู่ลำพัง ไม่อยากรบกวนบ้านปัณณทัตไปมากกว่านี้
เพราะเท่าที่ท่านทั้งสองเมตตาให้ที่พักอาศัยและอาหารการกิน บางครั้งคุณผู้หญิงยังซื้อชุดราคาแพงมาให้หล่อนด้วยความเอ็นดูก็ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรแล้ว
“โอ๊ย สามสี่ทุ่มก็เลิกแล้ว พรุ่งนี้คุณท่านมีงานเช้าเลี้ยงดึกไม่ได้หรอก” พอได้ยินอย่างนั้นรอยยิ้มก็ลดลง นึกเสียดายเพราะเวลานั้นเธอยังต้องทำงานพิเศษเพื่อส่งตัวเองเรียนและส่งไปให้ครอบครัว ตอนนี้น้องชายของเธออยู่ขั้นประถามศึกษาที่อีกสองปีข้างหน้าจะต้องเข้ามัธยมศึกษา
พ่อของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อห้าปีก่อน แม่จึงกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว ทำงานที่โรงงานเสื้อผ้าส่งลูกเรียน ตอนแรกเธอเกือบจะไม่ได้เข้าเรียนที่นี่เพราะค่าครองชีพแพง ค่าเทอมและเงินที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
โชคดีได้ป้าน้อยให้คำแนะนำและช่วยเหลือ ไหนจะได้งานพิเศษจนสามารถส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว น้องชายสามารถเรียนและเล่นดนตรีได้ตามความชอบ ไม่ต้องทำได้เพียงมองกีต้าร์ในร้านดนตรีอีกต่อไป
“งานลินน์เสร็จเที่ยงคืน กว่าจะถึงบ้านก็ตีหนึ่ง คงมาไม่ทันเวลางาน...เหลือของอร่อยไว้ให้กินหน่อยนะป้า” งานที่เธอทำคือเป็นพนักงานเสิร์ฟที่คลับ รายได้ต่อเดือนเยอะพอสมควร ไหนจะทิปที่ได้เสริมอีก เธอไม่ค่อยได้ใช้เงินอยู่แล้ว กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนจึงส่งให้ครอบครัว ส่วนที่เหลือแบ่งใช้จ่ายส่วนตัวและเป็นเงินเก็บ
“แกนี่เห็นแก่กินจริงๆ ป้าจะเหลือไว้ให้ก็แล้วกัน”
“จ้า” หล่อนเดินออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย ถ้าทำได้ก็อยากเดินไปเรียนด้วยซ้ำ แต่ทางเท้าและอากาศในเมืองไทยไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่
อยู่บ้านคนรวยจนนึกอยากมีมีชีวิตหรูหราบ้าง...แต่ก็เป็นได้แค่ความคิดไม่มีวันเป็นจริงได้
เธอก็แค่เด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น...
รั้วอัลลอย์ใหญ่ถูกปิดสนิทเหลือเพียงประตูเล็กด้านข้างที่ไม่ได้ล็อค เธอทักทายคุณลุงที่รักษาความปลอดภัยอยู่ป้อมด้านหน้า พลางเดินปิดปากหาวเข้ามาในบ้านแล้วอ้อมไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นที่อาศัยของตัวเอง
ลินน์ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบ้านใหญ่เพื่อช่วยทำงานบ้านเท่านั้น ส่วนมากหล่อนมักขลุกอยู่ห้องครัวและห้องนอนของตัวเองที่มีเตียง ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือทำการบ้าน โชคดีที่ได้โน้ตบุ๊กเครื่องเก่าของคุณภัทรศยามาใช้ จึงไม่ต้องเสียเงินซื้อประหยัดไปในตัว
“เฮ้อ เกิดมาจนก็ต้องดิ้นรนกันต่อไปนะไอ้ลินน์ เผื่อสักวันถูกหวยชีวิตอาจจะเปลี่ยน” พึมพำกับตัวเองขณะเดินผ่านสวนสไตล์อังกฤษด้านหน้า ถึงเธอจะประหยัดรู้คุณค่าของเงิน แต่ก็อดเจียดเงินไปซื้อล็อตเตอรี่เพื่อหวังพลิกชีวิตไม่ได้
ซื้อแต่และครั้งก็ไม่เกินหนึ่งหรือสองใบ บางครั้งสมหวังถูกรางวัลเลขท้ายก็ดีใจยิ้มทั้งสัปดาห์ หรือบางงวดเสียเงินเปล่านั่งหงอยไปหลายวัน
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สวรรค์จะเมตตาให้เธอถูกรางวัลที่หนึ่ง...หรือรางวัลที่สองก็ยังดี
“นั่น โจรเหรอ...” เท้าเรียวชะงักเมื่อเดินผ่านสวนดอกไม้ที่มีศาลาพักผ่อนแล้วพบว่ามีเงาตะคุ่มก้มๆ เงยๆ อย่างน่าสงสัย
ยามวิกาลเช่นนี้จะมีใครในบ้านออกมาข้างนอกบ้าง...ถ้าไม่ใช่โจร!
