บทที่ 3 สินค้า....จอมอวดดี 2
ภายในห้องอาหารกว้างขวางมีโต๊ะตัวยาวตั้งตระหง่าน เก้าอี้คลุมพนักด้วยผ้าสีทอง มีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้วแค่สองคนเท่านั้น คนแรกคืออัญชรีย์ซึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเคย ส่วนอีกคนคือเด็กชายร่างป้อมที่นั่งหน้าบูด ตาจ้องมองหล่อนอย่างเบื่อๆ
“ขอโทษนะคะที่มาช้า คือฉันหลงทางน่ะค่ะ” หญิงสาวยิ้มเรี่ยๆ ก่อนจะหันไปทำตาดุใส่กฤษกรเมื่อเขาจับหล่อนให้นั่งบนเก้าอี้ข้างๆเขา
“ไม่เป็นไรค่ะ อัญเข้าใจ ตอนอัญแต่งงานกับกิตติใหม่ๆ อัญก็หลงทางเหมือนคุณนี่แหละค่ะ ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวสักระยะ”
หญิงสาวพินิจดูอัญชรีย์แล้วอดนึกถึงกิตติไม่ได้ ทำไมผู้หญิงแสนดีและอ่อนหวานถึงได้ยอมแต่งงานกับผู้ชายใจแคบอย่างกิตติได้นะ ?
“ทำไมมื้อนี้กิตติมาทานข้าวช้า คุณกล้าเจอกิตติบ้างหรือเปล่าคะ” อัญชรีย์ถาม ซึ่งชายหนุ่มก็ถอนหายใจแล้วตอบว่า
“เห็นสิ เดินสวนกันเมื่อกี้ แต่เขาโมโหอะไรก็ไม่รู้ บอกว่าจะออกไปข้างนอก”
“นิสัยเอาแต่ใจของกิตติคงแก้ไม่หาย ว่าแต่หน้าตาของคุณมิ้วเปลี่ยนไปนะคะ ตอนแรกนึกว่าคนละคนกันซะอีก” อัญชรีย์พูดขึ้นเบาๆด้วยท่าทางเกรงใจไม่น้อย ขณะที่เด็กชายซึ่งนั่งเงียบมานานได้หลุดปากมาคำหนึ่งว่า
“ผี !”
คราวนี้ผู้ใหญ่ทั้งสามคนถึงกับอึ้งไปตามๆกัน สายตาทุกคู่เหล่มองไปทางกิษฎี ก่อนที่กฤษกรจะหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจ
“มิลันตี ขอบคุณจริงๆเลยนะ ผมไม่ได้ยินเสียงลูกผมมานานมากแล้ว แต่คุณมาแค่วันเดียว ข้าวกล้องก็พูดออกมาให้ผมได้ฟังตั้ง 2 คำแน่ะ ขอบคุณจริงๆ”
หล่อนควรจะดีใจหรือเปล่านะที่คนไม่ค่อยพูดอย่างกิษฎียอมเปิดปากทักทายหล่อนถึงสองคำ คือ ยักษ์ กับผี !
“คุณกล้าก็แซวคุณมิ้วซะแรง ดูสิคะ…คุณมิ้วเธออายจนหน้าแดงแล้ว” อัญชรีย์หัวเราะร่วน ขณะที่มิลันตียิ้มเจื่อนๆ…หล่อนไม่ได้อายหรอกนะ แต่กำลังหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“ผมแค่พูดเรื่องจริง เอ้าคุณอัญ…คุณชอบกินเขียวหวานไก่ไม่ใช่หรือ ?” ชายหนุ่มตักแกงในถ้วยใส่จานให้น้องสะใภ้ แล้วตักผัดผักรวมมิตรใส่จานให้มิลันตี “คุณก็กินผักเยอะๆนะมิลันตี ผมเป็นห่วงสุขภาพคุณ”
“แหม ฉันก็ห่วงคุณเหมือนกันนั่นแหละค่ะ” หญิงสาวจีบปากจีบคอโต้กลับ บรรจงตักใบกระเพราในผัดไก่ให้เขา…ขอเน้นว่าเลือกตักเฉพาะใบกระเพราเท่านั้น “กินเยอะๆจะได้ขับลมดีๆ ใบกระเพรามีประโยชน์เยอะนะคะ ขอบอก”
ชายหนุ่มเหล่ตามองหล่อนเล็กน้อย…หล่อนคงไม่รู้หรอกว่าเขาเกลียดการกินใบกระเพราที่สุด แต่ก็ยังคงแสร้งปั้นยิ้มแล้วตักชิ้นข่าที่หั่นเป็นแว่นในต้มยำใส่จานให้หล่อนถึง 4ชิ้น
“กินข่าเยอะๆนะคุณ สมุนไพรไทย ประโยชน์มากมาย นี่ถ้าไม่ห่วงสุขภาพคุณ ผมคงไม่แบ่งชิ้นข่าให้กินหรอก”
“เกรงใจจังเลยค่ะ” มิลันตีป้องปากหัวเราะ หล่อนแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ตักตะไคร้ที่หั่นเป็นท่อนยาวๆให้เขา “ตะไคร้สรรพคุณคือลดความดันได้นะคะ คนอย่างคุณน่ะเสี่ยงต่อโรคความดันทุรังสูง ต้องกินตะไคร้เยอะๆ”
“คุณนี่ช่างเป็นห่วงเป็นใยผมจริงๆเลยนะ แต่ผมก็เป็นห่วงคุณไม่แพ้กันหรอก เอ้า…กินกระเทียมเยอะๆ คนอียิปต์สมัยโบราณยังต้องกินกระเทียมทุกวันจะได้มีเรี่ยวแรงและอายุยืน ผมเห็นคุณผอมแห้งแรงน้อย กลัวว่าจะไม่มีแรงเดิน เป็นห่วงเลยแบ่งกระเทียมให้” ชายหนุ่มเลือกเฉพาะกระเทียมเป็นกลีบๆให้หล่อน จากนั้นก็ยักคิ้วจึ้กๆให้อย่างท้าทาย
“สองคนนี้เล่นอะไรกันคะเนี่ย ใจคอมื้อนี้จะกินแต่สมุนไพรพื้นบ้านหรือยังไงกันคะ” อัญชรีย์ถามด้วยสีหน้าแหยงๆ มองจานของทั้งคู่ที่พอกพูนไปด้วยข่า ตะไคร้ กระเพรา กระเทียม แถมสายตาของมิลันตีกับกฤษกรยังเหมือนมีประกายไฟปะทะกันด้วย
กิษฎีมองมิลันตีแล้วหันไปมองพ่อของตน ก่อนก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานตัวเองไปเงียบๆเหมือนไม่อยากสนใจ
“กินให้หมดนะคะคุณข้าวกล้า ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็ต้องกินให้หมด” มิลันตีพูดอย่างเยาะหยัน แม้รู้ดีว่าตนตกเป็นเบี้ยล่างของเขา แต่ก็ไม่วายหาทางเอาคืนเขาเล็กๆน้อยๆพอให้สะใจได้บ้าง ซึ่งชายหนุ่มก็ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วตอบกลับว่า
“คุณเองก็กินในจานให้หมดนะ ถ้ากินไม่หมด พรุ่งนี้คุณต้องเป็นคนเข้าครัวทำอาหารเลี้ยงคนทั้งบ้าน 1 วันเต็มๆ”
หญิงสาวตาลุกวาว หล่อนเกลียดความพ่ายแพ้ที่สุด เมื่อเขาท้ามา หล่อนก็ยินดีจัดให้ /////
“ได้ค่ะ เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้ คนอย่างมิลันตีไม่มีทางกลัวอยู่แล้ว” พูดจบ หล่อนก็ตักกระเทียมเข้าปาก ตามด้วยชิ้นข่า…ที่เผ็ดจี๊ดขึ้นจมูกจนต้องดึงกระดาษชำระมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ
กับข้าวบนโต๊ะมีหลากหลาย ล้วนแล้วแต่น่ากินต่างจากแกงถุงที่หล่อนเคยกินทุกวัน แต่ทำไมนะ…ทั้งๆที่มีโอกาสได้กินของดีๆ หล่อนกลับต้องมานั่งเคี้ยวข่า เคี้ยวกระเทียม เคี้ยวไปก็เช็ดน้ำตาไปด้วย
“ผมเองก็กินได้ ของแค่นี้กระจอกมากสำหรับผม” ชายหนุ่มเชิดหน้า ตักกระเพราเข้าปาก ไม่ยอมเคี้ยว แต่รีบกลืนเลยเพราะเป็นคนไม่ชอบกินของแบบนี้ เป็นเหตุให้ติดคอ ไอจนเหนื่อย ร้อนถึงอัญชรีย์ต้องรีบส่งแก้วน้ำให้
“แค่กๆๆๆ” กฤษกรรับแก้วน้ำมาดื่ม หายใจหอบเหนื่อย ขณะที่คู่ปรับสาวหัวเราะคิกราวกับว่ากำลังดูรายการตลกอยู่ก็ไม่ปาน
“รู้ค่ะว่าคุณชอบกินใบกระเพรามาก แต่ไม่ต้องรีบกินแบบตะกละตะกรามก็ได้ ไม่มีใครเขาแย่งคุณกินหรอก”
ชายหนุ่มหน้าแดง ตักตะไคร้เข้าปากแล้วเคี้ยวๆ สักพักก็เริ่ม ตาแดง จมูกแดง เพราะกลิ่นฉุนๆขึ้นจมูกจนแทบอยากอาเจียนออกมา แต่เพราะกลัวโดนล้อเลียนว่าไม่เป็นลูกผู้ชายมากพอ เขาจึงต้องทนกล้ำกลืนลงกระเพาะจนหมดสิ้น
“เอ่อ…อะไรของสองคนนี้ก็ไม่รู้ อัญอิ่มก่อนดีกว่า ไปล่ะค่ะ” อัญชรีย์ที่ทนบรรยากาศแปลกๆไม่ไหว รวบช้อนส้อมวางบนจาน ยกน้ำดื่มแล้วหันไปบอกเด็กชายร่างป้อม “อิ่มหรือยังข้าวกล้อง เดี๋ยวอาพาไปอาบน้ำเตรียมนอน”
กิษฎีมองน้าสาวแล้วเม้มปากแน่น ก่อนสะบัดหน้าวิ่งปร๋อออกจากห้องอาหารไปโดยไม่คิดจะตอบคำถามเลยแม้แต่น้อย
“ดูเถอะ…เด็กคนนี้นี่นับวันนิสัยจะยิ่งเอาใหญ่ พยศจัดแบบนี้ ใครก็เอาไม่อยู่ น่าเหนื่อยจริงๆ” อัญชรีย์บ่น แล้วหันมาทางมิลันตี “คุณมิ้วทานกับคุณกล้าต่อเถอะค่ะ อ้อ…ลืมบอกไปอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณมิ้วคิดยังไงถึงแต่งหน้าแบบนี้นะคะ แต่อัญว่ามันไม่เหมาะกับคุณมิ้วเลย เพราะมันดูน่ากลัวมากกว่าจะน่ารักนะคะ”
อัญชรีย์ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามเด็กชายไป
เมื่อทั้งห้องเหลือเพียงสองหนุ่มสาวอยู่ตามลำพัง หญิงสาวก็ลุกพรวดพราดจะออกไปอีกคน แต่กฤษกรไวกว่า เพราะเขาลุกคว้าข้อมือหล่อนดึงไว้
“เอ๊ะ ! ปล่อยนะคะ ฉันอิ่มแล้ว จะกลับห้อง”
“ผมยังไม่ได้ถามคุณเลยนะ”
“จะถามอะไรล่ะคะ”
“ที่คุณแต่งหน้าสไตล์ผีบ้าแบบนี้เพราะอยากกวนโมโหผมใช่ไหม” เขาถามอย่างรู้ทัน ตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย มองหล่อนอย่างคาดคั้น ขณะที่หล่อนทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
“แล้วแต่จะคิดค่ะ และฉันก็จะแต่งหน้าแบบนี้ทุกวันด้วย”
“อ๋อ…คิดอยากจะลองดีกับผม ว่างั้นเถอะ…” คราวนี้สีหน้าชายหนุ่มเริ่มถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆจนหล่อนชักใจฝ่อ แต่ก็ไม่วายทำปากดีต่อไป
“ก็ฉันอยากแต่งหน้าแบบนี้ มันหนักหัวคุณตรงไหนคะ”
“ผมไม่อนุญาตให้แต่ง” เขาสั่งเสียงเฉียบ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวนึกโมโหขึ้นมา
“เอ๊ะ ! ชีวิตเป็นของฉันนะ คุณไม่มีสิทธิ์มาบงการตามใจชอบ”
กฤษกรบีบข้อมือเล็กแน่นขึ้นจนหล่อนหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ พร้อมพูดช้าๆชัดๆว่า “ตอนนี้คุณคือ…สินค้าของผม ผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวคุณ จำไว้ !”
หญิงสาวหน้าเจื่อน แต่ยังไม่ทันได้เถียงอะไรต่อ เขาก็จับหล่อนแบกพาดบ่า พาออกจากห้องอาหารตรงไปที่ชั้นล่าง โดยไม่สนใจต่อเสียงกรีดร้องของหล่อนเลยแม้แต่น้อย
“ปล่อยนะ…ปล่อยสิ”
“ในเมื่อคุณกล้าลองดีกับผม ผมก็จะจัดให้ตามที่คุณต้องการ…ผมจะทำให้คุณรู้ตัวซะทีว่าตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงของผม ผมมีสิทธิ์ ทุกอย่างในตัวคุณ !”
“คุณจะทำอะไรน่ะ” หล่อนถามอย่างหวาดหวั่น ซึ่งเขาก็ตอบเสียงเหี้ยม
“เดี๋ยวคุณก็รู้ ! ”