บทย่อ
“มีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกาย ไม่ต้องนึกอายเป็นลูกผู้ชายต้องกล้า อย่าไปตะแบงในเมื่อเรี่ยวแรงโรยรา ร่างกายไม่ไหวก็ต้องอาศัยโด๊บยา มีคู่นอนอ่อนกว่าก็ต้องหายาบำรุง”“หนูไม่เป็นไรค่ะ เจ็บนิดเดียว”“ไหนขอฉันดูหน่อยสิ” ด้วยความเป็นหมอและเป็นห่วงแม่ตาหวาน เขาปลดเข็มขัดนิรภัย เอี้ยวตัวมาดูหน้าผากของหล่อน ส่งผลให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันไปโดยปริยาย “โนนิดนึง ฉันขอโทษนะที่ขับไม่ระวัง”ตาหวานไม่ได้สนใจคำพูดเตศวร ตอนนี้หล่อนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจเต้นเร็วถี่แรงด้วยความตื่นเต้น สัมผัสจากเขาช่างอบอุ่นเหลือเกิน มือใหญ่ที่จับมือตนให้ออกห่างหน้าผากที่ปูดโน แม้ว่าจะเพียงแค่แวบเดียวหล่อนก็รู้สึกได้ ไหนจะกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่พอสูดกลิ่นเข้าไป เป็นกลิ่นหอมที่ไม่แรงมาก มีกลิ่นอำพันผสมกับแมกไม้ ทำให้รู้สึกเคลิ้ม ชวนหลงใหล เซ็กซี่ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม แน่นอนว่า ตอนนี้กลิ่นน้ำหอมของเตศวรกำลังดึงดูดใจตาหวานอยู่ หล่อนหลับตาแล้วสูดดมกลิ่นกายเขาเข้าปอด หลงลืมความเจ็บไปจนสิ้นโห...กลิ่นโคตรหอมเลยเตศวรมองหน้าตาหวานที่ทำหน้าตาเคลิบเคลิ้มแล้วอมยิ้ม อันที่จริงตาหวานก็ไม่ใช่เด็กๆ แม้ว่าจะเป็นหญิงสาวตัวเล็ก หล่อนเป็นสาวเต็มตัวกำลังบรรลุนิติภาวะในอีกไม่กี่วัน รูปร่างจากภายนอกดูมีน้ำมีนวล ไม่ใช่เด็กกะโปโลที่เขาเคยเห็นเมื่อสองสามปีก่อน ใบหน้าเครื่องเคราของหล่อนก็ชวนมอง โดยเฉพาะริมฝีปากที่น่าเอาปากไปประกบจูบน่าเอาปากไปประกบจูบ...เขาคิดแบบนี้กับตาหวานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ปกติเขาจะเห็นหล่อนเป็นคนที่ไม่รู้จักโต ทว่าตอนนี้กลับมีความคิดว่า หล่อนโตเต็มวัยเหมือนมีแรงดึงดูดที่ประสานกับความคิดตัวเอง ใบหน้าเขาโน้มไปใกล้ดวงหน้าตาหวาน ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย ระยะห่างใบหน้าของทั้งคู่ ห่างกันไม่ถึงคืบ ช่วงขณะนั้นตาหวานลืมตาขึ้นพอดีดวงตาตาหวานขยายกว้างด้วยความตกใจ เป็นความตกใจที่ทำให้หล่อนทำอะไรไม่ถูก นั่งนิ่ง หายใจถี่แรงเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าจะดึงหน้าหนีหรือจะขยับหน้าเข้าใกล้ดีแปร๊น!เตศวรกับตาหวานตกใจกับเสียงบีบแตรที่ดังลั่นถนน เป็นนายแพทย์หนุ่มที่ดึงตัวเองกลับมานั่งที่เดิม แล้วรีบขับรถทันที ส่วนตาหวานนั่งอมยิ้ม หน้าแดงระเรื่อ ทั้งเขินทั้งอายกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ยังแอบเสียดายว่า เสียงแตรรถยนต์คันหลังไม่น่าดังขึ้นเลย ไม่เช่นนั้นป่านนี้หล่อนคงรู้จัก ‘จูบแรก’ ไปแล้วเฮ้อ...เสียดายจัง
บทที่ 1
หญิงสาววัยจวนยี่สิบปีอีกไม่กี่วันขี่จักรยานเข้ามาในเขตไร่องุ่นที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดราชบุรี ไร่แห่งนี้มีชื่อว่าไร่เฟื่องฟ้า เจ้าของเป็นหญิงสูงวัยใจดีนามว่า พะเยาว์ อายุนางย่างเข้าเจ็ดสิบห้าแต่ยังแข็งแรงและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลานและคนงานในไร่
ไร่เฟื่องฟ้าติดกับสวนผักเล็กๆ ของครอบครัวตาหวาน ที่แทบจะเปรียบเทียบเนื้อที่ของทั้งสองไร่ไม่ได้เลยเพราะมันห่างกันลิบลับ
ตาหวานขี่จักรยานคู่ใจมาจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในไร่องุ่น ตรงหน้าเป็นลานดินกว้างมีเด็กวัยเก้าปีถึงสิบสามปีกำลังเล่นกระโดดเชือกอยู่ หล่อนรีบก้าวเท้าไปหาเด็กกลุ่มนั้นทันที ไม่ลืมหยิบหนังยางที่ร้อยกันเป็นทางยาวราวสามเมตร อุปกรณ์การเล่นติดมือไปด้วย
