ชายปริศนานามว่ามิสเตอร์พีเจ (40%)
เมืองเมริด้า เขตเทือกเขาแอนดีส ประเทศเวเนซุเอลา
ฤดูใบไม้ร่วงปลายเดือนกันยายน ร่างทรงพลังที่อยู่ในชุดลำลองสบายๆ ยืนเด่นเป็นสง่าจิบกาแฟหอมกรุ่นรับอรุณบริเวณเทอร์เรซของวิลล่าสุดหรู ขณะทอดสายตาคมกริบฝ่าละอองหมอกไปยังผืนหญ้าเขียวขจีที่ขึ้นปกคลุมเนินเขาน้อยใหญ่ สลับกับต้นไม้นานาพันธุ์ซึ่งใบของมันเริ่มเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นแดง บ้างก็จากเหลืองเป็นส้ม ก่อนที่จะร่วงหล่นลงจากต้นมาสู่พื้น ส่วนโสตประสาทก็สดับเสียงเจื้อยแจ้วของหมู่สกุณาขับขานรับวันใหม่อยู่เป็นระยะ
“มึงหรือเปล่า มิสเตอร์พีเจ” ชายผิวสีหมึกคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหลัง พร้อมกับยิงคำถามกวนประสาท ส่งผลให้อารมณ์สุนทรีย์ของมหาเศรษฐีผู้พิสมัยความเป็นส่วนตัวเลือนหายวับไปกับตา
‘ในเมื่อมันกล้าเสนอหน้ามาแหยมถึงถิ่น เราก็จะให้มันรู้ซึ้งถึงแก่น’ นั่นคือความคิดแวบแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองอันเฉียบแหลม หลังจากได้ฟังวาจาไม่พึงประสงค์หลุดออกมาจากปากสามหาวของชายไร้มารยาท ที่บังอาจมารบกวนในเวลาพักผ่อนแสนสบาย
ชั่วพริบตาพ่อหนุ่มมาดเถื่อนในคราบเทพบุตรก็หมุนเรือนกายทรงพลังกลับมาเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญ ท่วงท่าสง่างามทว่าแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามจนน่าทึ่ง และที่ไม่คิดจะตอบโต้ด้วยการยิงกราดสาดกระสุนตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาภายในพื้นที่ส่วนตัว ก็เพราะรู้สึกชินชากับเหตุการณ์ซ้ำซากที่เกิดขึ้นในรอบสามเดือนเสียแล้ว
“มึงหูหนวกหรือไงวะ กูถาม…ทำไมไม่ตอบ!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนจังก้า ยกแก้วกาแฟในมือขึ้นจิบด้วยท่าทีสบายๆ พลางเลิกคิ้วได้รูปท้าทายอย่างไม่สะทกสะท้าน ชายหุ่นเตี้ยล่ำผิวสีดำมะเมื่อมก็เค้นเสียงตวาดลั่น
“แล้วมึงคิดว่าไงล่ะ?” รอยยิ้มอำมหิตผุดขึ้นที่มุมปากหยัก ก่อนที่เขาจะยอกย้อนด้วยวาจายียวน หากแต่น้ำเสียงกลับเย็นเยียบประดุจพญามัจจุราชที่หลุดออกมาจากขุมอเวจี นัยน์ตาคู่คมเจือไปด้วยความกระด้างระคนดุดันจนน่าสะพรึงกลัว และนั่นก็สามารถเขย่าขวัญสั่นประสาทมือสังหารผิวสีได้ไม่น้อย
“มึงไม่ต้องมาโอ้เอ้ แค่ตอบกูมา ว่ามึงใช่ ‘มิสเตอร์พีเจ’ หรือไม่?” คนที่เริ่มใจคอไม่ดีตะคอกเสียงสะท้าน พลางเล็งปืนมายังร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างด้วยท่าทางไม่มั่นคงนัก
“เออ…รู้แล้วมึงก็ช่วยไปบอกยมบาลหน่อยแล้วกัน ว่ากูนี่แหละ ‘มิสเตอร์พีเจ’ คนที่ยิงแสกกบาลมึง!” ชายหนุ่มแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมขณะโต้ตอบด้วยมาดดิบเถื่อนถึงแก่น ขาดคำเสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัด
ปัง!
กระสุนสีทองวิ่งพล่านฉีกม่านอากาศ แล้วพุ่งทะยานไปยังเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าอย่างแม่นยำราวกับจับวาง ทันใดนั้นมือสังหารดวงกุดที่คิดจะมาเผชิญหน้ากับมหาเศรษฐีหนุ่มผู้เหยาะแหยะก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ทั้งที่ยังไม่ได้ออกอาวุธ เลือดสีแดงฉานไหลรินออกมาจากกลางหน้าผากกว้าง เสี้ยววินาทีถัดมาดวงตาพลันเหลือกถลน ลมหายใจสะดุดขาดเป็นห้วงๆ
หลังจากเสียงปืนดังขึ้น ชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตที่ถูกเจ้านายสั่งไม่ให้มายุ่มย่ามวุ่นวายความเป็นส่วนตัว ต่างก็วิ่งหน้าตั้งมายังเทอร์เรซ พร้อมด้วยอาวุธในมือครบครัน
“ไม่ต้อง!” เหล่าบอดี้การ์ดร่างยักษ์ชะงักทุกการกระทำ เมื่อผู้เป็นนายส่งเสียงกระด้างห้ามปราม ฉะนั้นทั้งหมดจึงทำได้เพียงถือปืนยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ
พ่อหนุ่มพันธุ์ดิบวางแก้วกาแฟในมือลงบนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ แล้วก้าวมาหาคนที่โดนเขาสอยจนร่วงไม่เป็นท่า นัยน์ตาสีมรกตยังกรุ่นไปด้วยประกายโทสะเหลือบมองร่างที่นอนดิ้นพราดๆ ก่อนจะขาดใจตายอยู่แทบเท้า ด้วยท่าทางเย็นชาไร้ความรู้สึก
“ถ้าอยากจะฆ่ากู มึงอย่าลังเล เพราะไม่งั้น…มึงจะไม่มีโอกาสได้วอนขอแม้กระทั่งชีวิต” จอมโอหังพูดพลางใช้ปลายเท้าสะกิดให้ร่างไร้วิญญาณพลิกกลับมานอนหงาย
“จัดการให้เรียบร้อยด้วยละ” พ่อหนุ่มมาดเถื่อนส่งเสียงดุดันออกคำสั่งกับเลขานุการหนุ่ม ขณะเหน็บปืนไว้ที่ข้างเอวสอบดังเดิม
“ครับนาย” เรย์ค้อมหัวพร้อมเอ่ยปากรับคำอย่างแข็งขัน ถึงแม้จะดูขี้เล่นอยู่เป็นนิจแต่ถ้าเป็นเรื่องงานแล้วละก็เขาเต็มที่เสมอ
“และอย่าลืมไปสืบด้วยละ ว่าใครเป็นคนส่งมันมา” คนเป็นใหญ่สั่งกำชับด้วยสีหน้าราบเรียบ หากแต่ไม่ต้องบอกลูกน้องคนสนิทก็พอจะคาดเดาได้ว่าเจ้านายของตนกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน
“คงไม่ต้องแล้วละครับ นี่ครับ…ที่มาของมัน” เลขาฯ หนุ่มมาดทะเล้นทว่าช่างสังเกต พูดพลางจับพลิกต้นคอของคนที่นอนดับอนาถ ให้เจ้านายได้ดูตราประทับอันหมายถึงที่มาของนักฆ่าผิวสี ซึ่งเป็นองค์กรมืดที่ศัตรูตัวฉกาจของพ่อหนุ่มมาดดิบเรียกใช้งานอยู่เป็นประจำ
“บัดซบสิ้นดี ไอ้เวรเอ๊ย!” ชายหนุ่มเค้นเสียงห้าวกระด้างสบถลั่นด้วยความเดือดดาลสุดขีด
ปีเตอร์ เจย์ลาสโคนี เจ้าพ่อค้าเพชรชื่อก้องโลก วัยสามสิบเอ็ดปี ผู้มีเลือดผสมระหว่างสวีเดนและเวเนซุเอลาหลอมรวมอยู่ในกายอย่างลงตัว ใบหน้าหล่อลากไส้ที่เคยกระชากใจสาวๆ ทั่วทั้งปฐพี มาบัดนี้กลับดูถมึงทึงจนน่าขนหัวลุก ถึงแม้คนร้ายจะตายตกไปต่อหน้าต่อตาก็ไม่อาจดับอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านไปทั้งร่าง นั่นก็เป็นเพราะว่ายังไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพอจะเอาผิดพวกหมาลอบกัดได้
การมาพักผ่อนหย่อนใจเพื่อคลายความตึงเครียด หลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดระยะเวลาห้าเดือนเต็มของเจ้าพ่อหนุ่มมาดเถื่อนมีอันต้องป่นปี้ ด้วยน้ำมือของชายผิวสีหน้าเหี้ยมที่ลักลอบเข้ามาภายในอาณาจักรของเขาโดยไม่นึกครั่นคร้าม และมันก็ได้รับการตอบแทนอย่างสาสมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดิสลาฟ โครเซร์ ศัตรูคู่อาฆาตหมายเลขหนึ่งส่งคนมาปลิดชีวิตของเขาอย่างอาจหาญ สาเหตุก็เพราะว่าเมื่อต้นปีมีผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ของสวีเดน ปั่นราคาที่ดินในบริเวณเส้นทางคู่ขนานกับถนนสายหลักของกรุงสตอกโฮล์ม จากเคยสูงลิบลิ่วอยู่แล้วให้พุ่งทะยานขึ้นถึงสามเท่า ส่งผลให้พื้นที่ในแถบนั้นถูกเพ่งเล็งจากบรรดามหาเศรษฐีและนายทุนยักษ์ใหญ่ทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะบริษัทดังทว่ากำลังจะล้มละลายที่รู้จักกันเฉพาะในวงในอย่าง ‘ปิเอโร่จิวเวอรีแอนด์ดีไซน์’ ซึ่งนายทุนต่างกระเหี้ยนกระหือรืออยากได้มาไว้ในครอบครอง
ไม่เว้นแม้กระทั่งดิสลาฟ โครเซร์ มหาเศรษฐีใจหยาบเจ้าของเหมืองเพชรในแถบแอฟริกาและคู่แข่งตัวฉกาจของเขา เพราะอีกฝ่ายคิดว่าบริษัทที่ขาดสภาพคล่องทางการเงินจนเข้าขั้นวิกฤต ครั้นจะไปเจรจาซื้อก็คงไม่ยาก และอาจได้ราคาถูกอีกต่างหาก แต่นั่นก็หมายความว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะต้องไม่ใช่ ‘มิสเตอร์พีเจ’ บุรุษผู้ทำตัวลึกลับ ซึ่งหอบเม็ดเงินจำนวนมหาศาลมาหว่านเล่นด้วยการกว้านซื้อหุ้นของกิจการที่กำลังจะล้มไม่เป็นท่าเมื่อเกือบสามปีก่อน หนำซ้ำยังไม่เปิดโอกาสให้ใครหน้าไหนได้เห็นหน้าคร่าตา และเจรจาขอซื้อขาย แต่ดิสลาฟกลับรู้ระแคะระคายในภายหลัง ว่าแท้จริงแล้วมิสเตอร์พีเจก็คือปีเตอร์ เจย์ลาสโคนี ฉะนั้นมันจึงส่งคนมาตามเก็บเขาจนนับครั้งไม่ถ้วน
ไม่น่าเชื่อว่าภัยมืดจะดาหน้ากันเข้ามาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น เพียงเพราะว่าเมื่อเกือบสามปีที่แล้วปีเตอร์จำต้องกว้านซื้อหุ้นบริษัทปิเอโร่จิวเวอรีแอนด์ดีไซน์มาไว้ในมือเป็นจำนวนทั้งสิ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์ในนามของ ‘มิสเตอร์พีเจ’ ตามคำสั่งอันสุดแสนเผด็จการของผู้เป็นปู่ ซึ่งเมื่อนายนาธาน ปิเอโร่ ได้มีโอกาสล่วงรู้ว่ามิสเตอร์พีเจเป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญอีกคน ที่ดูเหมือนว่าจะมีเงินหนาอยู่ไม่น้อย ก็หาทางติดต่อเสนอขายหุ้นในส่วนของตัวเองอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ให้ โดยอ้างว่าทางปิเอโร่กำลังขาดสภาพคล่องขั้นรุนแรง จึงต้องการเงินไปใช้จ่ายในครอบครัวและพยุงกิจการ แถมยังทำหน้าด้านวางเงื่อนไขว่ามิสเตอร์พีเจจะต้องยอมขายหุ้นจำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นคืนให้ หากตัวเองมีเงินพอที่จะไถ่ถอน และต้องยอมให้ทางปิเอโร่เป็นฝ่ายบริหารจัดการและนั่งแท่นประธานบริษัทต่อไป โดยตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ตบท้ายด้วยการข่มขู่ว่าถ้าเขาไม่ซื้อหุ้นเอาไว้ก็จะนำไปขายให้คนอื่น
ซึ่งปีเตอร์ก็ต้องจำใจทั้งซื้อหุ้นเอาไว้ และยอมรับข้อเสนออันสุดแสนเห็นแก่ตัวของคนเจ้าเล่ห์หัวหมออย่างนายนาธานตามคำสั่งของคุณปู่ เพราะท่านเกรงว่ามันจะหลุดลอย และที่สำคัญคืออยากจะให้เขาซึ่งเวลานั้นอยู่ในฐานะ ‘มิสเตอร์พีเจ’ กลายเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดจำนวนหกสิบเปอร์เซ็นต์ โดยมีเงื่อนไขว่าจะปล่อยให้ทางปิเอโร่เป็นฝ่ายบริหารบริษัทต่อไป และยอมให้นายนาธานไถ่ถอนหุ้นคืนได้ภายในระยะเวลาสามปีเต็ม แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่สามารถทำตามกำหนดหุ้นจำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็จะตกเป็นของเขาอย่างถาวร
นายปิแอร์ เจย์ลาสโคนี คุณปู่ที่เขารักและเคารพยิ่ง คุ้นเคยกับนาธาน ปิเอโร่ อยู่ไม่น้อย จึงรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายมากแค่ไหน ถึงได้มองการณ์ไกลว่าหากทางปิเอโร่ไม่สามารถทำให้กิจการกระเตื้องขึ้นมาได้ นายนาธานก็คงไม่มีปัญญาหาเงินมาไถ่ถอนหุ้นคืน และเมื่อถึงเวลานั้นการจะได้มาครอบครองทั้งบริษัทก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
ท่านประมุขใหญ่แห่งเจย์ลาสโคนีสั่งให้หลานชายทำอย่างนี้ ก็เพราะว่าต้องการทำให้ความฝันของภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นจริง นั่นก็คือการได้ตึกแฝดที่ตั้งเด่นเป็นสง่าในกรุงสตอกโฮล์มมาไว้ในครอบครอง ซึ่งตึกแฝดที่ว่านี้ก็คือบริษัทปิเอโร่จิวเวอรีแอนด์ดีไซน์ และบริษัทออกแบบอัญมณีชื่อดังอย่างแอนนาเจมส์ ซึ่งคุณย่าของเขาใฝ่ฝันว่าจะผนวกมันให้เป็นหนึ่งเดียว เพราะท่านเคยทำงานในบริษัทแอนนาเจมส์มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกผูกพันกับบริษัทที่อยู่ข้างเคียงอย่างปิเอโร่จิวเวอรีแอนด์ดีไซน์ เพราะต้องไปติดต่องานอยู่บ่อยครั้ง ฉะนั้นก่อนจะสิ้นใจคุณย่าจึงได้สั่งกำชับกับคุณปู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าจะต้องหาทางเอาทั้งสองบริษัทมาเป็นของเจย์ลาสโคนีให้ได้ ก่อนที่มันจะถูกขายทอดตลาดในภายภาคหน้า และดูเหมือนว่าท่านจะหยั่งรู้อนาคตเสียด้วย เพราะปัจจุบันบริษัทปิเอโร่จิวเวอรีแอนด์ดีไซน์กำลังจะล้มละลาย ส่วนเจ้าของบริษัทแอนนาเจมส์ก็กำลังอยากขายกิจการ เพราะต้องการย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในแถบเอเชียอย่างถาวร
ถึงแม้ปีเตอร์จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณปู่อย่างยิ่งยวด เพราะกิจการค้าเพชรของเขาในนาม ‘เจย์ลาสโคนีแกรนด์ไดมอนด์’ ก็เจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดอยู่แล้ว ทุกวันนี้เขาต้องทำงานหนักและทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ทว่าปีเตอร์ก็ต้องทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อแม้ เนื่องจากไม่อยากขัดใจคนที่เป็นทั้งโรคความดันและเบาหวาน หากแต่ไม่ประสงค์จะออกนาม จึงใช้นามแฝงว่า ‘มิสเตอร์พีเจ’
ซึ่งความจริงในข้อนี้นอกจากคุณปู่ เพื่อนสนิทของเขา และลูกน้องคนสนิทอย่างเรย์แล้ว ก็ไม่มีใครล่วงรู้อีกเลย แม้กระทั่งนายนาธาน ปิเอโร่ ที่ขายหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในส่วนของตัวเองให้เขาในนามของ ‘มิสเตอร์พีเจ’ เมื่อเกือบสามปีก่อน และขายในส่วนของลูกสาวคนโตอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ให้เขาในนามของ ‘ปีเตอร์’ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา แถมยังเชื่อสนิทใจอีกด้วยว่ามิสเตอร์พีเจแบ่งขายหุ้นให้ปีเตอร์จำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นอีกฝ่ายจึงเข้าใจอย่างผิดๆ มาโดยตลอดว่าปีเตอร์ถือหุ้นสูงสุดร่วมกับมิสเตอร์พีเจ คนละสี่สิบเปอร์เซ็นต์
ส่วนที่นายนาธานเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็คือการเซ็นมอบอำนาจให้คนของปิเอโร่เป็นฝ่ายบริหารจัดการและนั่งแท่นประธานบริษัทต่อไป ทั้งที่ทางนั้นมีหุ้นเหลืออยู่ในมืออีกแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วยังไงก็ไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจของมิสเตอร์พีเจกับปีเตอร์ได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้กับนายนาธานในแรกเริ่ม อีกทั้งต้องการมองดูอยู่ห่างๆ โดยไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เมื่อใดก็ตามที่หายนะมาเยือนอีกฝ่าย เมื่อนั้นชัยชนะอันหอมหวานก็จะตกอยู่ในกำมือของเขา