บทที่ 6 สัญญา...จากน้ายักษ์ 2
“เอาสิ…แล้วน้ายักษ์ก็จะตีกล้องเผี๊ยะๆเหมือนพี่เลี้ยงคนอื่นๆ ใช่ไหมล่ะ อยากตีก็ตีเลย”
หญิงสาวมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่แป๋ว…แม้แววตาจะท้าทายแต่กลับแฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่นลึกๆ เท่านั้นแหละ ความโมโหที่มีก็ จางหาย หล่อนจับแขนกลมของเด็กชายดึงรั้งให้ตกลงมาในบ่อด้วยกัน
ตูม !
มิลันตีคว้าเอวอวบอั๋นไว้แน่นเพื่อไม่ให้กิษฎีจม พลางหัวเราะร่า พูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะว่า
“น้าไม่ตีเราหรอกนะ แต่น้าจะไม่มีทางยอมเปียกน้ำคนเดียวแน่ๆ”
ใบหน้ากลมแป้นฉายชัดถึงความงุนงง เหมือนไม่คาดคิดมาก่อนว่าหล่อนจะทำเช่นนี้ ทั้งคู่อยู่ในน้ำอยู่พักหนึ่งกว่าเสียงเอะอะจะดังลั่น…
เป็นเสียงของกิตตินั่นเอง เขาวิ่งตรงมา พร้อมแหกปากไปด้วย
“ทำอะไรกันน่ะ น้ำนั่นไว้ประดับนะ ไม่ได้มีไว้ให้ลงไปเล่น”
“ว้า…” หญิงสาวทำเสียงเหมือนเสียดาย ก่อนจะหันมาหลิ่วตาให้กิษฎี “มีคนมาขัดจังหวะซะได้ เอาไว้คราวหน้าเรามาเล่นกันอีกนะ”
เด็กชายกระพริบตาปริบๆ ยังไม่ทันได้ขยับปากพูดอะไรร่างป้อมก็ถูกกิตติลากขึ้นจากบ่อ
“จริงๆเล้ย ทำอะไรไม่เข้าท่า เพราะเธอแน่ๆที่เป็นคนนำหลานฉันเล่นอะไรแผลงๆแบบนี้” กิตติชี้หน้ามิลันตีซึ่งยังลอยคออยู่ในบ่อน้ำพุประดับ
กิษฎีเหลือบตากลมๆมองไปทางหญิงสาวเหมือนกลัวว่าหล่อนจะ‘แฉ’ว่าเขาเป็นคนแกล้ง ทว่าหล่อนกลับยอมรับหน้าตาเฉย
“เห็นข้าวกล้องเล่นเหงาๆอยู่คนเดียว ฉันเลยลงทุนมาเล่นกับเด็กบ้าง มันผิดตรงไหนกัน”
“ไร้สาระ !” ชายหนุ่มว่าเสียงกระแทก ก่อนตะโกนโหวกเหวกเรียกให้คนรับใช้พากิษฎีไปอาบน้ำ ซึ่งเด็กชายก็ตามไปอย่างไม่ขัดขืน
“เมื่อไหร่จะขึ้นมาจากน้ำซะที” กิตติถามเสียงกระชาก แม้หล่อนจะไม่เห็นแววตาเขาเพราะมีแว่นสีดำอำพรางจนมิด แต่หล่อนก็พอจะเดาได้จากน้ำเสียงว่าเขากำลังโมโห
“ไม่มีงานทำเหรอคะถึงมีเวลามาวุ่นวายเรื่องฉัน” หญิงสาวถาม พลางขึ้นจากบ่อน้ำ แล้วบิดตัวไปด้านซ้ายที ทางขวาทีเหมือนสบายๆไม่ซีเรียสอะไร ต่างจากเขาที่โมโหจนควันแทบออกจากหู
“ฉันกำลังจะออกไปทำงานอยู่แล้ว แต่ดันเห็นเธอเล่นพิเรนทร์อยู่กับเจ้าตัวแสบน่ะสิ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นฉันเข้าบ้านล่ะ” หล่อนโบกมือหยอยๆ เตรียมเดินหนี แต่เขากลับดักหล่อนไว้ด้วยคำพูดที่แสนแสบสันต์
