บทที่ 4
หลังจากเป็นนางฟ้าในวงเหล้าให้ลูกค้ามาทั้งคืนแล้ว เช้านี้ฉันก็กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง โหนรถเมล์กลับบ้าน นั่งวินมอเตอร์ไซต์เข้าซอยเหมือนเช่นทุกวัน จริง ๆ แล้วฉันสามารถย้ายออกจากชุมชนแออัดแห่งนี้ได้ทุกเมื่อ ไปเช่าหอพักอยู่อย่างสบาย ๆ แต่ทว่าความผูกพันกับบ้านไม้หลังเก่า ๆ ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้ากลับทำให้ฉันยังคงลังเลใจ
ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้ป้าข้างบ้านเจ็บช้ำน้ำใจหนักหนา เพราะทุกครั้งที่กลับมาจะได้ยินคำพูดเหน็บแนมให้ระคายหู แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ คิดเสียว่าเป็นเสียงนกเสียงกาเท่านั้น
“กว่าจะกลับมาได้เนาะ คงรับแขกไปเป็นสิบแล้วมั้งแกว่าไหมนังแดง”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้นล่ะนังสมัย อีกหน่อยคงท้องไม่มีพ่อ หรือไปเป็นเมียน้อยคนอื่นแหงๆ อย่างนี้ล่ะลูกไม่มีพ่อแม่สั่งสอน”
ว่าแล้วป้าทั้งสองก็ขำยกใหญ่ ถึงฉันจะชินแต่ทำไมต้องทนให้พวกเขาด่าด้วยล่ะ ในเมื่อเราก็มีปากเหมือนกัน
“ถ้าจะว่ากันก็เอ่ยชื่อมาตรง ๆ ไม่ต้องตอแหลทำเป็นพูดกันเองหรอกป้า”
“เอ๊ะ! อีวามึงว่าใครวะ”
“ก็ว่าป้าสองคนนั่นล่ะ หนูไปทำอะไรให้นักหนา ไม่เบื่อหรือไงที่ต้องมาเสือกเรื่องของชาวบ้านอย่างนี้ทุกวัน”
“อีวามึงชักจะมากไปแล้วนะ นี่กูรุ่นยายมึงเชียวนะ”
“รู้ตัวว่าแก่แล้วทำไมไม่ทำตัวให้น่านับถือล่ะคะคุณยาย เอาเวลาไปเช็ดน้ำหมากดีกว่ามาเสือกเรื่องของคนอื่นเถอะ”
“อีบ้า! อีลูกไม่มีพ่อแม่สั่งสอน อีกะหรี่ อีผู้หญิงชั้นต่ำ”
นั่นคือเสียงก่นด่าที่ดังเข้ามาเป็นระลอก แม้ว่าฉันจะเข้ามาในบ้านแล้วก็ยังคงได้ยินชัดเจน สิ่งแวดล้อมอย่างนี้ล่ะถึงทำให้ฉันมีความคิดอยากจะย้ายออกไป รอให้ทุกอย่างโอเคก่อนเถอะฉันจะไม่อยู่ให้คนพวกนี้ว่าให้อีกแล้ว ไม่ได้กลัวแต่รู้สึกรำคาญมากกว่า
ทุกครั้งที่เข้ามาในบ้านฉันจะทักทายพ่อกับแม่ ในรูปถ่ายที่ติดอยู่บนผนังไม้เก่า ๆ ท่านทั้งสองยังคงยิ้มให้ฉันตลอดเวลาราวกับไม่ได้จากไปไหน มองผ่านประตูหลังบ้านไปก็จะเห็นคลองน้ำสีเขียวที่มีขยะจากลอยเกลื่อนจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากการขาดจิตสำนึกของคนในชุมชน โดยที่ทางการเองก็ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออะไรเลย
“พ่อจ๋า แม่จ๋า ความฝันของหนูใกล้จะเป็นจริงแล้วนะ อีกนิดเดียวหนูก็จะมีเงินพอดาวน์บ้านได้แล้ว”
ฉันยืนยิ้มให้ท่านทั้งสองอย่างมีความหวัง เห็นรูปนี้ทีไรทำให้ฉันมีแรงฮึดสู้กับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว
จำได้ว่าตอนนั้นเราสามคนพ่อแม่ลูกนั่งซ้อนมอเตอร์ไซต์ กำลังจะไปซื้อของเพื่อทำข้าวแกงขาย แต่ระหว่างทางมีรถเบนซ์คันหรูวิ่งสวนเลนส์เข้ามาประสานงา จนทำให้พ่อกับแม่ฉันเสียชีวิตคาที่ ส่วนฉันโชคดีที่ยังรอดชีวิตมาได้
หน่วยงานรัฐเห็นว่าฉันไม่มีญาติที่ไหนจึงตั้งใจจะพาไปอยู่บ้านเด็กกำพร้า แต่ฉันไม่ยอมและขอกลับมาใช้ชีวิตอยู่บ้านเหมือนเดิม เมื่อพวกเขาเห็นว่าฉันช่วยเหลือตัวเองได้จึงยอมตกลง จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็ผ่านมาเกือบสิบห้าปีแล้ว
“ถ้ามีโอกาสหนูจะแก้แค้นให้พ่อกับแม่เองนะคะ ต่อให้พวกมันรวยล้นฟ้าก็ไม่มีทางหนีกรรมที่ก่อไว้ได้แน่นอน”
นั่นคือคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับท่านทั้งสอง ที่เป็นอย่างนั้นเพราะศาลตัดสินให้คนพวกนั้นพ้นผิดทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายวิ่งข้ามเลนส์มา คงไม่พ้นเรื่องการยัดเงินใต้โต๊ะ เพราะคนที่ขับรถคันนั้นรวยระดับมหาเศรษฐี
Rrrrr….
ยังไม่ได้หย่อนก้นลงที่พื้นเลยสักนิด เสียงมือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน ฉันรีบล้วงกระเป๋าหยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารออกมา หน้าจอโชว์หราชื่อคนที่เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อคืนนี้ ‘ภาคิน’
“ฮัลโลค่ะพี่”
(เก็บของเสร็จรึยังเดี๋ยวพี่ไปรับ)
“เพิ่งมาถึงยังไม่ได้นั่งเลยค่ะพี่ จะรีบไปไหนคะ”
(เราอยู่แถวไหนเดี๋ยวพี่ไปรับ)
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวหนูไปเอง พี่ส่งโลเคชั่นมาให้ก็ได้”
(เอางั้นเหรอ)
“ใช่ค่ะ”
(ถ้างั้นรีบมาหน่อยนะ เดี๋ยวแฟนพี่ก็จะมาห้องแล้ว)
“โอเคค่ะ หนูเก็บของแล้วจะรีบไป”
(แล้วเจอกันครับ)
ตู๊ด ๆ ๆ
วางสายแล้วฉันก็แยกเขี้ยวใส่หน้าจอ ไม่รู้ว่าเขาคิดได้ยังไงที่จ้างฉันมาเป็นเมียน้อย ในขณะที่เมียเขามีคนอื่นแสดงว่าหมดรักแล้ว ยิ่งมารู้ว่ามีเมียน้อยใครจะกลับมาล่ะ ไม่มีทาง!!!