บทที่ 6 สัญญา...จากน้ายักษ์ 1
บทที่ 6
สัญญา...จากน้ายักษ์
หลังกินข้าวเสร็จ มิลันตีก็อาบน้ำอีกรอบก่อนจะมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเครื่องสำอางที่พกมาจากห้องพักเดิมขึ้นมาบรรจงแต่งหน้าสไตล์หวาน…แต่งแต้มตรงนั้นนิด เติมสีตรงนี้หน่อย ให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่นานนัก ภาพที่สะท้อนในเงากระจกก็เปลี่ยนจากหญิงสาวหน้าเซียวๆเป็นผู้หญิงที่สวยหวาน หน้าเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันที
หล่อนลงจากบันได ตั้งใจจะไปดูกิษฎีว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ แต่บังเอิญเดินสวนกับกิตติที่กำลังจะเดินไปห้องอาหารพอดี… หล่อนไม่สนใจเขา เดินผ่านเลยไปโดยไม่มองด้วยซ้ำ แต่เขาน่ะสิ มองตามจนเหลียวหลัง ก่อนถามเสียงดังลั่นปานฟ้าผ่า
“นี่เธอ !”
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หมุนกายกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอย่างเสียไม่ได้
“เพิ่งลงมาทานข้าวเหรอคะคุณกิตติ”
“เธอรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ” ชายหนุ่มถามงงๆ เขายังใส่ชุดนอนหลวมๆ ผมยุ่งรุงรังเหมือนเพิ่งลุกจากที่นอน เขม้นสายตามองหล่อนอย่างพินิจ
“สงสัยยังไม่สร่างเมา” หล่อนส่ายหน้าไปมา “เพิ่งเจอกันเมื่อวาน ฉันจะลืมคุณได้ไง ไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์นะคะ”
“เจอกันเมื่อวานเหรอ” กิตติทำท่านึก ดวงตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำสนิทมีร่องรอยรำลึก…เอ นี่เขาไปรู้จักผู้หญิงหน้าสวยคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อวานเจอแต่แฟนของกฤษกร แต่ยัยนั่นก็หน้าตาตลกๆน่าเกลียด ไม่ได้หวานสวยแบบนี้นี่นา
“เอ้า… จำมิลันตีไม่ได้เหรอคะ เมื่อวานคุณยังฟ่อดแฟ่ดใส่ฉันอยู่เลย”
พอได้ฟังคำเฉลยจากหล่อน ชายหนุ่มก็ถึงกับอ้าปากค้าง เผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กระพริบตาปริบๆ “ชื่อไรนะ”
“มิลันตีค่า” คราวนี้หล่อนตะโกนลั่น จนคนรับใช้ที่กำลังปัดกวาดฝุ่นแถวนั้นถึงกับหันมามองอย่างให้ความสนใจ
“เมื่อวานหน้าตายังกับตัวตลกหลุดมาจากดาวอังคาร วันนี้ทำไมกลายเป็นนางฟ้าได้ เธอเป็นแม่มดเหรอไง”
“แล้วคุณเป็นเด็กห้าขวบเหรอไงคะ ถึงมาถามว่าฉันเป็นแม่มดหรือเปล่าน่ะ เมื่อวานฉันแค่อยากแต่งหน้าน่ากลัวๆแกล้งคุณข้าวกล้าเฉยๆ ว่าแต่ห้องข้าวกล้องอยู่ไหนคะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามหล่อน แต่กลับสร้างคำถามขึ้นมาใหม่ว่า “ถามจริง เทือกเถาเหล่ากอเธอเป็นยังไง พ่อแม่ทำงานอะไร”
“ฉันเป็นแค่พนักงานขายเครื่องสำอางค่ะ ฐานะก็พอมีพอกิน แต่ไม่ร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้แบบคุณหรอก พ่อแม่ตายตั้งแต่ฉันยังเด็ก ป้าเป็นคนเลี้ยงฉันมา อ้อ…ป้าฉันเป็นจิตแพทย์ค่ะ ว่างๆคุณจะลองไปให้ป้าฉันเช็คสภาพจิตดูบ้างไหมคะ”
กิตติตาวาวอย่างขุ่นเคืองที่โดนหล่อนเหน็บแนมเช่นนั้น แต่ไม่รู้จะทำยังไง ได้แค่ตอบเสียงสะบัดว่า
“ฉันไม่ได้บ้า เธอมากกว่าที่บ้า…เอ คงเรียกว่าบ้าไม่ได้ ต้องเรียกว่าคนละโมบโลภมากจะเหมาะกว่า อาชีพพนักงานขายคงรวยช้าเกินไปใช่ไหมถึงคิดจะจับพี่ชายฉัน พี่ฉันนี่ก็ดีหมดทุกอย่างนะ เสียอยู่อย่างเดียว…ตามไม่ทันมารยาผู้หญิงหน้าสวยๆนี่แหละ”
“อย่าตัดสินคนอื่นจากความคิดของตัวเองสิคะคุณกิตติ ส่องกระจกก็เห็นแค่เงาสะท้อน ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนยังไงก็ไม่ควรมองแค่ภายนอก ต้องศึกษาให้ถึงภายใน”
