บทที่5 l เข้าผับครั้งแรก
ฉันขึ้นห้องมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าอ่อน ๆ แค่ตบแป้งบาง ๆ และทาลิปกลอส ใส่เสื้อสายเดี่ยวสีม่วง กางเกงยีนส์สั่นจู๋แทบจะเห็นแก้มก้น แต่ก็ไม่ลืมใส่เสื้อโค้ทสีดำทับ ที่ใส่ทับก็เพราะฉันเป็นยากูซ่าแก๊งใหญ่แผ่นหลังเลยเต็มไปด้วยรอยสักสัญลักษณ์ของแก๊ง ก็แค่กลัวคนอื่นเห็นเข้าจะตกใจกันเปล่า ๆ อีกทั้งพี่นัตซึเองก็ยังไม่รู้เรื่องรอยสักด้วย
แต่งตัวเสร็จก็เดินลงมา ส่วนอีกสามคนก็ยืนรออยู่แล้ว
“&ดีที่จุนโกะแต่งตัวมิดชิด ไม่งั้นพี่คงหวงน้องสาวแย่”
อย่างมันเนี่ยนะจะหวงฉัน!! ไม่มีทางหรอก...
“&อย่าพูดมาก ไม่งั้นคนที่ต้องอยู่บ้านคือพี่”
“&ก็ได้ไม่พูดแล้ว เอาโทรศัพท์นี่ไว้ใช้สิ พี่เมมเบอร์ของพี่ไว้ให้แล้ว แค่กด1โทรออกได้เลย” พี่นัตซึยื่นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่มาให้ ฉันรับโทรศัพท์แล้วเสียบไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง
“&ไม่ดูข้างในหน่อยเหรอ นั่นไอโฟนรุ่นใหม่แพงที่สุดเลยนะ”
“&ไม่จำเป็น ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ ที่จะเล่นมือถือไม่เป็น”
“&โอเค พี่ผิดเองที่คาดหวังว่าน้องสาวจะดีใจ”
“&ถ้าพี่ยังไม่ไปอีก งั้นฉันไปก่อน”
"&เดี๋ยวสิ!! พี่ไม่พูดแล้วก็ได้ เอารถตู้ไปละกันเพราะไปกันเยอะ”
“&อืม”
ระหว่างทางเงียบมากไม่มีใครกล้าคุยอะไร พี่นัตซึเอาแต่นั่งกดมือถือ ส่วนฉันเองก็นั่งพักสายตา
-ถึงผับ tanoshi-
ผับใหญ่ของพ่อที่ให้พี่นัตซึเป็นคนดูแล ผับที่ฉันไม่เคยเหยียบมาก่อน ได้ยินแค่ชื่อที่พ่อมักพูดถึงบ่อย ๆ ว่าเป็นธุรกิจได้กำไรดีในไทย ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันกับอีแค่ขายเหล้าขายเบียร์จะได้เงินดีอะไรนักหนา
เพียงแค่ก้าวลงจากรถ เสียงดนตรีจากข้างในดังเล็ดลอดออกมาให้รำคาญหู แต่ใครจะไปคิดว่าที่แบบนี้กลับมีลูกค้าวัยรุ่นมากันเยอะ ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่กำลังยืนอออยู่หน้าประตูทางเข้า
“&มาไทยก็ต้องพูดไทย เข้าใจตรงกันนะ” พี่นัตซึไม่ได้พูดแค่กับฉัน แต่ยังส่งสายตาให้ริวกับเรียวจังด้วย
“&ได้”
“มาสิจุนโกะ เดินมาควงแขนพี่ไว้”
ฉันก้าวไปคล้องแขนพี่นัตซึอย่างว่าง่าย แล้วพากันเดินเข้าผับ มีแต่คนมองพวกเรา จะไม่มองได้ไงก็พี่ฉันเป็นคนดูแลผับนี้ ก็เปรียบเหมือนเป็นเจ้าของผับนั่นแหละ พี่นัตซึเดินพาฉันขึ้นมาชั้นสอง ตรงนี้ดูจะมีพื้นที่ว่างมากกว่าชั้นล่าง เพราะคนไม่เยอะเท่าไหร่ โต๊ะกระจกทรงกลมหลายตัวจัดเป็นแถวห่าง ๆ กันอย่างมีระเบียบ เก้าอี้เป็นเบาะหนังอย่างดี ผิดกับชั้นล่างที่เป็นแค่ตัวกลมธรรมดา
