บทที่ 5 เด็กแสบ 1
บทที่ 5
เด็กแสบ !
เช้าวันใหม่
มิลันตีตื่นเช้าเหมือนทุกวัน หล่อนหันมองข้างกายพบสามีทางพฤตินัยยังหลับอยู่ จึงลุกไปอาบน้ำ สวมกางเกงวอร์มกับเสื้อยืดสีส้มแสด จากนั้นก็ลงไปวิ่งออกกำลังกายบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน
หลังจากวิ่งจนเรียกเหงื่อได้พอสมควรแล้ว หล่อนก็ยืนพักใต้ต้นไม้ใหญ่พลางยกผ้าขนหนูผืนเล็กที่คล้องคอมาด้วย เช็ดหน้าจนแห้ง
ช่วงนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ หล่อนจึงลางานชั่วคราว พรุ่งนี้ตั้งใจไว้ว่าจะเข้าไปทำงานตามปกติ ถึงกฤษกรบอกว่าจะให้เงินเดือนหล่อน แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาทิ้งหล่อนไป หล่อนจะได้ไม่ตกงาน
ขณะยืนร่างแผนการสำหรับวันข้างหน้าอยู่นั้น จู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างหล่นใส่หัว พอใช้มือหยิบมาดูก็พบว่าเป็น…หนอน ตัวอ้วนใหญ่ขนาดเท่านิ้วชี้ ตัวสีเขียวเหมือนใบไม้
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงตกใจร้องกรี๊ดไปแล้ว แต่เพราะหล่อนเติบโตมาจากบ้านนอก สมัยเด็กๆใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ไม่เคยกลัวสัตว์ตัวเล็กๆจำพวกนี้อยู่แล้ว
แทนที่จะวิ่งหนี หล่อนกลับเงยหน้าขึ้นมองไปบนต้นไม้…มีกิ่งคบไม้ขนาดใหญ่สูงจากพื้นประมาณสองเมตร บนนั้นมีเด็กชายนั่งห้อยขาอยู่ ดวงตากลมเบิกกว้างเหมือนตกใจที่โดนหล่อนเห็น
“ฝีมือข้าวกล้องเองเหรอ” หล่อนถาม ขณะที่กิษฎีสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง และช่วงนั้นเองที่เกิดเสียหลักตกจากต้นไม้
“อ๊ะ !” กิษฎีอุทานลั่นด้วยความตกใจ ซึ่งหล่อนก็รีบอ้าแขนรับ…ผลก็คือร่างอ้วนกลมที่อุดมด้วยไขมันหล่นใส่หล่อนเต็มๆจนหล่อนหงายหลังล้มตึง แผ่นหลังกระแทกพื้นแข็งๆ โดยมีร่างอ้วนของเด็กวัยหกขวบทับอยู่บนตัว
“แอ๊ก !” หล่อนพ่นคำบางอย่างออกมา รู้สึกเหมือนโดนหมูหล่นทับอย่างไรอย่างนั้น
หน้ากลมแป้นมองหญิงสาวด้วยแววตาสับสน สักพักก็เม้มปากแน่นเมื่อหล่อนแบมือข้างหนึ่งออก เผยให้เห็นหนอนตัวใหญ่
“ฝีมือข้าวกล้องใช่ไหมที่หย่อนหนอนแก้วใส่หัวน้า”
เด็กชายเม้มปาก สะบัดหน้าไปอีกทาง ขณะที่หล่อนจับมืออวบขึ้นมาแล้ววางหนอนบนฝ่ามือของกิษฎี
“ขอบอกไว้ก่อนนะว่าน้าไม่กลัวหรอก ถึงตอนนี้หนอนแก้วจะไม่น่ารักในสายตาคนอื่น แต่ว่าในสักวันหนึ่ง…มันจะกลายเป็นผีเสื้อแสนสวย แล้วข้าวกล้องล่ะจะยอมแพ้หนอนไม่ได้นะ หากข้าวกล้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับทุกคน กล้าออกสู่โลกกว้าง ได้ไปโรงเรียนข้าวกล้องจะรู้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีอะไรอีกมากมายรอเราค้นหา ในวันนั้นข้าวกล้องจะต้องโดดเด่นไม่แพ้ผีเสื้อแน่นอน” พูดไปแล้วหล่อนก็อดใจระทึกไม่ได้ เพราะกิษฎีอายุเพียง 6 ขวบ ไม่รู้ว่าจะเข้าใจความหมายที่หล่อนตั้งใจจะสอนหรือเปล่า
ตากลมสีน้ำตาลอ่อนจ้องหน้าหล่อนเขม็งพักหนึ่งก็ลุกจากตัวหล่อน แล้ววิ่งอุ้ยอ้ายหนีไปอีกทางทันที…หล่อนได้แต่มองตามก้นกลมๆแล้วก็อดสงสัยไม่ได้…ไม่รู้ว่ากิษฎีปีนต้นไม้ไหวได้ไง ทั้งๆที่น้ำหนักเกินมาตรฐานเด็กไทยแบบนั้น !
มิลันตียันตัวลุกขึ้นนั่ง ปวดหลังแปลบจนต้องนิ่วหน้า ผ้าขนหนูกระเด็นไปอีกทาง ผมที่มัดรวบไว้อย่างดีก็มีเศษหญ้าติดจนรุงรัง หล่อนนั่งมึนข่มความเจ็บให้คลายลง…แย่จริงๆ พรุ่งนี้หล่อนคงระบมไปทั้งตัวแน่ๆ
“ทำอะไรของคุณน่ะมิลันตี” เสียงทุ้มเอ่ยถาม หล่อนจึงเงยหน้าขึ้นมองกฤษกรที่ตอนนี้สวมชุดสูทสีเทาเนี้ยบไปทั้งตัว เขาตีหน้าเคร่ง เหมือนครูฝ่ายปกครองที่มองลูกศิษย์จอมดื้ออย่างระอา
“เอ่อ ฉันมาออกกำลังกายน่ะ” หล่อนบอกอ้อมแอ้ม นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วอดขัดเขินปนกระดากไม่ได้
“ออกกำลังกาย ?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง กวาดตามองทั่วร่างบาง “คุณเล่นท่าไหนกันถึงมีสภาพแบบนี้”
“เอ้อ อยู่ดีๆก็อยากนอนแผ่อาบแสงแดดอ่อนๆบนสนามหญ้าน่ะค่ะ”
เขาทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “คุณติ๊งต๊องหรือเปล่าเนี่ย”
เจอคำถามนี้เข้าไป หญิงสาวก็ถึงกับอึ้ง ก่อนค้อนขวับ “ไม่ต้องมายุ่งกับฉันหรอกค่ะ จะไปทำงานก็ไปเถอะ”
“ผมเพิ่งแต่งตัวเสร็จ ยังไม่ได้กินข้าว เห็นคนใช้บอกว่าคุณออกมาวิ่งตรงสนามเลยตามมาดู”
“ถ้างั้นก็ไปกินข้าวเถอะค่ะ ฉันก็จะเข้าบ้านแล้วเหมือนกัน”มิลันตีพยายามลุก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ…ทำไมมันปวดหลังแบบนี้
“เอ้า เป็นอะไรน่ะ” เขารีบจับแขนหล่อนประคองไว้ ขณะที่หญิงสาวรีบกระชากตัวออกห่าง
“ไม่ต้องยุ่งหรอกค่ะ ฉันแค่รู้สึกปวดๆหลัง คงเพราะเมื่อคืนหักโหมมากไป”
เขาหรี่ตาเล็กน้อยอย่างจับผิด “บ้าดิ ผมไม่ได้เล่นแรงถึงขนาด ทำให้คุณเดี้ยงขนาดนี้นะมิลันตี มีอะไรปิดบังผมอยู่หรือเปล่า แค่พูดความจริงมันยากนักหรือไง”
หญิงสาวถอนหายใจยาวเหยียด แล้วยอมสารภาพตามตรงว่า “ตอนฉันวิ่ง โดนข้าวกล้องแกล้งเอาหนอนหย่อนใส่หัวน่ะค่ะ”
“ข้าวกล้องเตี้ยกว่าคุณนะ” เขาแย้ง
“เขาขึ้นต้นไม้น่ะค่ะ ไปนั่งบนกิ่งนั้น” หญิงสาวชี้มือไปทางกิ่งไม้ที่กิษฎีปีนขึ้นไปนั่งเมื่อครู่นี้ “ไม่รู้ว่าขึ้นไปได้ยังไง ตัวก็อ้วนออกปานนั้น”
“เด็กคนนี้นิสัยทโมนนะ ไม่ค่อยเรียบร้อยเหมือนพ่อหรอก”
“พ่อน่ะเหรอคะเรียบร้อย…” มิลันตีลากเสียงยาว แล้วทำหน้าแบบว่าไม่เชื่อสุดๆ “ใครเขาจะเชื่อคุณคะ”
“ผมเรียบร้อยจริงๆนะ ปกติจะเป็นผู้ชายขี้อาย”
คราวนี้หล่อนถึงกับลูบแขนไปมา ทำท่าเหมือนขนลุกที่ได้ยินเขาวิจารณ์ตัวเองแบบนั้น
“นี่ขี้อายเหรอคะ ใครเขาจะเชื่อคุณกัน”
ชายหนุ่มหน้าตึง แล้วเปลี่ยนเรื่องไปว่า “แล้วไงล่ะ พอหนอนหล่นใส่หัวคุณ คุณก็ร้องกรี๊ดๆจนสะดุดขาตัวเองล้มแอ้งแม้ง หลังเลยเดี้ยงอย่างที่เห็นนี่ใช่ไหม”
มิลันตีค้อนขวับ ทำปากยื่น แล้วตอบว่า “ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่กลัวหนอนหรอก แต่ลูกชายคุณน่ะตกจากต้นไม้ ฉันรับจากด้านล่างก็เลย…”
“อ๋อ” เขาลากเสียงยาว ก็อย่างว่าแหละ…หล่อนตัวบอบบาง ส่วนกิษฎีหุ่นอ้วนจ้ำม่ำ จึงไม่แปลกที่หล่อนจะบอบช้ำแบบนี้ “ถ้างั้นไปทายาก่อน จะได้หาย”
พูดจบ ชายหนุ่มก็จับร่างบางขึ้นพาดบ่า พาเดินเข้าตัวบ้าน โดยมีเสียงแหลมเล็กหวีดร้องอยู่ข้างหู
“เอะอะก็จับแบก จับแบก ฉันไม่ใช่กระสอบข้าวนะ”
“หุบปากไปเลย อยู่นิ่งๆ ถ้ายังดิ้นอีกเดี๋ยวโดนจับโยนลงพื้นไม่รู้ด้วยนะ” เขาขู่ และคราวนี้หล่อนก็ยอมเงียบเสียงแต่โดยดี
ช่วงที่เขาพาเดินขึ้นชั้นสองนั้นสวนกับคนรับใช้หลายคน แต่ละคนมองมายิ้มๆ บางคนก็มองอย่างอยากรู้อยากเห็น ส่งผลให้หญิงสาวนึกอายไม่น้อย ครั้นจะโวยวายก็กลัวเขาจับโยนขึ้นมาจริงๆ มีหวังได้เจ็บตัวหนักกว่าเดิมแน่ๆ
ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ว่างผลักประตูให้เปิดออกแล้ววางหล่อนให้นอนลงบนเตียงกว้าง
“เดี๋ยวผมหายามาทาให้” เขาบอก พลางทำท่าจะหมุนกายออกจากห้อง แต่หล่อนรีบเรียก
“เดี๋ยวค่ะ”
“มีอะไร ?”
“ให้ข้าวกล้องเป็นคนทายาให้ฉันนะคะ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ข้าวกล้องดูท่าจะไม่ค่อยชอบคุณเท่าไหร่ คุณอย่าหาเรื่องเลยดีกว่านะ”
“ข้าวกล้องควรรับผิดชอบการกระทำของตัวเองค่ะ เขาทำให้ฉันเจ็บ ก็ควรเป็นฝ่ายดูแลฉันสิ”
ชายหนุ่มมองหล่อนอย่างชั่งใจ แล้วพยักหน้า “โอเค รอเดี๋ยวนะ”