“พี่ตาหวานมาช้าจัง น้อยกระโดดเชือกไปหลายตาแล้วนะ” น้อยลูกสาวประนอมคนงานในไร่เฟื่องฟ้าพูดขึ้น
“พี่ไปเก็บผักมาให้คุณยายเลยมาช้า” ตาหวานตอบ ก่อนชูหนังยางเส้นใหม่ “พี่ร้อยหนังยางใหม่มาให้ด้วย”
“ดีเลยพี่ อันเก่าขาดแล้วขาดอีก” น้อยว่า “แล้วพี่ตาหวานไม่เอาผักไปให้แม่นายก่อนเหรอ เดี๋ยวผักเฉานะ”
“เดี๋ยวก่อนก็ได้ ผักเพิ่งตัดมาจากต้น ไม่เหี่ยวไม่เฉาง่ายๆ หรอก เล่นเสร็จค่อยเอาไปให้ก็ได้” ตาหวานยังห่วงเล่น “ไปเร็ว”
พูดจบ ตาหวานก็วิ่งนำหน้าน้อยไปยังกลุ่มเด็กที่เล่นกันอยู่ วันนี้มีสมาชิกจอมทโมนมาเล่นด้วยกันห้าคน รวมตาหวานก็เป็นหก เด็กต่างจังหวัดหรืออยู่ในชนบทไม่มีของเล่นมากนัก ไม่มีหุ่นยนต์ ไม่มีตุ๊กตา ไม่มีรถแข่งหรือของเล่นอื่นๆ จะมีเพียงของเล่นที่หาได้ในพื้นที่ อย่างเช่นเอาก้านกล้วยมาตัดเป็นรูปม้าหรือที่เรียกกันว่า ม้าก้านกล้วย หรือไม่ก็เล่นขายของ ขายผัก ขายผลไม้โดยใช้หินหรืออะไรที่หาได้แถวนั้นติ๊ต่างเป็นผลไม้ชนิดต่างๆ ส่วนเงินที่เอามาซื้อของก็จะใช้กระดาษสีขาวตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วเขียนตัวเลขแทนเงิน 1,5,20,100 ในกระดาษแผ่นนั้น
ระหว่างที่ตาหวานกับเพื่อนร่วมก๊วนกำลังเล่นกระโดดเชือก รถยนต์คันโก้ได้แล่นเข้ามาในเขตไร่ เจ้าของรถยนต์นำมันมาจอดหน้าประตูบ้านไม้สักทองของคนเป็นย่า ก่อนก้าวเท้าลงมายืนข้างตัวรถ
เตศวรหรือหมอเต นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางออร์-โธปิดิกส์ในเด็กหรือจะเรียกว่าเป็นหมอกระดูก เขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากญี่ปุ่นได้สามเดือน หลังเดินทางไปต่อยอดหาความรู้เพิ่มเติมในประเทศญี่ปุ่นหกเดือนเต็ม เพื่อนำความรู้ที่ได้มาใช้ประโยชน์ในการรักษาคนไข้ที่เมืองไทย ตอนนี้เขาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งที่รักษาเด็กแรกเกิดถึงสิบสองปีหรือรักษาเด็กโดยเฉพาะ และเป็นแพทย์พิเศษในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังวันเสาร์และอาทิตย์
เตศวรนอกจากจะมีดีกรีเป็นแพทย์ เขายังมีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เรือนกายสูงใหญ่ไม่ต่างกับเตชินผู้เป็นพ่อที่เสียชีวิตพร้อมมารดาด้วยอุบัติเหตุเมื่อเจ็ดปีก่อน ไม่แปลกที่แพทย์หญิงและพยาบาลหลายคนให้ความสนใจในตัวเขา ทว่าเตศวรกลับไปปักใจรักใคร เขายังเป็นหนุ่มโสดสุดฮอตต่อไป
ขณะที่กำลังเดินเข้าบ้าน เสียงใสแจ๋วของเด็กกลุ่มหนึ่งดังเข้ามาในหูเตศวร เขาจึงมองไปตามต้นเสียง เพ่งมองไปยังเด็กกลุ่มนั้นที่กระโดดเชือกกันอยู่
“มองอะไรคุณเต” นมแม้นเอ่ยถามเตศวร ชายหนุ่มที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด
“มองเด็กกลุ่มนั้นเล่นกันครับ ท่าทางสนุกกันใหญ่” เขาตอบ นมแม้นจึงมองตามสายตาของเตศวร
“ตาหวานเล่นกับลูกคนงานในไร่น่ะค่ะ มาเล่นด้วยกันทุกวัน เล่นกระโดดเชือกเสร็จก็คงไปเล่นขายของกันต่อ”
นมแม้นพูดราวกับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องชินตา แต่สำหรับเขาอาจไม่ชินสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้อยู่ที่นี่ประจำ สามสี่เดือนจึงมาสักครั้ง ครั้งล่าสุดก็คือต้นเดือนที่ผ่านมา
เตศวรส่ายศีรษะก่อนถอนหายใจออกมาพรืดยาว เมื่อรู้ว่าหนึ่งในเด็กหลายคนที่เล่นกันอยู่คือตาหวาน แม่ของลูกเขาที่พะเยาว์หมายตาไว้ เขาดูยังไงก็ไม่คิดว่า ตาหวานจะเป็นแม่คนได้
“ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมคุณย่าถึงอยากให้ตาหวานเป็นแม่ของลูกผม ดูเธอสิครับ ยังกระโดดเชือกเล่นเป็นเด็กๆ อยู่เลย นึกไม่ออกว่า จะเป็นแม่คนได้ยังไง”
เตศวรพยายามนึกภาพแต่ก็นึกไม่ออก เพราะภาพที่ตาหวานเล่นขายของ เล่นม้าก้านกล้วยและกระโดดเชือกมันวนเวียนในหัว