คิดพลางเบิกตากว้างแล้วรีบหลบอย่างรวดเร็ว มองแผ่นหลังกว้างที่สวมเสื้อสีดำภายใต้ความมืด ผมยาวประบ่าทั้งยังปรกหน้าตา คงบดบังไม่ให้คนเห็นว่าแอบเข้ามาในบ้าน ยิ่งช่วงนี้ได้ข่าวว่าแถวหมู่บ้านมีโจรเข้ามาลักทรัพย์ ตำรวจก็ยังหาตัวคนร้ายไม่พบ
ต้องเป็นอย่างที่เธอคิดแน่นอน ผู้ชายตรงหน้าเป็นโจรที่พยายามเข้ามาขโมยของในบ้าน แค่คิดก็นึกโมโหเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน กวาดสายตามองหาอุปกรณ์ที่พอจะป้องกันตัวและจับโจรได้
“ไม้ ไม้อยู่ไหน”
คว้าไม้กวาดทางมะพร้าวจับให้มั่น ย่องเข้าไปทางด้านหลังเสียงเบา โชคดีที่เก็บชุดนักศึกษาไว้ในกระเป๋าแล้วสวมไปรเวทรองเท้าผ้าใบ จึงค่อยข้างทะมัดทะแมงพอสมควร
“คิดจะเข้ามาขโมยของในบ้าน ฝันไปเถอะไอ้โจรห้าร้อย” พึมพำกับตัวเองแล้วง้างไม้ขึ้นเหนือศีรษะ ตีเข้าที่ไหล่หนาอย่างแรงพร้อมถีบให้อีกฝ่ายล้มลง กระหน่ำตีไม่ยั้งพร้อมถีบจนคนที่งอตัวถึงกับจุก สับสนงุนงงแต่ก็ยังตะโกนห้ามเสียงดัง
“โอ๊ย อย่า อย่าตี โอ๊ย!” เธอไม่ฟังคำพูดเหล่านั้น ยังคงตีตามแขนและขาของคนร้าย สลับกับเหยียบและเตะไม่มีหยุดพัก หมายจะจับโจรส่งตำรวจให้จงได้ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง
“มีมือมีเท้าครบก็หัดหางานทำเองไม่ใช่เข้ามาขโมยของในบ้านคนอื่น คนอย่างแกถึงแจ้งตำรวจจับก็อยู่ในคุกไม่นานแล้วออกมาขโมยของเหมือนเดิม ต้องตีให้สำนึก นี่แหนะๆๆ” เธอตะโกนด่าเสียงดังเพื่อหวังสั่งสอนและเรียกให้คนในบ้านตื่นมาช่วยกันจับโจร
“ฉันไม่ใช่โจร!!” เขาตะโกนเสียงดัง พยายามจับไม้แต่เธอก็รวดเร็วกว่าเปลี่ยนจุดตีจนเขาน่วมไปทั่วกาย ทำได้แค่งอแขนและเข่าปิดใบหน้า ไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใครและเข้ามาในบ้านของเขาได้อย่างไร ไหนจะทำร้ายโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยอีก
หากตนรอดไปได้จะไม่ยอมปล่อยให้หล่อนลอยนวลอย่างเด็ดขาด!