แอบมองดูเธออยู่(2)
“ผมนึกว่าคุณไปกินข้าวข้างนอก”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นขณะที่กำลังแกะแกงจืดใส่ถ้วย
“ฉันห่อข้าวมากินเองค่ะ”
“คุณมีเงินใช้หรือเปล่า”
คุณหมอหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย จากที่อ่านประวัติเธอลาออกจากที่ทำงานเก่ามานานพอสมควร เขาจึงคิดว่าหญิงสาวนั้นอาจจะขัดข้องเรื่องการเงินถึงได้ดูประหยัดแบบนี้
“มีสิคะ แต่ฉันแค่อยากประหยัดเฉยๆ”
หญิงสาวตอบแบบเก็บอาการ ก่อนที่เธอจะเททอดมันใส่จานอีกใบ ปรมะนั่งลงข้างพยาบาลสาวก่อนที่เขาจะเอื้อมไปหยิบจานและช้อน
“คุณเอากับข้าวมาตั้งเยอะ ให้ผมกินด้วยได้ไหม”
เขามีเวลาพักแค่ครึ่งชั่วโมง อีกอย่างตอนนี้ไม่มีใครเตรียมอาหารให้เนื่องจากพยาบาลคนเก่าลาออกไปแล้ว ชายหนุ่มเห็นว่ากับข้าวที่หญิงสาวเอามาเขาสามารถกินได้จึงขอร่วมแจมด้วย
“ได้สิคะ”
คนมีน้ำใจแบบม่านมุกมีหรือจะปฏิเสธ เธอรีบตักข้าวใส่จานให้ชายหนุ่มทันที
“กับข้าวพวกนี้คุณทำเองเลยหรือ”
ทันทีที่คุณหมอตักอาหารเข้าปากเขาก็ได้เอ่ยถามขึ้น หญิงสาวพยักหน้า รู้สึกไม่สบายใจเพราะคิดว่าฝีมือทำอาหารของเธอนั้นห่วยแตกจนชายหนุ่มต้องเอ่ยถาม
“มันไม่อร่อยใช่ไหมคะ” พยาบาลสาวหน้าเปลี่ยนสีด้วยความใจเสียมองหน้าคุณหมอเพื่อรอฟังคำตอบ
ปรมะชะงักก่อนขมวดคิ้ว“เปล่าหรอก มันอร่อยมากจนผมไม่อยากเชื่อว่าคุณทำเอง”
หญิงสาวถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเป็นคนที่ทำอาหารกินเองมาตั้งแต่มัธยม เพราะไม่มีใครดูแลเลยต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองจึงคิดว่าตัวเองก็พอมีฝีมือบ้าง
“คุณหมอพูดแบบนี้ฉันคงต้องทำอาหารมาเผื่อคุณหมอทุกวันแล้วล่ะค่ะ”
“ก็ดีน่ะสิ ผมจะได้ประหยัด”
ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงอารมณ์ดีก่อนจะหัวเราะเบาๆ หลังจากกินอาหารเสร็จก็ได้เวลาเปิดคลินิกช่วงบ่าย
ม่านมุกออกมาต้อนรับลูกค้าด้านนอก ก่อนที่จะมีหญิงวัยกลางคนพรวดพราดเข้ามา ทันทีที่พบหน้าก็โวยวายเสียงดังใหญ่โต
“คุณหมออยู่ไหน!”
ม่านมุกรู้สึกตกใจเนื่องจากเธอไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน เมื่อตั้งสติได้เธอจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
“ตอนนี้คุณหมอกำลังตรวจคนไข้อยู่ค่ะ เดี๋ยวนั่งรอก่อนนะคะ”
“ฉันจะไม่นั่งรอ ฉันต้องการพบหมอตอนนี้!”