“เธอคงหวังสินะว่าจะมาเป็นคุณนายของบ้านนี้ อย่าหวังเลยว่าคนจากสลัมอย่างเธอจะได้ชูคออยู่ที่นี่นาน พฤติกรรมของเธอวันนี้ ฉันจะบอกให้พี่กล้ารู้ เขาจะได้ตาสว่างสักทีว่าการให้เธออยู่บ้านหลังนี้ก็เท่ากับทำให้ข้าวกล้องเสียเด็ก”
“เหรอคะ” หญิงสาวเหยียดยิ้ม “เด็กก็ควรได้เล่นแบบเด็ก ฉันไม่คิดว่าการที่ลงไปคลุกคลีเล่นกับเด็กจะทำให้เสียคนตรงไหน ไม่แน่นะคะ…สักวันข้าวกล้องอาจเปิดใจให้ฉันจนทำให้ฉันเข้าถึงได้ว่าเด็กคนนั้นคิดอะไรอยู่”
“น้ำหน้าอย่างเธอจะมีวันเปลี่ยนแปลงข้าวกล้องได้เหรอ” กิตติหัวเราะในลำคอเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลกและเขาก็ไม่มีวันเชื่อ “ถ้า ข้าวกล้องยอมกลับมาร่าเริง สดใส ทำตัวเหมือนเด็กๆคนอื่นได้ วันนั้นฉันจะยอมรับเธอในตำแหน่งพี่สะใภ้”
มิลันตีก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อย ตอบกลับไปอย่างฉะฉาน “ขอบคุณค่ะ ฉันนี่แหละ…จะเป็นคนทำให้ข้าวกล้องกลับเป็นคนเดิมให้ได้เอง ขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบ หญิงสาวก็หันหลังเดินเข้าบ้านด้วยไหล่ตั้งตรง ลำคอเชิดระหง ทว่ากลับมีน้ำใสเอ่อคลอดวงตาคู่สวย…ที่ยอมรับปากกิตติ ก็เพราะหล่อนสงสารกิษฎี เด็กน่ารักๆแบบนั้นไม่น่าต้องมาทำตัวเหมือนเด็กเก็บกด ไม่ใช่คิดจะทำเพราะหวังตำแหน่งคุณนายของบ้านหลังนี้ เพราะถึงจะไม่มีใครรู้ แต่หล่อนรู้ดีที่สุดและเจียมตัวเองเสมอว่าตนถูกพาตัวมาที่นี่ในตำแหน่งนางบำเรอ ไม่ใช่ในฐานะผู้หญิงที่กฤษกรรัก !
พอเดินมาถึงห้องโถง หญิงวัยกลางคนก็วิ่งตุบตับมาบอกหล่อนด้วยท่าทางแตกตื่น
“คุณมิ้วคะคุณมิ้ว”
“อะไรคะ ? ”
“ช่วยไปดูคุณข้าวกล้องหน่อยเถอะค่ะ อิฉันจะอาบน้ำให้ก็ไม่ยอม ตีโพยตีพาย แหกปากร้องไห้ อาละวาดจนห้องน้ำเลอะเทอะหมดแล้วค่ะ เด็กอะไรร้ายเหลือเกินจริงๆ ตั้งแต่โตมาจนแก่ปูนนี้ เพิ่งเคยเห็นเด็กฤทธิ์เยอะขนาดนี้เป็นคนแรกนี่แหละค่ะ” บัวนอบพูดด้วยน้ำเสียงระอาใจ ขณะที่มิลันตีเลิกคิ้วขึ้นสูง ถามว่า
“ตอนนี้ข้าวกล้องอยู่ไหนคะ”
“ในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆห้องรับแขกค่ะ”
“อ๋อ ค่ะ…” หญิงสาวพยักหน้ารับ เพิ่งรู้นะว่าใกล้ๆห้องรับแขกจะมีห้องน้ำอีกห้องหนึ่ง สมกับเป็นบ้านคนรวยจริงๆ
เดินไปไม่นานนัก หล่อนก็มาถึงจุดหมาย ได้ยินเสียงร้องลั่น ดังก้อง…ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดอะไร แต่ฟังแล้วช่างเป็นเสียงที่ชวนให้ปวดหูดีจริงๆ
เหมือนข้าวกล้องจะไม่ค่อยพูด ชอบทำหน้างอนิ่งๆ แต่ถ้าได้ อ้าปากเมื่อไหร่มักจะโวยวายมะเทิ่งให้คนแตกตื่น
