บทที่ 4 พรหมจรรย์ที่สูญเสียไป 1
บทที่ 4
พรหมจรรย์ที่สูญเสียไป
กฤษกรแบกหญิงสาวเข้าห้องน้ำ จากนั้นเปิดฝักบัวจนสายน้ำพร่างพรมรินรดคนทั้งคู่จนเปียกชุ่ม เสื้อแนบผิวกายจนหล่อนหนาวสั่น เครื่องสำอางที่ปะโคมโปะลงบนผิวหน้าถูกชะล้างจนเป็นคราบด่างดวง มาสคาร่าไหล่ย้อยลงมาจนแก้มเลอะสีดำเป็นปื้นๆ
“ว้าย ! ฉันเปียกหมดแล้วนะ” หล่อนอุทรณ์ พยายามจะวิ่งหนี แต่เขายึดข้อมือหล่อนไว้…จะหนีก็หนีไม่ได้ เลยได้แต่ยืนหนาว ฟันกระทบกันกึกๆ คอยมองว่าเขาจะทำอย่างไรกับหล่อนอีก
“แว่นนี่แฟชั่นใส่ไหม คิดจะสวมบทเป็นยัยเชยว่างั้นเถอะ” ถามพลางดึงแว่นของหล่อนออก
“เอาคืนมานะ”
“ไม่คืน” ไม่เพียงพูดเปล่า เขายังกำแว่นจนขาหัก จากนั้นก็โยนทิ้งไปอีกทาง
“อีตาบ้า ทำไมต้องทำลายข้าวของของฉันด้วย” มิลันตีแว๊ดลั่น ทว่าชายหนุ่มไม่สนใจ เขาหันไปหยิบสบู่เหลวมาเทใส่ฝ่ามือแล้วถูๆหน้าหล่อนอย่างไม่ปรานีจนฟองสีขาวกระจายเกลื่อนทั่ววงหน้า…ทั้งแสบ ทั้งหายใจไม่ออก ได้แต่สลัดศีรษะไปมาอย่างทรมาน แต่มือใหญ่ก็ยังตามขัดถูหน้าหล่อนไม่หยุด
“แค่กๆ พอ…พอได้แล้ว”
เขาหยุดมือ…แล้วโยนขวดสบู่ลงตะกร้าตามเดิม จากนั้นก็ผลักหล่อนให้ไปยืนใต้สายน้ำอีกครั้ง
“จำไว้…อย่าลองดีกับผม ถ้าคิดจะยั่วโมโหผมอีก ผมก็จะไม่เกรงใจคุณเหมือนกัน”
หญิงสาวน้ำตาเล็ด ยกมือลูบหน้า…เมื่อฟองสบู่หมดไป เขาก็เห็นหน้าตาที่แท้จริงของหล่อน…ผิวนวลผ่อง คิ้วเรียว ตากลมโต ปากจิ้มลิ้มสีชมพูระเรื่อ สวยอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องสำอางมาช่วยเสริม
เสื้อตัวเก่าที่คงใช้มานานนับปีจนเนื้อผ้าบางเบาแนบสนิท ผิวกายจนเห็นบราเซียสีชมพูที่ปกคลุมอกอิ่ม เอวเล็กคอดกิ่ว สะโพกผายตึง สรีระสัดส่วนความเป็นหญิงที่เด่นชัดกระตุ้นอารมณ์ชายฉกรรจ์ของเขาให้กระเจิง
“คนบ้า ทำไมต้องเล่นแรงอย่างนี้ด้วย”
“คุณคงคิดสินะว่าถ้าแต่งหน้ากวนโทสะแบบนั้น ผมจะหมดอารมณ์กับคุณ”
หญิงสาวแก้มแดงระเรื่อ ปากอิ่มขบเม้ม หลุบตาลงมองปลายเท้าตัวเอง… ความคิดของหล่อนคงโง่มากเลยใช่ไหมที่นึกพิเรนทร์อยากยั่วโมโหเขา
หล่อนถูกเพื่อนรักหักหลัง จนต้องกลายเป็นนางบำเรอของมหาเศรษฐีที่ไม่เชื่อในรักแท้ ความสาวที่หล่อนรักษามานานตลอด 22 ปี เพื่อมอบให้ชายที่รักหล่อน และหล่อนก็รักเขา จะต้องโดนผู้ชายคนนี้ทำลายโดยไม่เห็นค่าอย่างนั้นหรือ ?
