บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 เด็กแสบ 3

“ผมใจเย็นจนไม่รู้จะเย็นยังไงแล้วมิลันตี ผมจ่ายค่าเทอมแพงๆ แต่ข้าวกล้องไม่ยอมไปเรียนสักวันจนเพื่อนรุ่นเดียวกันเขาขึ้นป.1 กันหมดแล้ว คงมีแต่ข้าวกล้องที่ยังอยู่อนุบาล 2 เหมือนปีที่แล้ว พออยู่บ้านก็เอาแต่แกล้งคนนั้นคนนี้ ทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหาที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน”

เหมือนทำนบกั้นน้ำพังทลาย กฤษกรพรั่งพรูความในใจมาจนหมดสิ้น เขาทนเก็บทุกอย่างมาเนิ่นนาน ตอนแรกคิดว่าลูกเสียใจที่ย่าเสียชีวิตกะทันหันเลยไม่ยอมไปเรียน แต่นานวันเข้า…กิษฎีก็ยังไม่ไปเรียนอีก ไม่ว่าเขาจะโน้มน้าวใจยังไงก็ไม่ยอมไป ซ้ำยังไม่ค่อยพูดจากับใคร หาเรื่องเล่นซนแกล้งคนนั้นคนนี้จนไม่มีใครทนได้

มีเพียงอัญชรีย์ที่ช่วยเขาดูแลลูก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร

“ฉันรู้ค่ะว่าข้าวกล้องทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหา แต่คุณก็ไม่ควรใช้อารมณ์นะคะ” มิลันตีพูดเสียงเรียบ แต่ชายหนุ่มไม่ฟังเสียง

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงข้าวกล้องก็ต้องขอโทษน้ามิ้วเดี๋ยวนี้”

“ข้าวกล้องเห็นไหม พ่อโกรธแล้วนะ” อัญชรีย์หน้าเจื่อน รีบบอกเด็กชาย “รีบขอโทษน้ามิ้วสิข้าวกล้อง พ่อจะได้หายโกรธไง”

ทว่ากิษฎีกลับเบะปาก กระโดดลงจากเก้าอี้ หมายจะหนีกลับห้องตัวเอง แต่โดนกฤษกรคว้าแขนไว้ได้ทัน

“จะขอโทษหรือไม่ขอโทษ หืม ? ”

“ไม่ !” เด็กชายตอบห้วนๆสั้นๆ แววตาหวั่นไหว แก้มเป็นพวงที่เคยแดงระเรื่อบัดนี้ซีดเผือด

“พอเถอะค่ะคุณกล้า ยิ่งคุณโมโหจะยิ่งทำให้ข้าวกล้องกลัวนะคะ” มิลันตีทัดทานเสียงแผ่ว หวังให้ชายหนุ่มใจเย็นลง ทว่าเขากลับตะคอกลั่น

“ยิ่งผมใจดี ข้าวกล้องก็ยิ่งมีพฤติกรรมแย่ลง ถ้าไม่ตีเสียบ้างข้าวกล้องคงยิ่งกำเริบเสิบสาน”

กิษฎีขยับปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่พอเหลือบมองหน้าอัญชรีย์ก็หุบปากลงเหมือนเดิม ก่อนจะวิ่งผลุนผลันหนีออกไป

“คุณบอกผมสิมิลันตีว่าผมควรจะสั่งสอนลูกคนนี้ยังไงดี ? ” ชายหนุ่มถามเสียงเครียด ปาไม้เรียวลงพื้น สุดท้ายก็ใจอ่อนไม่กล้าลงมือกับลูก ทว่าความอัดอั้นในใจกลับไม่จางหายเลยแม้แต่น้อย

“ฉันสังเกตดูแล้ว เหมือนข้าวกล้องไม่ได้ดื้อรั้นตามนิสัยนะคะ แต่น่าจะมีปัญหาด้านจิตใจมากกว่า”

“คุณรู้ได้ไง ลูกผมน่ะถึงจะขาดแม่ แต่ผมก็พยายามให้ความรักความอบอุ่นเต็มที่ ความเป็นอยู่ก็สะดวกสบาย มีกินมีใช้จนอ้วนกลมเหมือนหมูตอนแบบนั้น ไม่ว่าอยากได้อะไร ผมก็หามาให้ สุขภาพก็สมบูรณ์แข็งแรงดี ข้าวกล้องเหมือนคนที่มีภาวะจิตใจบกพร่องตรงไหน”

“นั่นสิคะ” อัญชรีย์รีบสำทับ “อย่างที่คุณกล้าว่ามานั่นแหละค่ะ ข้าวกล้องน่าจะมีความสุขมากกว่าเด็กคนอื่นๆด้วยซ้ำ”

“ไม่รู้สิคะ ที่ฉันพูดไปก็แค่ใช้สัญชาตญาณของตัวเอง เพราะเมื่อก่อนคุณป้าที่เลี้ยงฉันมา ท่านเป็นจิตแพทย์ค่ะ”