กิษฎีขว้างก้อนสบู่ไปกระแทกผนังห้อง เฉียดฉิวหน้าของมิลันตีที่เพิ่งเดินเข้ามาแค่นิดเดียว หล่อนตาเหลือก ใจหายวูบ…โชคดีนะที่ไม่โดนก้อนสบู่แข็งๆกระแทกหน้า ไม่งั้นมีหวังดั้งจมูกหักพอดี
“อะไรเนี่ย พายุสลาตันเข้ามาพัดในห้องน้ำเหรอไง” หญิงสาวพูดติดตลก กวาดตามองรอบๆบริเวณเห็นเด็กชายยืนจังก้า หน้าบึ้งตึง ตัวเปียกโชกแต่ไม่ยอมถอดเสื้อผ้าออก ขวดสบู่เหลว น้ำยาสระผม ครีมนวดกระจายเกลื่อนพื้นห้อง
“…” ไม่มีคำตอบจากกิษฎี ขณะที่หล่อนเดินเข้าใกล้ แล้วพูดว่า
“เป็นเด็กแต่ไม่ยอมอาบน้ำ ระวังตัวเหม็นนะ ใส่ผ้าเปียกนานๆ เดี๋ยวเห็ดจะขึ้นตามตัวนะจะบอกให้ ข้าวกล้องอยากเป็นมนุษย์เห็ดเหรอ”
คราวนี้ดวงตากลมโตเริ่มฉายแววสับสนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหญิงสาวก็ถึงกับลอบยิ้ม ก่อนจะขู่ต่อไปอีกว่า “พอเป็นมนุษย์เห็ดก็จะไม่มีใครอยากเล่นด้วย หาแฟนไม่ได้ ไม่มีใครอยากกอดนะ”
“น้ายักษ์เองก็ตัวเปียก ไม่กลัวเป็นมนุษย์เห็ดเหรอครับ” ถามอย่างสนใจจริงๆจังๆ ตาแป๋วๆจ้องมองหล่อนอย่างรอคอยคำตอบ
“กลัวสิ แต่น้าเป็นห่วงข้าวกล้องมากกว่า เลยจะมาช่วยอาบให้ข้าวกล้องก่อน แล้วตัวน้าเองค่อยไปอาบทีหลัง”
“อาบช้าไม่กลัวสายเกินไปเหรอครับ ถ้าน้ายักษ์กลายเป็นมนุษย์เห็ด พ่ออาจไม่กล้ากอดนะ”
คำพูดจาฉะฉานเหมือนเด็กฉลาดคนหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่มิลันตีรับรู้ แต่ที่น่าแปลกใจคือ…ทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น กิษฎีถึงไม่ค่อยกล้าพูดและเหมือนหวาดกลัวอะไรอยู่ตลอดเวลา
“ถ้างั้นข้าวกล้องก็ต้องรีบอาบน้ำไวๆ น้าจะได้รีบไปอาบบ้างไง อาบให้ตัวหอมๆ แล้วขอให้พ่อพาไปเที่ยวกันดีไหม”
“เที่ยว… !” กิษฎีเบิกตากว้าง ดีใจจนแก้มแทบจะกระเพื่อม ก่อนที่ดวงตาจะสลดวูบ “แต่พ่อจะยอมไปเหรอ ปกติพ่อทำแต่งาน ไม่มีเวลาพากล้องไปเที่ยวหรอก”
หญิงสาวทรุดลงนั่งยองๆให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับเด็กชาย จากนั้นก็ชูนิ้วก้อยขึ้นมา
“สัญญาเลยเอ้า เราต้องได้ไปเที่ยวกันแน่ๆ พ่อรักข้าวกล้องจะตาย ยังไงก็ต้องพาไป”
กิษฎีเม้มปากแน่น ท่าทางลังเล สักพักก็ค่อยๆยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยวกับหล่อน
“น้ายักษ์สัญญาแล้วนะ”
“จ้ะ สัญญา” หญิงสาวยิ้มกว้าง “งั้นอาบน้ำเลย เดี๋ยวน้าอาบให้ จะได้ผัดแป้งหน้าขาวๆแต่งตัวหล่อๆรอพ่อกลับบ้านกันเนอะ !”