แค่เพียงเริ่มต้น(2)
“วรรณ แล้วตายุน่ะเขาว่ายังไงบ้างล่ะเรื่องหมั้น”
คุณหญิงนรีเกริ่นถามขึ้น หญิงวัยกลางคนชะงักเล็กน้อยก่อนโบกไม้โบกมือทำนองว่าเธอนั้นจัดการได้
“ไม่ต้องห่วง ตายุไม่เคยขัดใจฉันหรอก”
เธอให้ความมั่นใจกับสองแม่ลูกว่าทุกอย่างนั้นจะเป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้ นัทนิสามีสีหน้าที่ดีขึ้น ดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงวันที่เธอนั้นจะได้จูงมือชายหนุ่มเข้าพิธีวิวาห์
“แต่ฉันก็กังวลนะว่าเขาอาจจะซุกซ่อนใครเอาไว้หรือเปล่า”
เธออยากเกี่ยวดองกับคุณหญิงวรรณใจจะขาดเพราะหวังสินสอดก้อนโตที่จะนำไปปลดหนี้ของสามีได้ สองสามปีมานี้บริษัทขาดทุนเป็นร้อยล้าน เธอต้องวิ่งเต้นทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินใช้หนี้ก่อนที่เรื่องราวจะถูกเปิดโปงให้อับอายขายขี้อาย อีกอย่างเธอเห็นว่าครอบครัวของคุณหญิงจารุวรรณนั้นมีเงินถุงเงินถังที่จะช่วยเหลือฉุดรั้งบริษัทของเธอได้ จึงพยายามผลักดันลูกสาวเพียงคนเดียวให้ได้เข้าไปเป็นสะใภ้ของอีกฝ่าย
“ไม่น่าจะมีนะ แต่หากมีจริงๆฉันจะเข้าไปจัดการเอง”
ผู้หญิงคนเดียวที่คุณหญิงจารุวรรณถูกตาต้องใจที่สุดคือนัทนิสา หากไม่ใช่หญิงสาวตรงหน้าแล้วเธอก็คงคิดหนักว่าจะยอมรับคนอื่นมาเป็นสะใภ้ได้หรือไม่ อีกอย่างลูกสาวเพื่อนคนนี้ก็เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา การศึกษา ชาติตระกูลและฐานะทางสังคม เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่สามารถยืนข้างจิรายุได้อย่างสง่าผ่าเผยที่สุด
“ยังไงก็ฝากด้วยละกันนะวรรณ สองครอบครัวเราจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันเสียที”
นัทนิสาหลบตาทำท่าทางเขินอาย นิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมทัดหูก่อนที่เธอจะส่งสายตาหวานให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินกลับมาที่โต๊ะ จิรายุไม่แต่จะมองหน้าเธอด้วยซ้ำ เขานั่งลงก่อนจะรินไวน์ใส่แก้วกระดกดื่มเงียบๆ
“ช่วงนี้งานยุ่งเหรอคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเขานั้นไม่คุยกับเธอเสียที ชายหนุ่มเพียงพยักหน้าก่อนจะยกไวน์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
“ไม่น่าล่ะ ทำไมพี่ยุถึงมาช้า”
หญิงสาวเอ่ยตัดพ้อ ใบหน้าหม่นลงเล็กน้อย ชายหนุ่มปรายตามองเธอก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นไม่ได้สนใจว่าหญิงสาวจะรู้สึกอย่างไร ขณะที่ผู้เป็นแม่กับคุณหญิงนรีกำลังสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข่าวสาร แต่แล้วเขาก็รู้สึกหงุดหงิดใจเมื่อหันไปด้านข้างและพบว่านัทนิสากำลังจ้องมองมาที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขาเช่นกัน
“ดูอะไรเหรอครับ”
เป็นครั้งแรกที่เขาตัดสินใจเอ่ยกับเธอ แต่น้ำเสียงนั้นกลับแข็งกระด้างจนคนฟังรู้สึกได้
“พอดีนัทเห็นข่าวน่าสนใจ เลยอยากขอดูด้วยได้ไหมคะ”
ใบหน้าชายหนุ่มเรียบเฉย เขาไม่ชอบความไร้มารยาทของหญิงสาว การกระทำแบบนี้ไม่ต่างจากการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว อีกอย่างเขาไม่ชอบคนล้ำเส้น ต่อให้เป็นคนรักกันเขาก็ไม่ชอบอยู่ดี
“พี่ยุโกรธนัทเหรอคะ”
หญิงสาวเห็นเขามีสีหน้าไม่ค่อยดีเธอก็ทำตัวไม่ถูก เธอสอดมือเข้าไปคล้องแขนแกร่งก่อนจะออดอ้อนชายหนุ่มขอให้เขานั้นยกโทษให้ หญิงวัยกลางคนทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็รีบปลีกตัวไปที่อื่น เปิดโอกาสให้ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์
“พี่ว่าทำแบบนี้มันดูไม่ค่อยดีนะครับ”
จิรายุเชือดเฉือนนิ่มๆแต่ทำให้หญิงสาวหน้าชาไปชั่วขณะ เธอค่อยๆปล่อยมือออกจากแขนของเขาก่อนจะยืดหลังตรงและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
“พี่ยุรังเกียจนัทเหรอคะ”
นัทนิสาแสร้งปั้นหน้าเศร้า ไม่เข้าใจว่าเธอไม่ดีตรงไหน ทำไมชายหนุ่มถึงได้เมินเฉยต่อเธอนัก นิทนิสาอดคิดไม่ได้ว่าจิรายุอาจมีคนรักอยู่แล้วและไม่ยอมเปิดเผยให้ใครรับรู้ เพราะเขาดูไว้ตัวและพยายามผลักเธอออกห่างเสมอ
หญิงสาวเก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะนั่งนิ่งไม่กล้าวอแวชายหนุ่มอีก
ชนิดานอนไม่หลับเธอกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาหลายครั้ง สุดท้ายต้องเปิดโทรทัศน์หาหนังดูกลางดึกหวังว่าจะช่วยให้รู้สึกง่วงขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล เธอดูเวลาที่นาฬิกาหัวเตียง อีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว หากยังข่มตานอนไม่ได้เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องลางานสักวัน
“ทำยังไงดี”
เธอทำทุกวิถีทาง ทั้งนับแกะ ทั้งออกกำลังกายจนเหนื่อย และยังอ่านหนังสือ แต่ก็ยังไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เบอร์ที่ไม่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวลังเลที่จะกดรับสาย
เธอปล่อยให้เสียงโทรศัพท์ดับลงก่อนที่ล้มตัวลงนอน แต่แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชนิดาจึงตัดสินใจที่จะรับสายเพราะคิดขึ้นมาได้ว่าอาจมีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น
“ทำไมไม่รับสายฉัน”
น้ำเสียงขุ่นจากปลายสายเอ่ยถามขึ้น ชนิดากลืนน้ำลายรู้สึกว่าลำคอแห้งผากขึ้นมากระทันหัน
“คิดว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ก็พวกโรคจิตค่ะ ก็เลยไม่กล้ารับ”
จิรายุแค่นเสียงไม่พอใจที่หญิงสาวคิดว่าเขาเป็นโรคจิต จิรายุเสยผมลวกๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“บันทึกเป็นชื่อฉันไว้ จะได้ไม่เข้าใจผิด”
ชนิดารับคำก่อนจะเงียบฟังชายหนุ่มว่าเขานั้นจะพูดอะไรต่อ แต่ปลายสายก็เงียบใส่เธอเช่นกัน
“ท่านประธาน….”
“เรียกฉันว่าคุณยุ”
ชายหนุ่มโพล่งขึ้นขัด คำว่าท่านประธานมันดูห่างเหินเกินไปสำหรับเขาและเธอ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ชื่นชอบเท่าไหร่นักที่ถูกเรียกขานแบบนี้ คนรุ่นใหม่แบบเขาจึงพยายามรณรงค์ให้ทุกคนในบริษัทเรียกเขาว่าบอส ให้เข้ากับยุคสมัย แต่กับชนิดานั้นเป็นข้อยกเว้นเพราะเธอไม่เหมือนคนอื่น ฉะนั้นเขาจึงอนุญาตให้เธอเรียกขานเขาให้สนิทสนมมากขึ้น
ระยะเวลาสองปีต่อจากนี้ ทั้งเธอและเขายังต้องพบเจอกันไปอีกนาน เขาไม่อยากสร้างความห่างเหินเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะกลัดเกร็งจนกลัวไปเสียทุกอย่าง เขาต้องการให้เธอผ่อนคลายยามที่อยู่กับเขาทั้งในยามปกติและยามที่อยู่บนเตียง