“เฮ้ย!! ไอ้นัต” มีผู้ชายแปลกหน้าที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในสุดทักขึ้น พี่นัตซึยกมือรับพร้อมกับส่งยิ้มให้ ก่อนจะพาฉันเดินไปที่โต๊ะนั้น ให้เดา...ก็คงเป็นเพื่อน ๆ มันนั่นแหละ
มาถึงโต๊ะ สิ่งแรกที่ฉันทำคือการกวาดสายตามองพวกผู้ชายที่นั่งอยู่ แต่ละคนหน้าตาคุ้น ๆ และเมื่อเพ่งให้ดี ก็ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ ก็ไอ้พวกนี้แหละที่เจอเมื่อตอนบ่ายในบ้านพี่นัตซึ
“หึ!!” ฉันถึงกับหันหน้าไปทางอื่นด้วยความเอือมระอา
“มาช้าว่ะ นี่พาน้องมึงมาด้วยเหรอ เอ๊ะ! หน้ามึงไปโดนอะไรมาวะ” ชายคนหนึ่งเอ่ยถามพร้อมกับชี้แก้มพี่นัตซึ
“อย่าบอกนะ...ว่าใครทำอะไรมึง” ชายอีกคนเอ่ยเสริม แต่สายตาทุกคนกับหันมาจ้องฉัน
หึ! ถ้ารู้ว่าแผลนั่นฉันเป็นคนทำ อยากรู้จริง ๆ ว่าพี่ชายตัวดี จะเอาหน้าไปไว้ไหน
และเหมือนเจ้าตัวจะกลัวฉันพูดอะไรออกไป เลยรีบแกะมือที่ฉันควงอยู่ออก ยกสองมือขึ้นสะบัดไปมาเป็นการปฏิเสธ
“ใครจะมาทำกูได้ กูก็แค่หกล้มเท่านั้นแหละ” พี่นัตซึตอบเสียงสูง ไม่กล้าหันมาสบตากันหรอก
“แล้วไป” ชายคนเดิมหันไปพูดกับกลุ่มเพื่อน ๆ แล้วพี่นัตซึก็เอ่ยต่อ
“กูฝากน้องแป๊บ เดี๋ยวกูมา” เอ่ยจบตัวปัญหาก็หันมาทางฉัน
“รอที่โต๊ะนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปสั่งงานลูกน้องชั้นบน แล้วจะรีบลงมา”
“อืม”
ได้ยินคำตอบรับเสร็จ พี่นัตซึก็แสยะยิ้มแล้วเดินไปทางบันได ส่วนพวกเราสามคนเลยต้องนั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มคนพวกนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในคนที่นั่งอยู่เลื่อนเก้าอี้ด้านข้างให้ขยับไปใกล้เขา พร้อมผายมือบอกเป็นนัยให้ฉันไปนั่ง แต่ฉันเลือกหันไปทางริว แค่พยักหน้าเบา ๆ ริวก็รู้ความหมาย รีบไปยกเก้าอี้ตัวอื่นไปวางตรงโต๊ะอีกฝั่ง ฉันเลือกเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ริวจัดไว้ ทั้งโต๊ะได้แต่มองฉันโดยไม่พูดอะไร
ในตอนนั้นผู้ชายวัยรุ่นใส่เสื้อกั๊กสีแดงเดาว่าคงเป็นเด็กเสิร์ฟ เพราะใส่แบบฟอร์มเหมือนกันอยู่หลายคน เดินถือขวดอะไรมาเยอะแยะ มีทั้งน้ำสีใสขวดเย็น ๆ น้ำอัดลมที่ฉันพอจะรู้จัก เหยือกน้ำแข็ง แก้วเปล่าสามใบ และที่สำคัญมีเหล้าขวดใหญ่มาด้วย การที่ฉันไม่เคยเข้าผับ นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่รู้จักเหล้า ทั้งบรั่นดี ไวน์ เหล้า แต่ละยี่ห้อแต่ละแบรนด์ฉันรู้จักเป็นอย่างดี เพราะในตู้โชว์ที่บ้านญี่ปุ่น มีของพวกนี้ตั้งโชว์แผ่หลาอยู่ในห้องรับแขก
“เฮียให้เอามาเสิร์ฟครับ”
“ขอบใจมาก” ฉันเอ่ยเสียงเรียบ เด็กเสิร์ฟส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกไป ฉันหันไปถามเรียวจังทันที
“เฮียคืออะไร?”
“เป็นคำจากคนจีนใช้เรียกพี่ชายหรือหัวหน้าอะไรแบบนี้”
“เออ พี่กูมีเชื้อจีนเหรอวะ” ฉันถึงกับต้องสบถออกมาเป็นคำหยาบ เพราะเดาไม่ออกจริง ๆ ว่าพี่ชายตัวเองทำไมถึงให้คนอื่นเรียกแบบนั้น
“คุณหนูจะดื่มอะไรครับ” ริวถามแทรกขึ้น
“เอาน้ำเปล่าดีกว่า ไม่อยากกินเหล้า” ฉันตอบริวจบ ก็หันไปมองชั้นล่าง ที่ตอนนี้รู้สึกคนจะเยอะกว่าเดิม มีทั้งชายหญิงที่กำลังเต้น บ้างก็ร้องเพลงแหก บ้างนั่งดื่มนั่งคุยกัน ทุกคนล้วนแต่กำลังสนุกสนาน ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะชอบใจ จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าไอ้ที่แบบนี้น่ะเหรอ ‘มันเรียกว่าสนุก’
“เฮ้อ...นี่เหรอที่พี่นัตซึมาดูแล มันไม่น่าสนุกสักนิด” ฉันบ่นเบา ๆ แล้วหันกลับไปนั่งดื่มน้ำเปล่าที่ริวเตรียมไว้ให้ พลางกวาดสายตามองคนรอบ ๆ
พวกเพื่อนพี่นัตซึหันมาแซวมาชวนคุยบ้าง แต่ฉันเลือกที่จะเงียบไม่คุยกับใคร เพราะจริง ๆ ไม่อยากเสวนากับคนแปลกหน้า ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นเพื่อนพี่ชายก็ตาม เลยแสร้งนั่งทำเป็นใจลอย ตัดปัญหาให้พวกมันไม่ต้องหันมาคุยกับฉันอีก
สักพักพี่นัตซึก็กลับมาที่โต๊ะ พร้อมกับผู้ชายแปลกหน้าสามคนกับผู้หญิงอีกสามคนที่ควงกันมาเป็นคู่ ๆ
“เฮ้ย ๆ คืนนี้เทพบุตรมาเฟียมากันครบเลยวุ้ย” ผู้ชายหนึ่งในที่นั่งร่วมโต๊ะเอ่ยขึ้นเสียงดัง ทำให้ทุกสายตาต่างหันไปมองคนมาใหม่
“กูโทรเรียกมาเองเว้ย ถือว่าคืนนี้กูเลี้ยงต้อนรับน้องสาวกู” พี่นัตซึหันมามองหน้าฉันในขณะที่กำลังเอ่ยตอบพวกเพื่อน ๆ แล้วหันไปสั่งเด็กเสิร์ฟให้ต่อโต๊ะเพิ่ม เลื่อนเก้าอี้ว่าง ๆ มานั่งติดฉัน
“พี่จะแนะนำให้รู้จักนะ นี่เลโอ นี่เคนและนี่จ้าวนาย” พี่นัตซึชี้แนะนำทีละคน ที่กำลังนั่งเก้าอี้ตัวถัดไปจากตัวเอง
เอาจริงฉันไม่ได้สนใจหรอกว่าใครชื่ออะไร เพราะคนพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องจำชื่อให้รกสมอง อีกอย่าง...เมื่อกี้มีคนเอ่ยว่า ‘มาเฟีย’ ดูสภาพสามคนนี้สิ หน้าตาธรรมดาจะตาย ไม่มีรังสีอำมหิต ออกจืด ๆ ใส ๆ ด้วยซ้ำ ดีไม่ดีจับปืนเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ คำว่ามาเฟียก็คงตั้งไว้อวดบารมีตัวเองละมั้ง น่าตลกชะมัด...
“และนี่เด็กพี่เองชื่อเชอร์รี่” พี่นัตซึคว้าผู้หญิงคนหนึ่งหน้าสวย ๆ หุ่นดี ๆ มานั่งตัก พลางยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ คงคิดว่าตัวเองหล่อมาก จนลืมไปแล้วว่าแก้มยังเป็นแผลอยู่
“ระวังไว้เหอะ เป็นเชอร์รี่ก็อย่าให้กลายเป็นหนอนก็แล้วกัน” ฉันหันไปมองผู้หญิงคนนั้น แวบแรกที่เห็นหน้า ฉันก็รู้สึกไม่ถูกชะตา แถมยังรู้สึกทะแม่ง ๆ ขึ้นมาอีก
“พูดงี้ได้ไงวะ เฮียดูน้องเฮียดิ” ผู้หญิงคนนั้นจิกปากจิกคอหันไปฟ้องพี่นัตซึ แต่ดูเหมือนหล่อนจะถูกเมิน เพราะพี่ชายฉันทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด หันไปสั่งเด็กเสิร์ฟชงเหล้าแทน
“ดีครับ น้องชื่ออะไรเหรอ” มีผู้ชายคนหนึ่งที่พี่นัตซึพึ่งแนะนำชื่อไป หันมาถาม แต่ฉันไม่ตอบ หยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ พลางจ้องหน้าเขา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูดี ผมรองทรงสีน้ำตาล ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเลือดหมู ไม่มีรอยสักตามตัว ผิดกับกลุ่มเพื่อนพี่นัตซึที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ก่อน จะบอกว่าอยู่กันคนละระดับก็ว่าได้
“เฮียนัตต้องให้น้องสาวพี่ขอโทษเชอร์รี่นะคะ” เสียงออดอ้อนทำให้ฉันละสายตาจากชายคนนั้น หันไปมองหล่อนแทน และพี่นัตซึจะรู้ตัวด้วยว่าฉันเริ่มไม่สบอารมณ์ เลยหันมาแสยะยิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับผู้หญิงบนตัก
“เงียบ ๆ ไว้เชอร์รี่ ถ้าไม่อยากมีเรื่อง ช่วยหุบปากสวย ๆ ก่อน”
“เฮียนัต!!” หน้าสวย ๆ ตอนนี้กลายเป็นแง่งอน นั่งกอดอกแทน แล้วพี่นัตซึก็หันไปพูดเปลี่ยนเรื่องกับเพื่อนต่อ
“กูลืมบอกนี่น้องสาวกูชื่อจุนโกะ” ทุกสายตาหันมามองหน้าฉัน โดยเฉพาะผู้ชายสามคนเมื่อครู่ ที่ตอนนี้กำลังยกยิ้มเป็นมิตรส่งให้อยู่ “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ เรียกพี่ว่าพี่เลโอก็ได้”
“หึ!!” ฉันทำเสียงในลำคอ นั่งกอดอกสะบัดหน้าพรืดไปทางอื่น
“เอาหน่า ๆ พวกเรามาสนุกกันนะเว้ย คืนนี้พวกมึงสั่งได้เต็มที่ กูเลี้ยงเอง”
“เย้ ๆ ๆ” ทันใดนั้นเสียงไชโยโห่ร้องก็ดังก้องไปทั้งชั้นสองคนอื่นต่างทำหน้าดีใจ บ้างก็ปรบมือ บ้างก็เคาะโต๊ะ แต่ไม่ใช่กับผู้ชายสามคนที่มาใหม่ พวกเขาได้แต่นั่งนิ่ง และมีผู้ชายอีกคนหันมาถามฉัน
“น้องจุนโกะกินน้ำเปล่าไม่กินเหล้าเหรอครับ” คนนี้ตัวขาวกว่า ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเหมือนกัน ตาชั้นเดียว ใส่เสื้อยืดแบรนด์หรูสีน้ำเงิน สวมสร้อยสแตนเลสเส้นหนาเหมือนพวกฮิปฮอปถามด้วยเสียงเรียบ ใบหน้ายิ้มนิด ๆ ส่วนฉันก็เลือกไม่ตอบเช่นกัน
“เรียกพี่ว่าพี่เคนก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องจุนโกะ” ภายใต้รอยยิ้มนั่น คงหวังอย่างอื่นมากกว่าคำพูดตอบรับของฉัน
และวินาทีนั้น!!
“สงสัยน้องไอ้นัตเป็นใบ้ว่ะ” ผู้ชายอีกคนที่ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีดำ เอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้มารยาท ฉันถึงกลับหันไปมองเขา ทำเสียงในลำคอ หึ! ก่อนจะสะบัดหน้าหันไปอีกทาง
“เดี๋ยวกูโบกให้หรอกไอ้จ้าวนาย น้องกูไม่ได้เป็นใบ้เว้ย แค่เลือกคุยกับคน” พี่นัตซึเป็นคนตอบแทน ต่อให้พี่ไม่แก้ตัวให้...ฉันก็ไม่สนหรอกว่าผู้ชายคนนั้นจะคิดกับฉันยังไง จะใบ้หรือไม่ใบ้ก็ไม่ได้หนักหัวเขาจริงไหม?
แต่ก็พึ่งมีคนกล้าเรียกฉันแบบนั้น รู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้หมอนี่เอาสะเลย หวังว่าคงไม่ต้องเกี่ยวข้องกับมันอีก
ทันใดนั้น!!
กริ๊ง..กริ๊ง!!
