บทนำ
เสียงจอแจเซ็งแซ่ดังเป็นระยะจากการรวมตัวของบรรดาหนุ่มสาวในชุดนักศึกษาภายในห้องเรียนขนาดเล็กซึ่งจุคนได้ประมาณห้าสิบคน ทว่า เวลานี้ แม้จะมีเพียงยี่สิบคน ก็ให้รู้สึกว่า กำแพงผนังห้องแทบจะปริร้าวเพราะเสียงตะโกนโหวกเหวกและวี้ดว้ายของทั้งนักศึกษาหญิงและชายที่กำลังเสวนาพาทีกันอย่างออกรสในวันเปิดภาคเรียนวันแรกเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีเพื่อนเข้ามาใหม่กลุ่มเพื่อนที่ทำการจองโต๊ะไว้ให้ก็จะโบกไม้โบกมือ ตะโกนเรียก บ้างก็เดินขึ้นไปกึ่งลากกึ่งจูงให้เข้ากลุ่มกันชุลมุนวุ่นวาย
ท่ามกลางความอลเวงที่บังเกิดขึ้นในเช้าของวันนี้ มุมหนึ่งของห้องที่อาจจะกล่าวว่า มันคือ ‘หลังห้อง’ ปรากฏร่างบอบบางในชุดนักศึกษานั่งนิ่งสงบขณะมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในห้องเรียน เจ้าหล่อนไม่มีกะจิตกะใจจะทักทายใคร จะมีบ้างที่บางคนหันมาส่งยิ้มทักทาย ทว่าสิ่งที่ได้รับก็เพียงแค่รอยยิ้มเนือยๆ กลับไปเท่านั้น และคนเหล่านั้นก็มิใคร่ที่จะสนทนาอะไรกับเธอนัก ต่างคนก็ต่างสนใจแต่กับเพื่อนของตนเสียมากกว่า ขณะที่เธอได้แต่นั่งอยู่เงียบๆ ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะเธอมิได้มีเพื่อนไว้คอยพูดคุยเฉกเช่นคนอื่น
ใช่...เธอไม่มีเพื่อนในชั้นเรียนนี้ เพราะเพื่อนของเธอนั้นพากันเรียนจบและรับปริญญาไปกันหมดแล้ว คงมีแต่เธอที่ยังมีพันธะกับวิชาที่ยังไม่ได้เรียน และเป็นวิชาบังคับ ซึ่งหากไม่เรียน อย่าหวังว่าจะจบ หนึ่งในนั้นคือวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่ ซึ่งเป็นวิชาที่ทำให้เธอต้องมานั่งอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าจริงๆ แล้ว วิชานี้เป็นวิชาที่เปิดสอนสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 3 แต่...อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เธอไม่อาจเรียนวิชานี้ได้ เธอดรอปเรียนเพื่อไปสะสางเรื่องราวต่างๆ จนเข้าที่เข้าทาง เมื่อกลับมาเรียนใหม่ ก็จงใจเก็บวิชานี้ไว้ตัวสุดท้าย เพราะต้องการเรียนกับเพื่อนร่วมรุ่นในวิชาบังคับตัวอื่นให้จบสิ้นเสียก่อน ด้วยความคิดที่ว่า ถึงอย่างไร เธอก็ไม่สามารถจบพร้อมเพื่อนได้อยู่ดี แถมวิชาบังคับของภาคประวัติศาสตร์ก็มักจะเปิดคอร์สแค่เพียงปีละครั้งและไม่มีการเปิดคอร์สช่วงซัมเมอร์ ทำให้เธอซึ่งมีภาระหน้าที่ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตไม่สามารถทุ่มเทให้กับการเรียนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างเช่นวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่นี้ จะเปิดคอร์สเพียงปีละครั้ง เมื่อดรอปหรือไม่สามารถลงเรียนในเทอมที่เปิดสอนได้ เท่ากับว่าจะต้องรอไปอีกหนึ่งปีการศึกษาเต็มๆ
“อาจารย์มาแล้วพวกแก” เสียงนักศึกษาหญิงคนหนึ่งส่งสัญญาณบอกเมื่อเจ้าหล่อนชะโงกหน้าไปหน้าห้องและเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาผ่านกระจกเล็กๆ ที่อยู่กึ่งกลางประตู เสี้ยววินาทีต่อมา เธอก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ จากนักศึกษาสาวแท้และสาวเทียมเมื่อได้เห็นดวงหน้าของอาจารย์ ‘คนใหม่’ ที่มารับหน้าที่สอนวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่แทนอาจารย์คนเก่าที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว
เธอพยายามเพ่งมองด้วยความอยากรู้เสียเหลือเกินว่า อาจารย์คนใหม่หน้าตาจะหล่อเหลาขนาดไหนกันถึงทำให้นักศึกษากระดี๊กระด๊ากันขนาดนี้ แต่เพียงแค่ประตูห้องเรียนเปิดออกและเจ้าของร่างสูงสมาร์ทในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสีดำทรงสุภาพย่างก้าวเข้ามา วินาทีนั้นเองที่ใจเธอกระตุก ไม่สิ ไม่ใช่กระตุก แต่มันดิ่งวูบชาไปจนถึงปลายเท้า ยามเมื่อพิศมองดวงหน้าคมสันของอาจารย์คนใหม่ได้ชัดเต็มตา
‘อาจารย์ด็อกเตอร์ชินภัทร สุทธิกรกุล’
วูบหนึ่งที่เธอนึกอยากจะหายตัวไปจากห้องเรียนเสียเดี๋ยวนี้ ไปให้ไกลก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมาแล้วเห็นว่าเธอนั่งอยู่ที่นี่ เพราะมันไม่ควรเป็นเวลาที่เขากับเธอจะต้องมาเจอกัน ไม่ควรเลยจริงๆ เธออยากจะปฏิเสธว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่เขา ไม่ใช่คนที่เธอ ‘เคย’ รู้จัก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า ผู้ชายตรงหน้าคือเขาจริงๆ ผู้ชายที่เธอรู้จักเพียงแค่ชื่อและหน้าตา และสาบานได้เลยว่า ถ้าเธอรู้นามสกุลของเขาสักนิด เธอจะไม่ลงเรียนวิชานี้เป็นอันขาด แต่ครั้นจะถอนวิชานี้ออกก็ไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นวิชาบังคับ หญิงสาวถอนหายใจหนักๆ เมื่อตระหนักแล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็ต้องเรียนกับเขาอยู่ดี มิเช่นนั้น เธอก็จะเรียนไม่จบ
เอาเถอะ...เป็นไงเป็นกัน ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็ต้องเผชิญหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป
‘ยิ้มสู้เข้าไว้เถอะยัยรตา!’ เจ้าหล่อนนึกให้กำลังใจตัวเอง
“เดี๋ยวผมขอเช็คชื่อก่อนนะครับ” เสียงห้าวเอ่ยเรียบๆ และเริ่มอ่านชื่อจากใบรายชื่อที่พิมพ์มาพลางก็เงยหน้ามองนักศึกษาเจ้าของชื่อแค่ละคน โชคดีที่ภาควิชานี้คนเรียนไม่มาก ทำให้เขาไม่ต้องยุ่งยากกับการจดจำใบหน้าและชื่อของนักศึกษาแต่ละคน
อย่างว่าล่ะ...ประวัติศาสตร์ คนเรียนน้อย ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้ว คงไม่มีใครเลือกเรียนภาควิชานี้เป็นอันดับต้นๆ จะมีสักกี่คนกันที่เลือกเป็นอันดับหนึ่งในคราวที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย...
“สุทธิวัฒน์ อังคณา พิมพ์ประไพ และ...” ชินภัทรชะงักไปเล็กน้อย ตาสีนิลคมกล้าเหลือบมองนักศึกษาเล็กน้อยสลับกับมองรายชื่อสุดท้ายที่ปรากฏในใบรายชื่อ...ชื่อที่เหมือนกับใครบางคน ใครบางคนที่เขารู้สึกว่าชื่อของเธออาจไม่ได้แปลกไปจากชาวบ้านชาวช่อง หากก็ฟังแล้วติดหูและจำง่ายเหลือเกิน “รตา”
สิ้นเสียงเรียกนั้น เจ้าของชื่อที่นั่งแอบอยู่หลังห้องด้วยใจสั่นระรัวที่ไม่รู้ว่ามันสั่นเพราะอะไรกันแน่ก็ค่อยๆ ชูมือขึ้นกลางอากาศ อาการชะงักของเขาเมื่อครู่ บอกชัดว่า เขาจะต้องสะดุดกับชื่อของเธอเป็นแน่
รตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจก่อนที่เสียงหวานใสเจือสั่นน้อยๆ จะขานรับ
“ค่ะ”
และวินาทีแห่งการเผชิญหน้าก็เริ่มต้นขึ้น!