บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ฉันยังไม่อยากเสียสาว 2

“ข้าวกล้องกินมื้อเช้าหรือยังครับ ความจริงตอนนี้ได้เวลานอนแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่เข้านอน หืม ?” กฤษกรก้มถาม พลางลูบศีรษะกลมทุยไปมาอย่างเอ็นดู ทว่าเด็กชายเพียงเหลือบตามองพ่อแล้วพยักหน้าโดยไม่พูดสักคำ

“ข้าวกล้องเป็นเด็กไม่ค่อยพูดเหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย

“แทบจะไม่พูดเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่แม่ของผมตาย ข้าวกล้องก็ไม่พูดอีกเลย นานเป็นปีแล้วมั้งที่เด็กคนนี้เปลี่ยนไป…นานๆครั้งถึงจะหลุดปากพูดสักคำ เมื่อกี้ผมดีใจนะที่เห็นข้าวกล้องทักทายคุณ ถึงจะเป็นแค่คำเดียวก็ตาม”

ประโยคนี้ของเขา ทำเอาหล่อนถึงกับหน้าเหวอไปชั่วขณะ นั่นน่ะหรือคำทักทาย…แต่หล่อนไม่ดีใจด้วยหรอกนะที่โดนเรียกว่า‘ยักษ์’

“วันนี้เป็นวันจันทร์ น่าจะเปิดเทอมแล้ว ข้าวกล้องไม่ไปเรียนเหรอคะ”

“ข้าวกล้องไม่ยอมไปเรียนเป็นปีแล้ว”

“ห๋า !” หญิงสาวอ้าปากค้าง “ทำไมคะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าวกล้องเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในบ้านพี่เลี้ยงกี่คนๆก็พากันลาออกกันหมดเพราะทนฤทธิ์ของเด็กแสบนี่ไม่ไหว” สีหน้าของชายหนุ่มบ่งชัดถึงความกังวล แต่สักพักเขาก็ถอนหายใจแล้วถามหล่อนห้วนๆว่า

“คุณพอจะโอเคไหมกับบ้านที่คุณต้องมาอยู่ชั่วคราว”

มิลันตีเงยหน้ามองตัวบ้านหลังงามแล้วลอบกลืนน้ำลายเบาๆ ใครกันนะที่นิยามไว้ว่าหากได้อยู่บ้านหลังใหญ่แล้วจะมีความสุข ที่แน่ๆหล่อนคงไม่เป็นแบบนั้น หล่อนมาที่นี่ในฐานะนางบำเรอ…บ้านหลังใหญ่ที่น่าจะสบาย แต่สำหรับหล่อนแล้ว…มันไม่ต่างจากคุกวีไอพีเลยแม้แต่น้อย

“ฉัน…จะมีความสุขได้ยังไง”

ชายหนุ่มมองแววตาสลดของหล่อน พลางหยัดยิ้มหยัน “คุณเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง แล้วจะว่าไม่มีความสุขได้ยังไง ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินหรอกนะ…หากคุณยังบริสุทธิ์จริงสมคำโฆษณา ผมยินดีจ่ายเงินที่เหลือให้เต็มจำนวนแน่นอน”

มิลันตีกัดฟันกรอด ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครดูถูกหล่อนมากเหมือนเขามาก่อน ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ต้องโทษดาวรายคนเดียว ทำไมถึงเห็นแก่ตัวนัก หล่อนไม่น่าโง่จนแยกแยะไม่ออกเลยว่าใครเป็นมิตรแท้ ใครเป็นมิตรเทียม สุดท้ายเลยต้องมาเดือดร้อนเพราะเพื่อนแย่ๆ

แต่หล่อนยังไม่ทันได้ตอบโต้กลับไป เสียงหวานละมุนก็ดังขึ้นเสียก่อน ทำให้หล่อนต้องมองไปทางที่มาของเสียง เห็นร่างสูงเพรียวของหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงมา แม้จะไม่สวยฉูดฉาด แต่ท่าทางใจดี ที่ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มกว้างขวางเห็นไรฟันสีขาวเรียงเป็นระเบียบ

“คุณข้าวกล้ากลับมาแล้ว ทำไมไม่เข้าบ้านคะ”

“กำลังจะเข้าครับ เอ้อ…จริงสิ ผมขอแนะนำเลยนะครับคุณอัญ คนนี้ชื่อมิลันตี เรียกมิ้วก็ได้” ชายหนุ่มเริ่มแนะนำให้สองสาวได้รู้จักกัน “มิลันตี…คนนี้ชื่ออัญชรีย์ เรียกสั้นๆว่าอัญก็ได้ เป็นน้องสะใภ้ของผมเอง”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณมิ้ว แหม…อัญตกใจหมดเลยค่ะ ปกติคุณข้าวกล้าไม่เคยพาสาวคนไหนมาที่บ้าน”

เห็นสีหน้ายินดีและรอยยิ้มเป็นมิตรของอีกฝ่ายแล้ว มิลันตีก็เริ่มใจชื้นขึ้น หล่อนจึงส่งยิ้มกลับไปพร้อมยกมือไหว้

“สวัสดีค่ะคุณอัญ เอ้อ…ฉันก็ไม่ได้พิเศษอะไรมากมายหรอกค่ะ เป็นแค่…” หล่อนยังพูดไม่ทันจบประโยค กฤษกรก็โอบไหล่หล่อนไว้อย่างสนิทสนม แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า

“มิลันตีเป็นแฟนผมครับ ! ”

หญิงสาวตาค้าง ผงะไปนิดหนึ่ง ตั้งท่าจะแย้ง แต่มือเขาจับบ่าหล่อนบีบแน่นแถมสายตาคมดุยังปรายมาทางหล่อนราวจะเตือนเป็นนัยๆว่าถ้าหล่อนพูดอะไรไม่เข้าหู จะต้องเจอดีแน่

“แหม ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณข้าวกล้าจะเปิดใจยอมมีแฟนแล้ว ยินดีด้วยนะคะ” อัญชรีย์ระบายยิ้ม แล้วก้มลงบอกกับหนูน้อยที่ยืนจ้องหน้าเขม็ง “ข้าวกล้อง หนูกำลังจะได้แม่คนใหม่แล้วนะ คุณมิ้วอาจจะเป็นแม่ของหนูในอนาคต”

กิษฎีปัดมืออัญชรีย์ออก ปากอิ่มบิดเม้มเหมือนอยากจะร้องไห้ ตากลมตวัดไปทางมิลันตีอย่างไม่พอใจ ก่อนจะวิ่งหนีไปอีกทางทันที

“ทำไมข้าวกล้องถึงดื้อแบบนี้นะ ต้องขอโทษแทนหลานตัวอ้วนด้วยนะคะคุณมิ้ว”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณอัญ ใหม่ๆก็แบบนี้แหละค่ะ อีกอย่าง…ฉันไม่ใช่แม่คนใหม่ของข้าวกล้องสักหน่อย”

อัญชรีย์หัวเราะ แล้วบอกกฤษกรว่า “อัญขอไปตามหาเด็กอ้วนก่อนนะคะ อ้อ…คุณกิตติยังไม่กลับจากที่ทำงานเลยค่ะ ตอนเย็นๆคงได้ทำความรู้จักกับคุณมิ้ว”

“ครับคุณอัญ”

หลังจากอัญชรีย์ค่อยๆเดินทิ้งห่างไปไกลแล้ว ชายหนุ่มก็ก้มลงมองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางถามเสียงกลั้วหัวเราะ

“ทำไมทำหน้าบูดเป็นตูดแบบนั้นล่ะคุณแฟน”

“ทำไมต้องโกหกคุณอัญด้วย ในเมื่อคุณพาฉันมาที่นี่ในฐานะนางบำเรอ ไม่ใช่คนรัก” หล่อนถามเสียงเขียว

“จริงอยู่ที่ผมอยากได้คุณมาเป็นเมียเก็บชั่วคราว แต่ถ้าให้บอกความจริงกับทุกคนไป ก็กลัวจะเป็นปัญหา สู้บอกว่าคุณเป็นแฟนดีกว่า ไว้ถ้าผมเบื่อคุณเมื่อไหร่ ผมค่อยบอกคนอื่นๆว่าเราเลิกกันแล้ว แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอไง ?” เขาถามด้วยดวงตาพราวระยับ ปลายจมูกโด่งปัดป่ายไม่ห่างจากแก้มนุ่ม มือก็เริ่มซุกซนลูบไล้ลำแขนเรียวเสลาอย่างอารมณ์ดี

“คุณอยากได้ฉันเพราะอะไรคะ” หญิงสาวถาม พลางถอยห่างจากเขา แต่มือเขาก็แข็งแรงไม่น้อยเพราะยึดต้นไหล่หล่อนไว้แน่นไม่ยอมให้หล่อนขยับหนีได้เลย

“เพราะคุณสวยไง” เขาตอบตามตรงและก็ยิ้มอีก ซึ่งคราวนี้หล่อนก็ยิ้มตอบเขา ก่อนประสานกับสายตาคมกล้าอย่างท้าทาย

“งั้นหรือคะ ? บางทีคุณอาจจะเปลี่ยนใจ”

“ผมไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่นอน เอาล่ะ…เข้าบ้านกันเถอะ ผมจะพาคุณไปดูห้อง รับรองว่าถูกใจคุณแน่นอน” ไม่พูดเปล่า เขายังคว้ามือหล่อนแล้วลากพาเข้าบ้านไปโดยไม่สนใจท่าทางกระฟัดกระเฟียดของหล่อนเลยแม้แต่น้อย

กฤษกรลากหล่อนผ่านคนรับใช้หลายคนที่แอบมองมาอย่างให้ความสนใจ จนถึงชั้นสอง เขาก็ใช้เท้าถีบประตูบานหนึ่งให้เปิดออก จากนั้นก็ผลักจนหล่อนล้มลงไปที่เตียงกว้าง //////

“โอ๊ย ! ทำบ้าอะไรของคุณ” หญิงสาวตวาดเมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับความนุ่มของเตียงนอน…และความอบอุ่นยามร่างสูงใหญ่ตามขึ้นคร่อมทับ ใบหน้าคมเข้มอยู่ห่างหน้าหล่อนเพียงคืบจนรับรู้ถึงกระไอร้อนผ่าวจากลมหายใจของเขาที่เป่ารดอยู่บริเวณพวงแก้ม

“ทำบ้า…ผมทำไม่เป็น ผมถนัดแต่‘ทำรัก’น่ะครับ” ตอบพลางจูบมุมปากอิ่มเบาๆ

“ดะ เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่พร้อมนะ” หล่อนบอกเสียงเครือ พยายามผลักอกแกร่งให้ถอยห่าง แต่ยิ่งขัดขืน เหมือนเขาจะยิ่งรุกประชิดมากขึ้น

“ผมจ่ายเงินแสนเพราะอยากได้คุณ ดังนั้นคุณ…ในฐานะสินค้าของผมก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ หากผมต้องการ”

ดวงตาคมล้ำลึก แฝงแววเสน่หาอย่างไม่คิดจะซ่อนเร้น ปลายนิ้วยาวแข็งแรงสอดเข้าใต้กระโปรงตัวยาวถูไถไปมาตามร่องกระสัน ส่งผลให้หญิงสาวเสียววาบ มือกำขยุ้มผ้าปูเตียง หน้าแดงก่ำ พยายามหนีบขาหนีการรุกราน

น้ำใสปริ่มคลอหน่วยตา มิลันตีเหลือบตามองเพดานห้อง เป็นเวรกรรมอะไรกันหนอ หล่อนถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้…สภาพที่ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องยอมรับผลในสิ่งที่ตนไม่ได้เป็นคนก่อ

จากชีวิตเรียบง่ายของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง กลับพลิกผันในชั่วข้ามคืน เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของเพื่อนที่หล่อนไว้ใจที่สุด

กฤษกรจูบเรียวปากอิ่มราวเสพติดรสหวานที่เขาไม่เคยพานพบจากผู้หญิงคนไหน ไม่ว่าจะจุมพิตกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยเบื่อ กลับถวิลหาอยากจูบซ้ำๆ อยากสัมผัสหล่อนเนิ่นนาน แต่ทว่าคราวนี้มันช่างแตกต่าง เพราะมีรสเค็มปร่าแทรกซึมจนต้องเหลือบตามองหน้าหวาน เห็นน้ำตาของหล่อนไหลลงมาตามแนวแก้ม

แม้จะไม่มีเสียงร้องทักท้วงหรือห้ามปราม แต่แค่เห็นน้ำตา เขาก็พาลใจหาย…

“ให้ตายสิ” กฤษกรสบถเมื่อผละห่างร่างบางแล้วลุกลงจากเตียงอย่างหัวเสีย “คราวนี้ผมเห็นว่าคุณยังตื่นเต้นกับที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เลยยังไม่ทำอะไร แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ…คืนนี้ผมไม่ปรานีคุณแน่มิลันตี ! ”

ชายหนุ่มปิดประตูตามหลังเสียงดัง ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวที่ยังคงนอนตะแคง แนบหน้ากับหมอน ร่ำไห้อย่างหนัก หล่อนกำลังกลัว…กลัวในสิ่งที่เผชิญ กลัวอนาคต และ…กลัวผู้ชายหน้าหล่อแต่ใจร้ายคนนั้นที่สุด

มิลันตีนอนร้องไห้นานเกือบ 20 นาที ในที่สุดน้ำตาก็เหือดแห้ง หล่อนลงจากเตียงเข้าห้องน้ำล้างหน้าจนเริ่มจะสดชื่นขึ้นบ้าง แต่ขอบตายังแดงก่ำ ปลายจมูกสีชมพูระเรื่อ

ร้องไห้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป คนอย่างหล่อนจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่

หญิงสาวตั้งมั่นในใจ เปิดกระเป๋าเตรียมจัดเสื้อผ้าแขวนในตู้ไม้สักขนาดใหญ่ ทว่ากระเป๋าใบแรกที่เปิดออกกลับมีแต่เครื่องสำอางเต็มไปหมด

หล่อนเป็นพนักงานขายเครื่องสำอาง จึงไม่แปลกที่จะมีเครื่องประทินโฉมมากมาย อันที่จริงหล่อนไม่ชอบแต่งหน้า แต่พอจะรู้เทคนิกการเปลี่ยนโฉมหน้าในแบบต่างๆอยู่บ้าง

ดีล่ะ…หล่อนรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรเพื่อยืดเวลาการเสียสาวออกไปอีกสักระยะ และหล่อนก็มั่นใจซะด้วยสิว่าแผนการนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน !

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel