9 รู้จักมากขึ้น
บ่ายวันเสาร์ภาวินท์ก็มาที่ร้านส้มตำตามเวลาที่นัดไว้ เขากำลังชะเง้อคอมองว่าเมื่อไหร่พิมพ์พริมาจะมาที่ร้าน ขณะที่พนักงานในร้านก็มาถามว่าเขาจะสั่งอะไรบ้าง ชายหนุ่มลังเลถ้าหากเขาสั่งอาหารมาทานแล้วพิมพ์พริมาไม่มาตามนัด เขาก็น่าจะต้องทานคนเดียวซึ่งมันคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะต้องนั่งรับประทานอาหารตามลำพัง
“ผมขอโทรถามเพื่อนก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยสั่งอาหาร” ชายหนุ่มบอกกับพนักงานของร้านจากนั้นเขาก็โทรศัพท์ไปหาหญิงสาวและรอสายอยู่นานแต่เธอก็ยังไม่ยอมรับ ภาวินท์เริ่มใจเสียเพราะคิดว่าพิมพ์พริมาจะเบี้ยวนัด
เขาไลน์ไปหาเธอเพื่อถามว่าตอนนี้เธอทำอะไรอยู่ที่ไหนและจะมาทานอาหารกับเขาหรือเปล่า แต่หญิงสาวก็ไม่อ่านข้อความ นั่นยิ่งทำให้ภาวินท์รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เขาอยากจะไปตามเธอที่หอพัก ขณะกำลังลุกจากเก้าอี้ก็เห็นเธอเดินเข้ามาในร้านพอดี เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ขอโทษนะคะพี่วินพอดีว่านคุยกับเพื่อนเพลินไปหน่อยเลยมาช้า”
“แล้วเพื่อนอยู่ไหนล่ะ ไม่มากินกับเราเหรอ”
“ว่านหมายถึงคุยโทรศัพท์ค่ะ พี่วินสั่งอาหารหรือยังคะ”
“ยังเลยครับ พี่ไม่รู้ว่าว่านกินแบบไหน”
“พี่วินล่ะกินเผ็ดได้ไหม”
“ได้พอประมาณถ้าอย่างนั้นลองสั่งแบบเผ็ดกลางดีไหมคะ”
“ได้ครับ”
“พี่วินกินส้มตำแบบไหน ตำปู ตำไทยหรือตำปลาร้าครับ”
“ของพี่ขอเป็นตำไทยเผ็ดกลางดีกว่านะ ส่วนอาหารอย่างอื่นว่านเขาสั่งให้พี่เลยแล้วกันนะครับ”
“ได้ค่ะเดี๋ยวว่านสั่งให้”
พิมพ์พริมาสั่งส้มตำไทยเผ็ดกลางให้กับภาวินท์หนึ่งจาน ส่วนของตัวเองนั้นเป็นส้มตำปูรสแซ่บ นอกเหนือจากนั้นก็ยังสั่งไก่ย่าง ยำคอหมูย่างและต้มแซ่บเอ็นแก้วมาอีกหนึ่งชาม
“พี่วินกินข้าวเหนียว ข้าวสวยหรือขนมจีนคะ” หญิงสาวหันมาถามส่วนตัวเธอนั้นสั่งขนมจีนกับพนักงานไปแล้ว
“ขอเป็นข้าวสวยก็แล้วกันครับ พี่ไม่ค่อยถนัดกินข้าวเหนียวเท่าไหร่”
ระหว่างรออาหารภาวินท์ก็ชวนพิมพ์พริมาคุย
“ปกติว่านมากินส้มตำที่นี่บ่อยไหมครับ”
“ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่หรอกค่ะเพราะเพื่อนว่านไม่ค่อยว่างมากินด้วยเท่าไหร่ จะมากินคนเดียวก็ไม่อร่อยค่ะ”
“ถ้าวันไหนอยากมากินอีกก็บอกพี่นะ บริษัทที่พี่ทำงานอยู่ใกล้ๆ นี่เองขับรถแป๊บเดียวก็ถึง”
“แล้วพี่วินล่ะกินส้มตำบ่อยไหม”
“ก็ไม่ค่อยบ่อยหรอกครับ เพื่อนพี่มีแต่ผู้ชายเขาไม่ค่อยชอบกินอาหารแบบนี้เท่าไหร่”
“นั่นสิคะเพื่อนผู้ชายของว่านก็ไม่ค่อยชอบกินอาหารพวกนี้เหมือนกัน”
“แต่พี่ว่าอาหารร้านนี้น่ากินมากๆ เลยนะ” เขามองอาหารพนักงานกำลังเอามาเสิร์ฟแล้วก็รู้สึกว่ามันน่ารับประทานมากอย่างที่พูดออกไป
“ร้านนี้อร่อยค่ะ เป็นร้านประจำของว่านเลย” หญิงสาวพูดแล้วตักส้มตำเข้าปาก
“ว่านอยู่หอพักที่นี่มานานแล้วเหรอ”
“ก็ตั้งแต่เรียนจบค่ะเกือบจะสี่ปีแล้ว”
“อยู่คนเดียวหรืออยู่กับเพื่อนล่ะ”
“อยู่คนเดียวค่ะ จริงๆ แล้วบ้านของว่านอยู่พิจิตรค่ะ”
“แล้วแบบนี้ได้กลับบ้านบ้างหรือเปล่าล่ะ”
“จะได้กลับก็ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวหลายวันๆ ค่ะ ถ้าหยุดแค่สองวันก็หมดเวลาเดินทางไปเกือบครึ่งวัน แล้วพี่วินล่ะบ้านอยู่แถวไหน”
“บ้านพี่อยู่ในกรุงเทพ แต่ตอนนี้พี่แยกมาอยู่คอนโดคนเดียวเพราะบางครั้งทำงานดึกกว่าจะกลับถึงบ้านก็เกรงใจพ่อกับแม่”
“แต่ก่อนว่านก็เคยคิดนะคะว่าจะซื้อคอนโดเป็นของตัวเองเพราะไหนๆ ก็ต้องจ่ายค่าเช่าหอพักรายเดือนอยู่แล้วแต่คิดไปคิดมาว่านกลัวตัวเองจะผ่อนไม่ไหวค่ะ”
“คอนโดเดี๋ยวนี้ก็มีหลายราคาถ้าว่านสนใจจริงๆ พี่จะช่วยดูให้เอาไหม”
“นั่นมันแต่ก่อนค่ะ แต่ตอนนี้ว่านอยู่หอพักแบบนี้ไปก่อนดีกว่าค่ะ ไม่รู้ว่าจะทำงานที่กรุงเทพอีกนานเท่าไหร่ แม่อยากให้ว่านกลับไปอยู่ด้วยค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามที่ตนเองคุยกับมารดาครั้งสุดท้ายซึ่งมารดาอยากให้เธอกลับไปทำงานที่บ้าน
“ถ้าว่านกลับไปอยู่กับแม่แล้วจะทำงานอะไรล่ะ หรือมีงานรออยู่ที่นั่นแล้ว”
“ถ้าต้องกลับไปอยู่กับแม่จริงๆ ก็คงต้องหางานใหม่หรือไม่ก็หากิจการอะไรเล็กๆ ทำค่ะ ตอนนี้ว่านยังทำงานอยู่ที่นี่ แม่ก็ต้องทำงานที่นั่น แต่อีกไม่กี่ปีแม่ก็จะเกษียณถึงตอนนั้นค่อยคิดอีกทีว่าจะพาแม่เข้ามาอยู่กรุงเทพและซื้อบ้านหลังเล็กๆ อยู่ด้วยกันหรือว่าจะย้ายกลับไปหาทำงานที่บ้าน”
“แต่พี่ว่าโอกาสในการทำงานและเงินเดือนในกรุงเทพน่าจะสูงกว่าต่างจังหวัดนะ”
“ว่านก็คิดแบบนั้นค่ะ แต่พอคิดว่าอีกหน่อยแม่ก็แก่และไม่มีใครคอยดูแลมันก็ทำให้ว่านลังเลค่ะ ช่วงนี้ที่แม่ยังแข็งแรงหรือไปทำงานได้ว่านก็เลยคิดว่าจะทำงานหาเงินให้เยอะๆ ค่ะถึงเวลาต้องย้ายกลับไปทำงานที่บ้านจะได้ไม่ต้องลำบากเท่าไหร่”
“ว่านอายุแค่ยี่สิบหกเองนะ แต่ความคิดโตเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมากๆ เลยนะครับ” ภาวินท์รู้สึกชอบกับความคิดของพิมพ์พริมาเพราะบางคนอายุมากกว่าเธอยังไม่คิดได้แบบนี้
“พี่วินกำลังจะบอกว่าว่านคิดเหมือนคนแก่ใช่ไหมคะ”
“พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” เขาพูดแล้วหัวเราะทำให้หญิงสาวทำหน้าคว่ำ
“แต่ความหมายมันก็คล้ายๆ กันนะคะ”
“พี่ไม่ได้ว่านะพี่ชมต่างหากว่าว่านมีความคิดโตเกินอายุ รู้จักวางแผนอนาคตของตัวเอง บางคนพี่เห็นอายุเกือบจะสามสิบแล้วยัง คิดไม่ได้เท่าว่านเลย”
“ว่านพูดเรื่องของว่านมาเยอะแล้ว ว่านขอถามวินมั่งได้ไหมคะ”
“ถามมาสิ อยากถามอะไรล่ะ”
“พี่วินเป็นวิศวกรมานานหรือยังคะ”
“ก็ตั้งแต่เรียนจบนะ”
“ทำงานแบบนี้คงเหนื่อยแย่นะคะ”
“งานทุกอย่างก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละครับ”
“ว่านเคยมีเพื่อนเป็นวิศวกร พวกเขาต้องออกไปดูไซต์งานและบางครั้งก็ต้องกลับเข้ามา ประชุมที่บริษัทอีกแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัวเลย”
“มันก็จริงอย่างที่ว่านพูดนั่นแหละ บางครั้งก็ต้องทำงานล่วงเวลาแต่เงินเดือนก็สูงพอสมควรทำให้หลายๆ คนยอมแลกกับมันไงล่ะ”
“รุ่นพี่ของว่างที่มีสามีเป็นวิศวกรชอบบ่นว่าสามีไม่ค่อยกลับบ้านหรือไม่กลับมาอีกทีก็เมากลับมาเพราะเอาแต่นั่งดื่มกับคนงานจนดึก”
“มันก็แล้วแต่คนนะว่าจะรู้จักบริหารเวลาหรือเปล่า อย่างพี่ถ้าช่วงไหนเหนื่อยๆ หลังเลิกงานก็มักจะไปดื่มกับเพื่อนแต่นั่นก็ต้องไม่กระทบกับงาน ส่วนใหญ่แล้วก็จะไปดื่มคืนวันศุกร์กับคืนวันเสาร์แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกไปกินเหล้ากับเพื่อนเท่าไหร่”
“ทำไมคะ”
“ช่วงนี้พี่ทำงานหนักมากๆ อยากนอนพักมากกว่า”
“แล้วว่านชวนพี่วินออกมากินส้มตำแบบนี้ทำให้พี่เสียเวลาพักผ่อนหรือเปล่า”
“พักผ่อนก็ส่วนพักผ่อน แต่คนเราก็ต้องกินด้วยขืนนอนอยู่ที่ห้องอย่างเดียวก็ได้หิวตายกันพอดีสิว่าน แล้วว่านล่ะทำงานตำแหน่งอะไรนะ”
“บัญชีค่ะ”
“เขาว่าคนทำงานแบบนี้จะละเอียดมากเลยใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องตัวเลขเรื่องเงินทองว่านไม่มีทางพลาดแน่ๆ”
ทั้งสองนั่งรับประทานและคุยกันจนเวลาผ่านไปนานเกือบสองชั่วโมง
“ให้พี่เดินไปส่งที่หอนะ”
“ใกล้แค่นี้ว่านเดินกลับเองได้ค่ะ พี่วินรีบกลับไปพักเถอะนะคะ”
“พรุ่งนี้ไปดูหนังกันดีไหม”
“พรุ่งนี้ว่านนัดกับเพื่อนไว้แล้วค่ะ”
“มีนัดกับเพื่อนจริงใช่ไหมครับ”
“ทำไมพี่วินถามแบบนั้นล่ะคะ”
“พี่กลัวว่านจะไม่อยากไปไหนกับพี่”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ เอาไว้เสาร์อาทิตย์หน้าดีไหมล่ะคะ”
“ตกลงครับ เดี๋ยวพี่โทรมานัดอีกทีนะว่าจะไปดูช่วงไหน”
“ได้ค่ะ ว่านไปก่อนนะคะ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ค่ะ อิ่มมากเลย” หญิงสาวพูดแล้วยิ้มก่อนจะข้ามถนนเดินกลับไปยังหอพักของตนเอง