แรกพบเจอ(2)
คุณหมอเปิดประตูให้หญิงสาวเดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะตามเข้ามาและวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ ความเงียบทำให้ม่านมุกรู้สึกประหม่า เธอไม่กล้าสบตาชายหนุ่มได้แต่หลุบตามองปลายเท้าของตัวเอง
“คุณเรียนจบพยาบาลมาใช่ไหม สาขาเกี่ยวกับเด็กด้วย”
“ค่ะ”
“พอดีพยาบาลเขากำลังจะลาออก ผมเลยอยากได้ผู้ช่วยสักคน ว่าแต่คุณมีประสบการณ์จากที่ไหนมาบ้าง ลองเล่ามา”
หญิงสาวครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ
“ก็เคยทำงานที่โรงพยาบาลเด็กค่ะประมาณสองปี”
ความจริงเธอเคยทำงานมาหลายที่แต่หลักๆแล้วคือโรงพยาบาลเด็ก ส่วนงานที่เหลือเธอแค่รับจ้างเป็นแบบระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
“แล้วทำไมคุณถึงลาออก ทำงานที่นั่นมั่นคงมากนะ”
หญิงสาวชะงักไม่รู้จะตอบยังไง เธอไม่กล้าบอกเหตุผลเขาตรงๆว่าทำไมถึงได้ลาออกจากที่นั่น จะให้เธอบอกยังไงล่ะ ให้บอกไปตรงๆว่าเพราะต้องการช่วยเพื่อนเธอจึงยอมให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นเมียน้อยอาจารย์หมองั้นเหรอ เสียงในใจของม่านมุกบอกว่าไม่ได้หรอก หากเธอเล่าให้เขาฟัง แล้วเขาเป็นคนที่ซีเรียสเรื่องแบบนี้ เธอคงจะอดได้งาน
“ว่ายังไง สรุปคุณลาออกทำไม”
“ตอนแรกฉันตั้งใจจะกลับบ้านค่ะ แต่ว่าไม่ได้กลับก็เลยต้องหางานใหม่”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนเอ่ยถามต่อ“บ้านคุณอยู่ที่ไหน”
“ฉะเชิงเทราค่ะ”
เดิมทีเธอเป็นคนจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่ย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯตั้งแต่มัธยมต้น โดยอาศัยอยู่กับเพื่อนสนิทของแม่ ส่วนแม่เธอเป็นแม่ค้าขายขนมในตลาด ทั้งขายส่งและขายปลีก ฐานะทางบ้านไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นร่ำรวย แค่มีกินมีใช้มีเก็บเท่านั้น
“ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมาก”
“ค่ะ”
“แล้วมีปัญหาอะไรทำไมคุณถึงไม่กลับตามที่ตั้งใจไว้”
หญิงสาวนึกสงสัยว่าปกติแล้วเวลาสัมภาษณ์งานเจ้านายจะต้องซักไซ้ถามเรื่องส่วนตัวของคนที่มาสมัครขนาดนี้เลยหรือ
“พอดีมีปัญหาที่บ้านนิดหน่อยค่ะ”
เนื่องจากว่าแม่ของเธอนั้นแต่งงานใหม่ และมีลูกกับพ่อเลี้ยงสองคน ถึงจะเป็นพี่น้องแม่เดียวกันแต่ก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ มันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนั้นไม่ได้จนต้องย้ายมาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่อายุ สิบสามปี
ปรมะเห็นว่าเขานั้นซักไซ้เรื่องส่วนตัวเธอจนมากเกินไปจึงได้เอ่ยขอโทษ
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะก้าวก่ายเรื่องของคุณนะ แต่ผมแค่อยากถามประวัติให้ละเอียด”
ชายหนุ่มพยายามอธิบายซึ่งหญิงสาวก็เข้าใจดี “แล้วคุณสะดวกเริ่มงานวันไหน”
“ขอเวลาเตรียมตัวซักสองวันนะคะ”
คุณหมอปรมะพยักหน้าก่อนที่เขานั้นจะเปิดอ่านประวัติของเธอเงียบๆ หญิงสาวรู้สึกหนาวขนลุกไปหมดเนื่องจากด้านนอกฝนตกหนัก ทั้งด้านในยังเปิดเครื่องปรับอากาศเพียงเเค่ยี่สิบห้าองศา เธอจึงรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่างกาย
“หนาวหรือไง”
ชายหนุ่มเอ่ยถามก่อนจะเอื้อมไปหยิบรีโมทแอร์มาปรับความเย็น
“พอดีฉันขี้หนาวค่ะ”
ม่านมุกเคยมีภาวะโลหิตจาง จึงต้องกินยาเสริมธาตุเหล็กเป็นประจำ แต่ช่วงระยะหลังไม่ได้กินยาตัวนี้เลย อาการหนาวสั่นจึงเริ่มกลับมาอีกครั้ง
“เอาอย่างนี้ดีกว่าเดี๋ยวผมขออ่านประวัติคุณอีกหน่อย แล้วยังไงผมจะโทรแจ้งผลนะ”
หญิงสาวพยักหน้า ตอนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินออกมาจากคลินิก เห็นว่ามีรถเมล์ผ่านมาพอดีจึงรีบขึ้นและเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้าเนื่องจากนัดเพื่อนสาวเอาไว้
“สัมภาษณ์งานวันนี้เป็นยังไงบ้าง” คนถามทำท่าสนใจ
“ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรับหรือเปล่า”
ตอนแรกม่านมุกก็รู้สึกมีหวัง แต่พอชายหนุ่มบอกว่าจะขออ่านประวัติเธอสักเล็กน้อย เธอจึงไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะรับเธอเข้าทำงาน บางทีเขาอาจมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าหากเขารับเธอเขาก็ต้องแจ้งตั้งแต่ตอนนั้นแต่ที่แจ้งแบบนี้เพราะคงไม่อยาก ปฎิเสธต่อหน้า
“ฉันเชื่อว่าเขาจะรับนะ แกเคยมีประสบการณ์ทำงานกับโรงพยาบาลใหญ่มาก่อน ฉันเชื่อว่าภาษีแกดีกว่าทุกคนอยู่แล้ว”
น้ำผึ้งเอ่ยขึ้น ก่อนจะชวนเพื่อนสนิทขึ้นไปกินชาบูด้านบน แต่ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ของม่านมุกก็ดังขึ้นมาเสียก่อน หญิงสาวจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะกดรับสาย