บทที่ 4 พรหมจรรย์ที่สูญเสียไป 2
ความเป็นชายฮึกเหิม เลือดในกายเดือดพล่าน อารมณ์ในตอนนี้อยากจับหล่อนมาขยี้ให้สมความปรารถนา แต่เพราะเห็นผิวหล่อน บอบบางน่าถนอมจนต้องระงับความดิบเถื่อนที่พุ่งพล่านในใจ ค่อยๆจูบซับตามลำคอระหงอย่างอ่อนโยน แล้ววกขึ้นมาประทับจุมพิตบนกลีบปากสีระเรื่อที่เขาคลั่งไคล้อีกครั้ง
หญิงสาวจิกเล็บแหลมที่ต้นแขนหนั่นแน่น หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันนิดๆ ความรู้สึกอยู่ก้ำกึ่งระหว่างความผิดชอบชั่วดีกับอารมณ์หวั่นไหว ตั้งแต่เติบโตจนวัยสาว ไม่มีชายคนไหนทำให้หล่อนสติกระเจิดกระเจิงได้เช่นเขามาก่อน ทว่าความสัมพันธ์นี้ช่างอันตรายนัก…เพราะหล่อนคงเป็นได้แค่นางบำเรอ แต่ไม่มีสิทธิ์ได้เป็นภรรยา ตัวจริง
ไม่…หล่อนไม่ยอม จะให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้ ถึงแม้สัมผัสจากเขาจะชวนให้หวั่นไหว แต่หล่อนไม่ต้องการให้ใครหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงที่หล่อนมี
“ไม่…ถอยไปนะ” หญิงสาวตวาดแหว รวบรวมเรี่ยวแรงที่พอมีผลักเขาให้ถอยห่าง ก่อนเงื้อฝ่ามือขึ้นสูงหมายตบหน้าหล่อๆสักครั้ง แต่เขาไวกว่าเพราะจับมือหล่อนไว้ได้ทัน
“คุณนี่เป็นคนแบบไหนกันมิลันตี เงินก็เอาไปแล้ว แถมไม่ยอมให้ผมใช้งาน‘สินค้า’อีก”
“ฉันบอกว่าไม่รู้เรื่องไงเล่า”
“ถ้าคุณไม่เห็นด้วย เพื่อนคุณจะกล้าทำถึงขั้นนั้นเหรอไง แถมมีบัตรประชาชนของคุณมายืนยันอีก”
“ฉันไว้ใจเพื่อนคนนี้มาก มากจนต้องมาเสียใจทีหลัง” หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นลงคอ พยายามถอยหลังหนี แต่เขายังคงรุกประชิดด้วยท่าทีคุกคาม
“เหมือนผมเลย ผมก็เสียใจที่ซื้อคุณมา”
“ขอร้องล่ะ…” หล่อนเริ่มเสียงอ่อน วอนขอด้วยดวงตาที่ฉาบเคลือบด้วยหยาดน้ำใส ทว่าเขากลับยิ้มเยาะ จับร่างเปลือยเปล่าโยนขึ้นเตียง แล้วถอดชุดตัวเองออกอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวอายจนหน้าร้อนผ่าว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเรือนร่างกำยำของบุรุษเพศที่มีเสน่ห์เปี่ยมล้นเช่นเขา…แผงอกกว้างมีไรขนอ่อนสีทองระบายไปทั่วจนมาถึงใต้สะดือ ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงไร้ไขมันส่วนเกิน ขายาวแกร่ง อกน่าซบ และบางส่วนที่เด่นผงาดเรียกความอายระคนหวาดหวั่นให้หล่อนไม่น้อย
“คุณคงนึกหวงแหนความสาวขึ้นมาสินะ” กฤษกรกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนก้าวขึ้นเตียงมาคร่อมทับหล่อนไว้ แล้วก้มหน้าลงกระซิบชิดริมหูเล็ก “แต่เสียใจด้วยนะ…มันสายไปแล้วที่คุณจะมานึกเสียดายพรหมจรรย์ในตอนนี้”
“อย่านะ ถอยไปห่างๆ” หญิงสาวบอกเสียงสั่น หล่อนร้อนไปทุกจุดที่ปลายนิ้วเขาสัมผัส และรู้สึกใจหวิวๆเมื่อลมหายใจร้อนๆของเขาเป่ารินรดนวลแก้ม…
“หยุดโวยวายแล้วนอนนิ่งๆซะ” เขาเอ็ด “ผมไม่ได้ซื้อคุณมาเพื่อให้คุณมาปั่นหัวผมเล่นสนุกสนานหรอกนะ”
“ฉัน…ฉันขอโทษ ต่อไปฉันจะไม่แต่งหน้าประชดคุณอีกแล้ว”
“ผมจะให้อภัยก็ต่อเมื่อคุณยอมเป็นเด็กดีเท่านั้น” ลิ้นร้อนแตะไล้ริมหู ขบกัดเบาๆจนหญิงสาวสะดุ้ง ขณะที่ปลายนิ้วยาวลากไปตามแนวชายโครงจนถึงบุปผางาม เขาใช้นิ้วกลางแทรกแซงเส้นไหมอ่อนนุ่มเพื่อแตะต้องเกสรสีชมพูซึ่งเป็นจุดที่ทำให้หล่อนอ่อนไหวที่สุด
มิลันตีสะดุ้ง พยายามหนีบขา เบี่ยงกายหนี แต่เพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่เมื่อทาบทับหล่อนไว้เช่นนี้ หล่อนจึงไม่อาจหนีไปไหนได้ แต่ก็อดยอมรับในใจไม่ได้ว่า…ท่ามกลางความอึดอัด มันมีความอบอุ่นแฝงอยู่ แม้จะรู้ดีว่าอ้อมกอดที่เขามอบให้มันเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ใคร่ชั่วคราวก็ตาม
“เลิกพยายามหนีเถอะมิลันตี ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่ปล่อยให้คุณหนีรอดไปจากห้องนี้ได้แน่ๆ” เขาพูดเสียงแผ่ว ก่อนไล้ชิวหาที่ยอดทรวงสีชมพูเข้ม จากนั้นก็ใช้ปากครอบครองดูดดึงรุนแรง
“อ๊ะ…” หญิงสาวครางเบาๆ หยดน้ำใสปริ่มคลอหน่วยตา มือกำขยุ้มผ้าปูเตียงไว้ จะด้วยบาปกรรมที่ทำไว้ตั้งแต่ชาติปางไหนหนอ หล่อนถึงต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
“มิลันตี…คุณสวยมากจริงๆ” เขาชื่นชมเสียงอู้อี้เพราะหน้ายังแนบอยู่กึ่งกลางทรวง มือบีบนวดหน้าอกสองเต่งเต้าของหล่อนสลับกันไปมา ก่อนจะยันตัวนั่งคุกเข่า จับขาเรียวขึ้นพาดบ่าข้างหนึ่งแล้วพาความเป็นชายที่ร้อนผ่าวเข้าสู่ใจกลางความสาวที่กำลังหลั่งน้ำทิพย์เปิดช่องทางให้
“อย่า…ได้โปรด” หญิงสาวร้องห้ามเสียงสั่น เบิกตาโพลงเมื่อเขาดันสิ่งแปลกปลอมเข้ามา “โอ๊ย !”
เสียงร้องของหล่อนทำให้เขาชะงักชั่วครู่ แช่ทิ้งไว้เช่นนั้นพักหนึ่งแล้วยื่นมือนวดเต้าอวบเบาๆเพื่อให้หล่อนคลายอาการเกร็ง จากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนกายสอดประสานจนเป็นหนึ่งเดียวกับหล่อนได้ในที่สุด
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ครางเสียงต่ำเมื่อส่วนกลางตัวโดนรัดรึงจนเสียวซ่าน…เขาค่อยๆขยับเข้าออกช้าๆก่อนเร่งจังหวะรัวเร็วจนหน้าอกอวบงามสะท้อนขึ้นลง
มิลันตีหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อหยดเล็กผุดพรายตามหน้าผากและข้างขมับ แม้จะรัญจวนกับสัมผัสแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยได้รับเป็น ครั้งแรก แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียสิ่งที่รักษามาตลอดทั้งชีวิตให้ผู้ชายที่ตีราคาคุณค่าของหล่อนเป็นจำนวนเงิน
สักพักชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนข้างหล่อน ตะแคงหันมาทางหญิงสาวแล้วกอดหล่อนจากทางด้านหลัง จับขาเรียวให้ยกตั้งยันที่นอนไว้ แล้วสอดแทรกเข้ามาอีกครั้ง
เสียงครางระงม ผสานเสียงหายใจหอบเหนื่อย ผ้าปูเตียงยับย่น สองกายรวมเป็นหนึ่ง…แต่เขาคงไม่เห็นหรอกว่าตอนนี้หล่อนกำลังร้องไห้
หยาดน้ำหยดลงใส่หมอนนุ่มจนเปียกชื้น หล่อนรู้ดีว่าตอนนี้หล่อนไม่ใช่สาวบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว
ขณะที่ชายหนุ่มกอดร่างนุ่มแนบอก บางครั้งก็เลื่อนมือขึ้นสูงหยอกล้อทรวงอกอวบอิ่มอย่างสนุกมือ ส่วนสะโพกก็ทำหน้าที่ผลักดันส่วนแกร่งกร้าวอย่างแข็งขัน
เขารู้ดีว่าบัดนี้เยื่อพรหมจารีย์ของหล่อนได้ขาดสะบั้นลงแล้ว เขาคือผู้ชายคนแรกของหล่อนจริงๆ
ความอิ่มเอิบแผ่ซ่าน หัวใจเต็มตื้นเหมือนได้พบสิ่งที่ขาดหาย ทั้งๆที่หล่อนเป็นเพียงนางบำเรอออนไลน์ที่เขารู้จักได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ แต่ทำไมนะ…เขาถึงมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน !
ท่วงทำนองพิศวาสจบลงท่ามกลางอาการเหนื่อยหอบของทั้งคู่ กฤษกรนอนหลับทั้งๆที่ยังกอดหญิงสาวไว้เช่นนั้น โดยไม่รู้เลยว่าหล่อนยังคงนอนน้ำตาซึม ดวงตาเหม่อลอย มองไม่เห็นอนาคตเบื้องหน้า
หล่อนไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ในเมื่อทางเดินหักเหมาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งที่หล่อนจะทำได้นั่นก็คือการป้องกันไม่ให้ท้อง เพราะถ้าลูกเกิดมาแล้วไม่มีพ่อ ลูกจะต้องมีปมในใจอย่างแน่นอน และหล่อนก็ไม่ต้องการให้เด็กคนหนึ่งต้องมากำพร้าเหมือนหล่อนในอดีต…
กิตติกลับบ้านตอนสี่ทุ่ม เขาเดินโซซัดโซเซเข้ามาในบ้านราวนกปีกหัก กลิ่นเหล้าโชยฟุ้งไปทั่วจนภรรยาที่นั่งรออยู่ตรงห้องโถงถึงกับปิดจมูกทำหน้าเบ้
“นี่คุณดื่มมาอีกแล้วใช่ไหมคะ”
“รู้แล้วยังจะถามอีก เอิ๊ก…” ตบท้ายด้วยเสียงเรอ ขณะที่อัญชรีย์ถอนหายใจ ค่อยๆประคองพาเขาขึ้นชั้นสอง
“ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือคะว่าถ้าเมาอย่าขับรถ มันอันตราย”
“เอ๊ะ… เธอเป็นเมียนะไม่ใช่แม่ สอนฉันจริง เตือนฉันจัง ไม่ต้องยุ่งกับฉันนักก็ได้”
“ที่ฉันเตือนก็เพราะเป็นห่วงนะคะ ในเมื่อคุณเป็นสามีฉัน การที่ฉันเป็นห่วงคนในครอบครัว มันผิดนักหรือไง” แม้กิริยาของหญิงสาวจะยังนุ่มนวลเหมือนเดิม แต่น้ำเสียงกลับเริ่มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หล่อนเกือบเสียหลักหลายครั้งเพราะเขาตัวใหญ่กว่าหล่อน ซ้ำยังเมาจนเดินขาเป๋ไปเป๋มา
“คนในครอบครัว เหอะ…” ชายหนุ่มทำเสียงแค่นๆ พลางทิ้งตัวลงนอนแผ่หราบนเตียงหลังจากหล่อนพาเขามาถึงห้องแล้ว “เธอเป็นแค่เมีย จะห่วงอะไรฉันจริงจัง ขนาดคนเป็นแม่ยังไม่รักฉันเลย”
อัญชรีย์ส่ายหน้าไปมา ก่อนทรุดลงนั่งบนปลายเท้า ถอดถุงเท้าให้สามี ปากก็พูดไปเรื่อย “ถ้าแม่คุณไม่รักคุณ ท่านจะเลี้ยงคุณมาจนโตป่านนี้เหรอคะ”
“แม่ไม่ได้ต้องการฉันตั้งแต่แรก คิดจะฆ่าฉันตั้งแต่ฉันอยู่ในท้องด้วยซ้ำ แต่เพราะฉันบังเอิญรอดตายมาได้ แม่เลยต้องจำใจเลี้ยงฉันยังไงล่ะ”
หญิงสาวฟังคู่ชีวิตตัดพ้อถึงแม่บังเกิดเกล้าที่ลาจากโลกนี้ไปแล้วด้วยเสียงอ้อแอ้ ก็อดเวทนาไม่ได้ กิตติเป็นคนโผงผาง ขวานผ่าซากเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ แต่ในตอนปกติจะไม่เคยพูดถึงแม่ ยกเว้นเฉพาะตอนเมาเท่านั้นที่มักหยิบยกประเด็นว่าแม่ไม่รักมาพูดเสมอ…เหมือนคนมีปมในใจ
“โธ่…คุณเลิกตำหนิแม่เถอะค่ะ ถึงตอนแรกท่านคิดจะทำแท้งคุณ แต่ต่อมาท่านก็รักคุณนะคะ”
“รักเหรอ” กิตติหัวเราะร่วน ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะถอดแว่นตาออกแล้วเหวี่ยงทิ้งไปอีกทาง เผยให้เห็นดวงตาข้างซ้ายที่เป็นสีขาวขุ่น… “ปกติฉันเห็นมีแต่แม่ประคบประหงมลูกในท้อง พยายามหาของบำรุงเพื่อให้ลูกเกิดมาอย่างสมบูรณ์และแข็งแรงที่สุด คงมีแค่แม่ฉันล่ะมั้งที่ทำร้ายฉันตั้งแต่อยู่ในท้องจนฉันตาบอดไปข้างหนึ่งแบบนี้”
อัญชรีย์มองหน้าอีกฝ่ายนิ่งพักหนึ่ง…ทำไมหล่อนจะไม่เข้าใจล่ะว่ากิตติคิดอะไรอยู่ เขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงสง่าไม่ต่างจากผู้เป็นพี่ชายเลยแม้แต่น้อย มีเพียงดวงตาข้างหนึ่งที่บอดขาวขุ่น เป็นจุดด่างพร้อยที่ทำให้เขาโดนล้อเลียนมาตั้งแต่เล็กว่าเป็น‘ไอ้บอด’ ยิ่งตอกย้ำปมด้อยในใจเขาให้ฝังลึกยิ่งขึ้น
“โธ่ คุณกิตติ” หญิงสาวลุกไปนั่งข้างๆ แล้วกอดเขาเพื่อปลอบใจ “อย่าคิดมากสิคะ ตอนนี้มีแต่คนรักคุณนะคะ คุณกล้าก็ดีกับคุณ คอยเอาใจใส่คุณทุกอย่าง”
“ถ้าไม่มีพี่กล้า ฉันก็คงไม่โดนเปรียบเทียบหรอก พี่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ส่วนฉัน…ถึงจะพยายามเรียนให้เก่ง ทำตัวให้ดีแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ไอ้บอดในสายตาคนอื่นอยู่ดี”
“คุณกำลังอิจฉาพี่ชายตัวเองนะคะ” หล่อนติง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำปากยื่นแล้วทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้า พูดอู้อี้ว่า
“ใครว่าฉันอิจฉา ฉันเป็นห่วงพี่กล้าต่างหาก ดูเมียใหม่พี่กล้าเถอะ ท่าทางจะไปคว้าผู้หญิงจากสลัมมาเป็นเมีย คอยดูนะ ฉันจะทำ ทุกทางเพื่อเขี่ยนังนั่นให้ออกไปจากบ้านหลังนี้ให้ได้ ไม่งั้นสมบัติของตระกูลมีหวังโดนปลิงอย่างยัยมิลันตีสูบจนหมดตัวแน่ !”