หล่อนเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง จะหาญกล้าไปสู้อะไรเขาได้ แต่ครั้นจะให้นั่งร้องไห้ตลอดวันหรือฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาก็ไม่ใช่วิสัยของหล่อน หล่อนอยากสู้ให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ฉันเคยบอกคุณแล้วว่าดาวรายแอบเอารูปฉันไปลงเน็ตเอง ฉันไม่รู้เห็นด้วย ตอนนี้ดาวรายก็หอบเงินหนีไปแล้วด้วย ฉันสิ…มีแต่จะเสีย เสียเพื่อน เสียใจ เสียเปรียบ และอาจจะต้องเสียตัว เสียทุกอย่าง…”
ชายหนุ่มหรี่ตาลง วูบหนึ่งที่นึกอยากเชื่อหล่อน แต่ทว่าใบหน้าของรุ้งพราวยามลาจากเขาเมื่อเจอผู้ชายที่ดีกว่าได้ฉายชัดเข้ามาในห้วงนึก…ผู้หญิงก็เป็นเหมือนกันหมด รักความสบาย เห็นแก่ตัว หวังแค่เงิน และมารยาสาไถ มิลันตีก็คงไม่ต่างจากภรรยาเก่าของเขาหรอก น้ำเสียงสิ้นหวังและแววตาที่หมองหม่นคงเป็นภาพลวงตาที่คิดจะหลอกให้เขาติดกับสินะ
หล่อนได้เงินจากเขาไปเป็นแสนแล้วยังคิดจะหนีไปอีก พอเขาจับได้ก็ทำเป็นพูดว่าเพื่อนกลั่นแกล้ง หวังให้เขาปล่อยหล่อนให้เป็นอิสระ ฝันไปเถอะว่าเขาจะยอมเป็นไอ้โง่ให้หล่อนหลอกได้
“คิดว่าผมจะเชื่อคุณเหรอไง ในโลกนี้มีใครที่ไว้ใจเพื่อนจนโดนหลอกแบบคุณบ้าง”
“แล้วทีคุณล่ะคะ ยอมจ่ายเงินมัดจำให้คนแปลกหน้าไปเป็นแสนๆ ถ้าไม่เรียกว่าโง่เหมือนฉัน แล้วจะเรียกว่าอะไร”
ได้ยินแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้ง จริงอย่างที่หล่อนว่า…เขาเป็นนักธุรกิจ เรื่องเงินทองเขาจะรอบคอบเสมอ ไม่งั้นคงไม่รวยแบบนี้หรอก ทุกบาททุกสตางค์ในบัญชี เขาต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะลงทุนอะไร แต่พอได้เห็นรูปหล่อน…ความคิดที่พุ่งเข้ามาในหัวคือไม่ต้องการให้ชายคนใดได้หล่อนไปก่อน แม้จะรู้ว่าเสี่ยงต่อการโดนหลอก แต่เขาก็ยอม…มันเป็นเพราะอะไรกัน
“ผมโง่เพราะคุณ” เขาพูดสั้นๆ แล้วดึงหล่อนเข้ามากอด จากนั้นก็ขยี้จูบที่กลีบปากบาง ซึ่งหล่อนก็ดิ้นขัดขืน แต่อ้อมกอดที่อบอุ่น วงแขนแกร่งที่กอดรัดไว้แนบแน่นทำให้หล่อนสิ้นฤทธิ์ และในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา หล่อนก็อ่อนระทวย หลับตาพริ้ม แหงนเงยหน้ายอมให้เขาตักตวงความหวานซ่านจากจุมพิตที่ดูดดื่มโดยไม่ดิ้นรนอีกต่อไป
มือใหญ่ลูบไล้เอวเล็ก จับสะโพกกลมมนบีบเบาๆ ก่อนเคลื่อนขึ้นสูงบีบปทุมถันคู่อวบเคล้นคลึงจนหล่อนครางในลำคอเสียงกระเส่า ความเย็นจากมวลน้ำถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นจากบุรุษเพศที่หล่อนพยายามหนีมาตลอด
กฤษกรปิดน้ำแล้วอุ้มพาร่างบางออกจากห้องน้ำ ค่อยๆวางหล่อนให้ยืนบนพื้นห้องนอน ปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้อย่างชำนาญ ไม่นานนัก…เรือนร่างเปลือยเปล่าแต่ทรวดทรวงอ้อนแอ้นก็ปรากฏชัดแก่สายตาเขาโดยไม่มีสิ่งใดปกปิด…