อีกฝ่ายตวาดลั่นจนปรมะที่อยู่ในห้องได้ยิน หลังจากตรวจคนไข้เสร็จเขาจึงรีบเดินออกมาเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ต้องการพบผมใช่ไหมครับ”
“คุณมาก็ดีแล้ว ฉันอยากรู้ว่าคุณจะรับผิดชอบยังไง”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“เชิญไปคุยในห้องดีกว่าครับตรงนี้คงไม่เหมาะ”
“ฉันจะพูดตรงนี้ พูดให้ทุกคนได้ยิน เขาจะได้รู้ว่าคุณหมอทำงานชุ่ยแค่ไหน”
ม่านมุกหันมองหมอหนุ่มที่มีสีหน้าเรียบนิ่งไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่เกิดขึ้น หญิงวัยกลางคนหยิบเอกสารบางอย่างออกมาก่อนจะโยนลงบนพื้น
“ลูกสาวฉันแพ้ยาที่หมอจ่ายให้ จนตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล หมอจะรับผิดชอบชีวิตลูกฉันยังไง”
ชายหนุ่มเห็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าใช่ความผิดของเขาร้อยเปอร์เซ็น เพราะตัวเขานั้นไม่สามารถรู้ได้ว่าคนไข้คนไหนแพ้หรือไม่แพ้ยาอะไร เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนไข้จะต้องเตรียมข้อมูลมาให้หมอเอง
“ตอนนั้นคุณไม่ได้แจ้งว่าลูกคุณแพ้ยาอะไรบ้าง”
“แล้วยังไง คุณเป็นหมอคุณก็ควรจะรู้สิ”
ทุกคนในที่นี้ถึงกับส่ายศีรษะให้กับความไม่มีเหตุผลของอีกฝ่าย ปรมะสูดลมหายใจลึกก่อนที่เขาจะเอ่ยอย่างใจเย็น
“ผมว่าคุณใจเย็นๆแล้วไปนั่งคุยกันก่อนดีกว่านะครับ”
“ฉันไม่ต้องการคุยอะไรทั้งนั้น ฉันอยากรู้ว่าคุณจะรับผิดชอบยังไง คุณเป็นหมอแต่คุณทำงานสะเพร่าแบบนี้ ถ้าลูกฉันเป็นอะไรไปจะทำยังไง!”
ปรมะรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ เขาเจอลูกค้ามาสารพัดรูปแบบแต่ไม่เคยเจอใครที่ไร้เหตุผลแบบนี้มาก่อน เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าเด็กคนไหนมีประวัติแพ้อะไรมาบ้างนอกจากผู้ปกครองนั้นเป็นคนแจ้ง แล้วแบบนี้จะถือว่าเป็นความผิดของเขาได้ยังไง เขามีหลักฐานว่าตอนซักประวัติ อีกฝ่ายแจ้งว่าลูกสาวนั้นไม่เคยแพ้ยาอะไรมาก่อน หากว่ากันตามหลักฐานเขาสามารถพ้นผิดจากเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มพยายามเจรจาอย่างใจเย็นแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายนั้นจะไม่ฟังอะไรเลย เธอเลือกที่จะหุนหันเดินออกไป และหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาหาเขามากมาย ชายหนุ่มรู้สึกเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เมื่อหญิงวัยกลางคนผู้นั้นใส่ร้ายคลินิกของเขาจนทำให้ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าเขาทำงานสะเพร่าทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่ความผิดพลาดของเขาเลย
ม่านมุกเห็นว่าหมอหนุ่มกำลังเครียด เธอจึงตัดสินใจปิดคลินิกชั่วคราว เพราะคิดว่าเขาไม่พร้อมที่จะเจอหน้าคนไข้ในยามนี้
“ป้าเองก็อยากอยู่เป็นกำลังใจให้คุณหมอ แต่ป้าต้องรีบไปรับหลานที่โรงเรียน”
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวทางนี้หนูจัดการเอง”
ม่านมุกว่าอย่างนั้นก่อนที่เธอจะเหลือบมองเข้าไปในห้องทำงานของปรมะ