“ไม่ต้องศึกษาให้มากความ แค่เห็นเธอเหยียบเท้าเข้ามาอยู่ที่นี่ในตำแหน่งแฟนพี่กล้า ฉันก็รู้แล้วว่าเธอหวังอะไร”
หญิงสาวเม้มปากแน่น จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเดือดดาล ชีวิตหล่อนตอนนี้เหมือนนกโดนขังในกรงเหล็ก ขาดอิสรภาพ ซ้ำยังต้องโดนคนอื่นดูถูกอีกอย่างนั้นหรือ… ไม่ หล่อนไม่ยอม
“แล้วที่คุณมาพูดแบบนี้ใส่ฉัน ฉันก็พอจะรู้ค่ะว่าคุณหวังอะไร”
“เธอคงเข้าใจสินะ หน้าตาเธอก็ดูฉลาดดีนี่ คงรู้ล่ะสิว่าฉันอยากให้เธอไปให้พ้นบ้านหลังนี้” ชายหนุ่มยิงตรงประเด็นอย่างเผ็ดร้อนซึ่งหล่อนก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“หน้าตาคุณก็เหมือนคนฉลาดเหมือนกัน แค่มองตาฉัน คุณคงรู้แล้วสินะว่า…ฉัน ไม่ ไป !” หล่อนย้ำสามคำหลังแบบเน้นๆ ช้าๆและชัดๆ เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับหน้าบึ้งด้วยความโกรธ
“แล้วเธอจะเสียใจที่กล้าต่อปากต่อคำกับฉัน แต่จำไว้นะมิ้วฉันคนนี้นี่แหละจะเป็นคนทำให้เธอกระเด็นออกไปจากบ้านหลังนี้เองไม่เชื่อก็คอยดูแล้วกัน” พูดจบก็เดินเข้าห้องอาหารไปเลยโดยไม่หันมามองหล่อนอีก ขณะที่หญิงสาวได้แต่ยืนมองตามหลังเขาไปจนลับ…กิตติคงจะไม่ชอบหน้าหล่อนจริงๆถึงขั้นออกปากเปิดสงครามกับหล่อน เห็นทีว่าต่อไปนี้หล่อนจะต้องเตรียมรับมือเขาไว้ให้ได้ทุกสถานการณ์ เพราะถึงชะตาชีวิตจะพาให้หล่อนตกที่นั่งลำบาก แต่หล่อนจะไม่มีวันนั่งร้องไห้เฉยๆโดยไม่ตอบโต้คนที่มารังแกแน่ๆ เพราะคนอย่างมิลันตี…ไม่ใช่นางเอก !
มิลันตีถามคนรับใช้ที่ทำความสะอาดอยู่บริเวณนั้นว่าห้องของกิษฎีอยู่ที่ไหน พอได้คำตอบก็เตรียมจะเดินไปห้องจุดหมาย แต่สายตาบังเอิญมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นร่างอ้วนกลมนั่งเล่นอยู่บริเวณสนามหญ้า
หญิงสาวจึงเดินออกจากตัวบ้าน ตรงไปหาเด็กชาย ตั้งใจไว้ว่าจะผูกมิตรกับกิษฎีให้ได้ เพราะตอนนี้กฤษกรและอัญชรีย์ก็ไม่อยู่บ้านทั้งคู่ หล่อนจึงอยากลองใกล้ชิดเด็กคนนี้ดูเพื่อหาสาเหตุว่า…อะไรหนอที่ทำให้ดวงตากลมสีน้ำตาลหม่นหมองและเหมือนหวาดระแวงอะไรอยู่ตลอดเวลา
พอกิษฎีเห็นหล่อนเดินตรงไปหา ร่างป้อมก็ลุกยืน ตะโกนออกมาเพียงสองคำว่า
“ยักษ์มา !” จากนั้นก็วิ่งหนีหล่อนอย่างรวดเร็ว ขณะที่หญิงสาวเคี้ยวกรามดังกรอด…อันที่จริงยังปวดหลังอยู่บ้าง แต่อาการดีขึ้นเยอะแล้ว อย่าหวังว่าเด็กอ้วนเหมือนหมูแบบนั้นจะวิ่งหนีหล่อนทัน หล่อนจะแสดงศักยภาพของอดีตนักกีฬาสมัยเรียนมัธยมให้ดูเป็นขวัญตา
คิดดังนั้นแล้ว มิลันตีก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อรวบรวมพลัง แล้วออกวิ่งด้วยความเร็วสูงประดุจกำลังแข่งโอลิมปิกอยู่ก็ไม่ปาน
เพราะหล่อนขายาวกว่า แถมตัวบางเพรียวกว่า ทำให้หล่อนมีความคล่องตัวให้การวิ่งมากกว่ากิษฎีที่วิ่งไปได้ไม่ไกลนักก็หอบแฮ่ก
ทว่าถึงหล่อนจะวิ่งไว แต่พอละสายตาไปเพียงแว่บเดียว เด็กชายก็หายไปจากสายตาไปเสียแล้ว หล่อนจึงเดินลัดเลาะอยู่รอบๆน้ำพุซึ่งสาดละอองสีขาวเป็นฝอยฟูฟ่องลงใส่บ่อวงกลมขนาดใหญ่ซึ่งตรงกลางประดับรูปปั้นหญิงเปลือยอก
สายตาของหล่อนกวาดไปทั่วเพื่อมองหาเด็กตัวอ้วน และช่วงจังหวะที่ไม่ทันได้ระวังตัวนั้นเอง กิษฎีก็แอบย่องมาทางด้านหลัง ผลักหล่อนอย่างแรงจนหน้าคะมำตกลงไปในบ่อ
ตูม !
“ว้าย !” มิลันตีหวีดร้องลั่น โชคดีที่น้ำลึกแค่เอวเท่านั้น หล่อนโผล่หัวออกมาพ้นผิวน้ำ มองไปที่เด็กชายที่กำลังยิ้มอย่างสะใจ ซ้ำยังพูดกับหล่อนด้วยประโยคยาวๆว่า
“สมน้ำหน้า ยักษ์ตกน้ำ หน้าตาดูไม่ได้เลย”
“ข้าวกล้อง !” หล่อนเรียกชื่อลั่น ลุกยืน ซึ่งกิษฎีก็เชิดหน้า ปากงอง้ำ