“คุณกำลังจะบอกว่าลูกผมเป็นบ้า ?” เขาถามเสียงสูง หน้าชักจะตึงอย่างไม่พอใจ เล่นเอามิลันตีต้องรีบแก้ต่าง

“เปล่าค่ะ ข้าวกล้องไม่เหมือนคนบ้า แต่น่าจะมีอะไรบางอย่างกดดันในใจ”

“ผมเครียดเรื่องข้าวกล้องมากกว่าเรื่องงานซะอีก เออ…จริงสิ เดี๋ยวผมกับคุณอัญไปทำงานแล้ว ปกติจะมีพี่เลี้ยงคอยดูแลข้าวกล้อง แต่ช่วงนี้พี่เลี้ยงพากันลาออกหมด คนรับใช้ก็คงเอาข้าวกล้องไม่อยู่ ยังไงคุณก็ช่วยดูแลลูกให้ผมด้วยนะมิลันตี แล้วผมจะ…” ชายหนุ่มเอียงหน้ามากระซิบใกล้ๆเหมือนกลัวอัญชรีย์ได้ยิน “จะเพิ่มเงินเดือนให้ จากหนึ่งหมื่น เป็นสองหมื่น โอเคไหม”

มิลันตีแสยะยิ้ม ผู้ชายคนนี้ฉลาดมาก ตอนกลางวันจะให้หล่อนเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ส่วนกลางคืนก็ให้หล่อนเป็นนางบำเรอบนเตียง

“ค่ะ แล้วคุณอัญทำงานที่บริษัทเดียวกับคุณกล้าหรือเปล่าคะ”

“เปล่า ตอนแรกผมเคยคิดจะให้คุณอัญมาเป็นเลขา แต่คุณอัญรักอาชีพครูอนุบาลมาก ถึงจะแต่งงานกับน้องชายผม คุณอัญก็ไม่คิดจะเลิกอาชีพเดิมน่ะ”

“ครูสอนอนุบาล…ว้าว” หญิงสาวตาโต หัวเราะคิก “คุณอัญนี่เป็นสาวในฝันของหนุ่มๆเลยนะคะ สวย อ่อนหวาน ใจดี รักเด็กด้วย”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ อัญแค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับเด็กๆให้มากที่สุด เพราะตัวเองคงไม่มีวาสนาได้มีลูกเหมือนคนอื่นเขา” ดวงตาของอัญชรีย์หม่นเศร้าจนคู่สนทนาใจหาย

“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะคะ ทั้งคุณอัญ คุณกิตติก็ยังหนุ่มสาวด้วยกันทั้งคู่ ต้องมีลูกง่ายอยู่แล้วล่ะ”

“นี่คุณ…” กฤษกรใช้ศอกสะกิดสีข้างมิลันตีแล้วกระซิบบอก “คุณอัญเป็นหมัน มีลูกไม่ได้น่ะ”

“เอ่อ…” หญิงสาวหน้าเสีย “ขอโทษนะคะคุณอัญ ไม่ได้คิดจะพูดย้ำในเรื่องที่ทำให้คุณไม่สบายใจ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” อัญชรีย์ยิ้ม “อย่างน้อยอัญก็ได้คนรักที่ดี อัญกับคุณกิตติต่างเติมเต็มกันและกันในส่วนที่ขาดหาย เราต่างมีทั้งข้อดีและส่วนเสีย คุณกิตติมีจุดบกพร่องตรงดวงตา ส่วนอัญก็เป็นหมัน ถึงจะไม่มีโอกาสมีลูกแต่อัญก็มีความสุขค่ะ ตอนนี้ก็หวังว่าเมื่อไหร่จะได้อุ้มลูกของคุณมิ้วกับคุณกล้าสักที”

มิลันตีหน้าแดงก่อนซีดขาว…จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อหล่อนไม่ใช่ภรรยาตัวจริง เป็นเพียงของเล่นบำบัดใคร่ชั่วคราวของเขาเท่านั้น ขณะที่ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องไปว่า

“คุณอัญกินเข้าวต่อเถอะครับ ขอโทษด้วยนะที่เอะอะโวยวายเรื่องข้าวกล้องจนคุณอัญหายหิวเลย”

“ไม่เป็นไรค่ะ ปกติคุณกล้าเป็นคนใจดีกับลูกมาก คราวนี้คงทนไม่ไหวจริงๆ คุณกล้ามากินข้าวด้วยกันสิคะ เห็นคุณยกถาดข้าวไปให้คุณมิ้ว ส่วนตัวเองยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”

“ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ตอนตื่นมาก็กินขนมปังกับกาแฟไปแล้ว”

“อาหารเช้าจำเป็นต่อร่างกายและสมองนะคะ”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับคุณอัญ เช้านี้ผมยังไม่เห็นกิตติเลย เขาไปไหน ? ”

อัญชรีย์ถอนหายใจ ทรุดนั่งบนเก้าอี้ที่เดิมแล้วตักชิ้นหมูยอเข้าปาก ตอบเอื่อยๆว่า “เมื่อคืนไปดื่มเหล้าจนเมา กลับมาหมดสภาพเลยค่ะ เช้านี้คงตื่นสาย เดี๋ยวพอตื่นมาต้องบ่นว่าปวดหัวแน่ๆ”

