บทที่ 3 สินค้า......จอมอวดดี 1
บทที่ 3
สินค้า……………จอมอวดดี
มิลันตีเก็บตัวอยู่ในห้องจนกระทั่งถึงเวลาเย็นก็มีสาวใช้มาเคาะประตูเรียก
“คุณมิลันตีคะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ”
“ค่ะ เดี๋ยวตามไปค่ะ ฝากบอกคุณข้าวกล้าด้วยว่าฉันกำลังแต่งสวยอยู่”
“ได้ค่ะ ห้องรับประทานอาหารอยู่ชั้นล่าง ถัดจากบันไดไปสามห้องนะคะ”
“โอเคค่ะ” หญิงสาวรับคำ สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป หญิงสาวจึงหันกลับมามองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกอีกครั้ง เอียงซ้ายเอียงขวาสักพักจนมั่นใจ ก่อนจะเดินหน้าเชิดออกจากห้อง
ดูสิว่ากฤษกรจะยังอยากขึ้นเตียงกับหล่อนอยู่ไหม !
แม้จะเดินด้วยมาดสาวมั่น แต่พอลงมาจนพ้นบันไดสีทองแล้ว หล่อนก็ลืมว่าห้องอาหารอยู่ตรงไหน เอ…ถัดจากตรงนี้ไปอีก 3 ห้อง 5 ห้อง หรือกี่ห้องกันแน่หว่า ?
ลองเปิดดูทีละห้องล่ะกัน… หญิงสาวหมุนกายหันหลัง แต่แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งผลุนผลันเดินมาชนจนหล่อนหงายหลังล้ม ขาแว่นตาที่สวมหลุดออกมาข้างหนึ่ง เอียงกะเท่เร่ กระโปรงยาวกรอมเท้าเปิดขึ้นนิดๆจนเห็นเรียวขายาว ผมยาวที่ฟูยุ่งเหยิงตอนนี้ตกมาล้อมกรอบหน้าจนดูรุงรัง
“ใครวะ คนรับใช้คนใหม่หรือไง” กิตติกวาดตามองหล่อนทั่วทั้งตัวเป็นเชิงดูถูก ก่อนเบ้ปากอย่างหยันๆ ตั้งท่าจะเดินเลี่ยงจากไป แต่หล่อนเรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวค่ะ เดินชนคนไม่คิดจะขอโทษสักคำเลยหรือไงคะ”
กิตติชะงักฝีเท้า ก่อนจะเหล่ตามองหญิงสาวอีกครั้ง แล้วถามว่า “ฉันจำเป็นต้องขอโทษคนรับใช้ด้วยเหรอไง”
มิลันตีหน้าแดงก่ำอย่างโกรธจัด หล่อนลุกยืนแล้วเชิดหน้า สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อรวบรวมความกล้า
“ฉันไม่ใช่คนรับใช้ แต่ถึงจะใช่ ค่าความเป็นคนก็ไม่ต่างไปจากคุณ ทำไมคะ…คำว่าขอโทษเนี่ยมันต้องแยกแยะชนชั้นวรรณะกันด้วยหรือไง”
ชายหนุ่มหน้าซีดสลับกับแดง พลางตะคอกลั่น “เธอเป็นคนใช้ใหม่ใช่ไหม งั้นฉันขอไล่เธอออก ออกไปให้พ้นหน้าฉันซะ”
“ไม่ได้นะกิตติ จะให้ผู้หญิงคนนี้ออกไปจากบ้านหลังนี้ไม่ได้เด็ดขาด” เสียงห้าวดังจากคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องอาหารและทันได้ยินประโยคหลังของกิตติเข้าพอดี
“พี่กล้า มันหมายความว่ายังไง ?” กิตติหันไปถาม ขณะที่กฤษกรพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้น ชั่วแว่บหนึ่งที่เขาได้เห็นหน้าหล่อนชัดๆ คิ้วเข้มก็ขมวดฉับแต่สักพักก็คลายออก
“ว่าจะแนะนำให้นายรู้จักพอดี นี่คุณมิ้ว แฟนของพี่เอง” จากนั้นเขาก็บอกกับหล่อนบ้าง “มิลันตี นี่กิตติ น้องชายของผม”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” หล่อนพูดเสียงเรียบ แต่อีกฝ่ายกลับตีหน้ายักษ์ใส่
“แต่ฉันไม่อยากรู้จักเธอ”
“กิตติ… อย่างน้อยก็ควรไว้หน้าพี่บ้างนะ” กฤษกรติงอย่างไม่พอใจ
“แล้วทีพี่ล่ะ พาผู้หญิงเข้าบ้านเคยถามความเห็นจากผมบ้างหรือเปล่า”
“กิตติ พี่อายุจวนจะสามสิบแล้ว ถ้าจะมีแฟนบ้าง ต้องถามความคิดเห็นจากนายก่อนเหรอไง”
“ถ้าคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ คุณแม่คงไม่ปลื้มกับผู้หญิงแบบนี้หรอกครับ” กิตติจิกหางตามาทางมิลันตีเล็กน้อย “ผู้หญิงปอนๆ ท่าทางจนๆ แถมหน้าตาอุบาทว์แบบนี้ ถ้าวิญญาณแม่ยังอยู่คงร้องไห้โฮเป็นแน่”
มิลันตีชักจะฉุน อันที่จริงหล่อนลงทุนทาปากสีม่วง ทาขอบตาดำมากๆคล้ายหมีแพนด้า ผมยาวๆก็ยีจนยุ่งฟู ติดขนตาปลอมอันเบ้อเริ่ม ผัดแป้งที่แก้มสองข้างจนขาววอก ก็เพราะอยากแกล้งกฤษกร ในเมื่อเขาเคยบอกว่าอยากได้ตัวหล่อนเพราะความสวย หล่อนเลยบรรจงแต่งหน้าแบบแปลกๆมาให้เขาดู อยากรู้นักว่าคืนนี้จะยังอยากขึ้นเตียงกับหล่อนอีกไหม แต่พอได้ฟังคำวิจารณ์จากกิตติ หล่อนกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“คนตาถั่วก็แบบนี้แหละค่ะ…แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ถ้าตาเป็นปกติ จะใส่แว่นกันแดดแม้กระทั่งตอนอยู่ในบ้านเหรอคะ” หญิงสาวกล่าวลอยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะย้ำปมด้อยใคร แต่คำพูดหล่อนกลับสร้างความเครียดขึงให้กับกิตติมากยิ่งขึ้น
“หุบปากซะนังขี้เหร่”
“เอาล่ะ…พอเถอะ เลิกทะเลาะกันเป็นเด็กได้แล้ว ทั้งๆที่อายุก็บรรลุนิติภาวะด้วยกันทั้งคู่แล้วนะ” กฤษกรออกปากปรามเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ชักจะบานปลาย “กิตติ… พี่เคยทำตามความต้องการของคุณแม่ไปครั้งหนึ่งแล้วด้วยการแต่งงานกับรุ้งพราว ถ้าครั้งนี้พี่จะขอทำตามใจตัวเองบ้าง พี่ไม่คิดว่าแม่จะไม่พอใจหรอกนะ ไปกินข้าวเถอะ ป่านนี้กับข้าวไม่เย็นชืดไปหมดแล้วหรือ”
“ผมไม่กิน” กิตติพูดห้วนๆ “เห็นหน้าใครบางคนแล้วกระเดือกข้าวไม่ลง ผมจะออกไปข้างนอกล่ะ เบื่อ !” กระแทกเสียงตรงวลีสุดท้าย จ้องหน้ามิลันตีเขม็ง ก่อนจะเดินย่ำเท้ารุนแรงออกจากตัวบ้านไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น
หลังจากกิตติไปแล้ว กฤษกรก็หันมามองคนข้างกายแล้วตำหนิ “คุณพูดอะไรไปรู้ตัวไหม”
“รู้ค่ะ ก็ใครใช้ให้เขามาว่าฉันก่อนล่ะ”
“แต่คุณย้ำแผลเขานะ ถึงจะไม่ใช่แผลสดแต่ก็เป็นรอยแผลเป็นมานานแล้ว…”
“แผลอะไรคะ ฉันไม่เห็นว่าคนมาดหยิ่งยโสแบบนั้นจะมีแผลอะไรตรงไหน”
“ที่เขาสวมแว่นเพราะตาบอดไปข้างหนึ่ง”
คำเฉลยจากปากเขา ทำให้หญิงสาวถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนถามเสียงเบาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องจริงเหรอคะ”
“จริง” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “คุณแม่ตั้งใจมีผมแค่คนเดียว พอพลาดตั้งท้องลูกคนที่สองเลยคิดจะทำแท้งด้วยการกินยาขับแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเลยต้องยอมคลอดออกมา แต่ผลจากการทำแท้ง กิตติเลยเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง”
“คุณพระ…” หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปาก ใจหายวาบ หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้กิตติกลายเป็นคนปากจัดและมองโลกในแง่ร้าย
“ผมไม่ได้อยากให้คุณสงสารเขา แต่อย่างน้อยช่วยอย่าไปซ้ำเติมเขาด้วยการพูดเรื่องใส่แว่นหรือเรื่องดวงตาของเขาจะได้ไหม”
“ค่ะ…ฉันรับปากว่าจะไม่พูดแบบนั้นอีก” หล่อนรับคำพลางจับแว่นกรอบใสขยับให้เข้าที่
“ดี…” เขาพยักหน้า แล้วลากหล่อนเข้าห้องอาหาร
“โอ๊ย ! เบาๆหน่อยสิคะ แขนฉันจะหลุดอยู่แล้วนะ” หญิงสาวแหกปากร้องลั่น และก็โดนเขาดุเสียงเข้ม
“ของเล่นอย่างคุณไม่มีสิทธิ์ทักท้วง”
“ตาบ้า !” หล่อนยู่หน้าอย่างไม่พอใจนัก ดูเถอะ…หล่อนอุตส่าห์แปลงโฉมมา เขากลับไม่พูดถึงสักคำ ยังทำตัวเป็นปกติอยู่ได้ มันน่า เจ็บใจนักเชียว