“แย่จริง” ชายหนุ่มสบถ “กิตติน่าจะรู้ว่าอะไรควรและอะไรไม่ควร เป็นถึงผู้บริหารร่วมกันกับผม แต่กลับเอาแต่กินเหล้า จะไปทำงานก็ตามอำเภอใจ นึกจะไปก็ไป นึกจะหยุดก็หยุด เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อพนักงานเลยจริงๆ”

“อัญจะพยายามช่วยพูดให้เขาเบาๆเรื่องสังสรรค์ค่ะ คุณกล้าจะไปทำงานเลยหรือเปล่าคะ”

กฤษกรยกข้อมือดูนาฬิกา แล้วพยักหน้า “ครับ จะไปเลย”

“ค่ะ เดินทางสวัสดิภาพค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักอัญก็จะออกไปทำงานเหมือนกัน”

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำ แล้วเหล่มองมิลันตีที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ “คุณออกไปส่งผมหน่อยสิมิลันตี”

“ทำไมต้องไปส่งด้วยล่ะ ฉันจะขึ้นไปกินข้าวบนห้อง” หล่อนหาเรื่องเฉไฉ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเขาสั่งเสียงเข้ม

“ผมบอกว่าให้คุณไปส่งผมไง !”

หญิงสาวหน้าบูด ยอมเดินตามเขาไปถึงโรงจอดรถ ขณะที่เขาปลดล็อกรถยนต์คันหรูแล้วหันมาทางหล่อนเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“ในฐานะภรรยา คุณควรทำยังไงเมื่อสามีจะออกจากบ้าน”

“ฉันเป็นแค่เมียจอมปลอม มีค่าแค่เฉพาะเวลาคุณต้องการ ทำไมต้องให้ทำอะไรที่มันมากเรื่องด้วยล่ะ”

คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเป็นปม แล้วสั่งเสียงเฉียบ “แต่คุณเป็นผู้หญิงที่ผมซื้อมาได้ด้วยเงิน ผมต้องการอะไร คุณก็ต้องทำให้ผม ถ้าผมสั่งให้คุณแก้ผ้าตอนนี้ คุณก็ต้องทำ”

หญิงสาวหน้าแดงก่ำกับความหยาบคายของเขา หล่อนถามประชดประชันว่า “จะให้ถอดเสื้อผ้าตรงนี้เลยหรือไงคะ”

“ไม่ต้อง…ตอนนี้ผมต้องการแค่จูบจากคุณ”

“ฉันไม่…” ตั้งท่าจะแย้ง แต่โดนเขาแทรกด้วยประโยคเด็ดขาด

“แต่ผมสั่ง…!”

มิลันตีเม้มปากแน่น เหมือนโดนเขาดูถูกอย่างไรอย่างนั้น แต่เพราะไม่มีทางเลี่ยง หล่อนจึงจำต้องสืบเท้าเข้าใกล้ร่างสูง เขย่งปลายเท้าจูบปากเขาเร็วๆแล้วจะดึงใบหน้ากลับแต่ถูกมือใหญ่จับท้ายทอยยึดไว้ ก่อนที่ริมฝีปากกระด้างจะบดเบียดแทรกปลายลิ้นร้อนผ่าวเข้าโพรงปากหล่อนอย่างดุดัน

“อื้อ…” หญิงสาวตาเหลือก มือผลักอกกว้างให้ถอยห่าง แต่ยิ่งผลัก เขากลับยิ่งรุนแรงจนหล่อนขาอ่อน สุดท้ายเลยต้องขยุ้มเนคไทเขาไว้แล้วเงยหน้าสนองจูบกลับไป

คราวนี้เขาครางในลำคออย่างพอใจ พัวพันเล่นลิ้นกับหล่อนชั่วขณะ ก่อนผละถอยห่าง ดวงตาคู่คมสื่อถึงความต้องการอย่างเด่นชัด จากนั้นก็หลุบตาลงมองปลายเท้า พูดใส่หน้าหล่อนว่า

“ก็แค่นี้แหละ…ไปล่ะ” พูดจบก็ขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องทันที ขณะที่หญิงสาวก้าวถอยหลังหลีกรถ มือกำเข้าหากันแน่นจนเจ็บ

เขาเป็นคนหล่อ แน่นอนว่าต้องมีผู้หญิงชอบเขามากมาย หลายคนอาจอิจฉาที่หล่อนมีวาสนาถูกเขากอดด้วยความปรารถนา แต่ใครจะรู้ล่ะว่าลึกๆแล้วหล่อนเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ต้องตกเป็นของเล่นของผู้ชายที่หัวใจตายด้านรักใครไม่เป็นเช่นเขา

เมื่อไหร่กันหนอ หล่อนถึงจะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมที่เพื่อนรักโยนมาคล้องคอหล่อนโดยไม่ทันตั้งตัวนี้เสียที !

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel