บทย่อ
เรื่องราวระหว่างเธอกับเขา มันเป็นเพียงอุบัติเหตุ... อุบัติเหตุที่เริ่มต้นมาจาก...ยาเสียสาว... แต่กลับเป็นอุบัติเหตุที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน รตา...ไม่คิดมาก่อนว่า โชคชะตาจะเล่นตลก ลิขิตให้เธอต้องโคจรมาพบกับเขาอีก ในเมื่อหลังจากคืนอันเเสนเร่าร้อนคืนนั้น เธอก็เลือกที่จะหายไปจากชีวิตเขาตลอดกาล ชินภัทร...ไม่คิดเหมือนกันว่า หลังจากค่ำคืนแสนรัญจวนใจคืนนั้น จะทำให้เขากลายเป็น 'พ่อ' คนโดยที่เขาไม่รู้ตัว ไม่สิ...ต้องเรียกว่า ไม่เคยได้รับรู้เลยถึงจะถูก เหอะ...งานนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะต้องทวงสิทธิ์ความเป็น 'พ่อ' ของยัยหนู 'แก้วตา' มาให้จงได้ แม้ว่าคนเป็น 'แม่' จะไม่ยินยอมก็ตามที และไม่ใช่แค่คำว่าพ่อนะที่เขาจะทวงคืน เพราะงานนี้ เขาจะทวงสิทธิ์ความเป็น 'สามี' จากเธอด้วยเช่นกัน
บทนำ
เสียงจอแจเซ็งแซ่ดังเป็นระยะจากการรวมตัวของบรรดาหนุ่มสาวในชุดนักศึกษาภายในห้องเรียนขนาดเล็กซึ่งจุคนได้ประมาณห้าสิบคน ทว่า เวลานี้ แม้จะมีเพียงยี่สิบคน ก็ให้รู้สึกว่า กำแพงผนังห้องแทบจะปริร้าวเพราะเสียงตะโกนโหวกเหวกและวี้ดว้ายของทั้งนักศึกษาหญิงและชายที่กำลังเสวนาพาทีกันอย่างออกรสในวันเปิดภาคเรียนวันแรกเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีเพื่อนเข้ามาใหม่กลุ่มเพื่อนที่ทำการจองโต๊ะไว้ให้ก็จะโบกไม้โบกมือ ตะโกนเรียก บ้างก็เดินขึ้นไปกึ่งลากกึ่งจูงให้เข้ากลุ่มกันชุลมุนวุ่นวาย
ท่ามกลางความอลเวงที่บังเกิดขึ้นในเช้าของวันนี้ มุมหนึ่งของห้องที่อาจจะกล่าวว่า มันคือ ‘หลังห้อง’ ปรากฏร่างบอบบางในชุดนักศึกษานั่งนิ่งสงบขณะมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในห้องเรียน เจ้าหล่อนไม่มีกะจิตกะใจจะทักทายใคร จะมีบ้างที่บางคนหันมาส่งยิ้มทักทาย ทว่าสิ่งที่ได้รับก็เพียงแค่รอยยิ้มเนือยๆ กลับไปเท่านั้น และคนเหล่านั้นก็มิใคร่ที่จะสนทนาอะไรกับเธอนัก ต่างคนก็ต่างสนใจแต่กับเพื่อนของตนเสียมากกว่า ขณะที่เธอได้แต่นั่งอยู่เงียบๆ ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะเธอมิได้มีเพื่อนไว้คอยพูดคุยเฉกเช่นคนอื่น
ใช่...เธอไม่มีเพื่อนในชั้นเรียนนี้ เพราะเพื่อนของเธอนั้นพากันเรียนจบและรับปริญญาไปกันหมดแล้ว คงมีแต่เธอที่ยังมีพันธะกับวิชาที่ยังไม่ได้เรียน และเป็นวิชาบังคับ ซึ่งหากไม่เรียน อย่าหวังว่าจะจบ หนึ่งในนั้นคือวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่ ซึ่งเป็นวิชาที่ทำให้เธอต้องมานั่งอยู่ในห้องนี้ แม้ว่าจริงๆ แล้ว วิชานี้เป็นวิชาที่เปิดสอนสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 3 แต่...อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้เธอไม่อาจเรียนวิชานี้ได้ เธอดรอปเรียนเพื่อไปสะสางเรื่องราวต่างๆ จนเข้าที่เข้าทาง เมื่อกลับมาเรียนใหม่ ก็จงใจเก็บวิชานี้ไว้ตัวสุดท้าย เพราะต้องการเรียนกับเพื่อนร่วมรุ่นในวิชาบังคับตัวอื่นให้จบสิ้นเสียก่อน ด้วยความคิดที่ว่า ถึงอย่างไร เธอก็ไม่สามารถจบพร้อมเพื่อนได้อยู่ดี แถมวิชาบังคับของภาคประวัติศาสตร์ก็มักจะเปิดคอร์สแค่เพียงปีละครั้งและไม่มีการเปิดคอร์สช่วงซัมเมอร์ ทำให้เธอซึ่งมีภาระหน้าที่ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตไม่สามารถทุ่มเทให้กับการเรียนได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างเช่นวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่นี้ จะเปิดคอร์สเพียงปีละครั้ง เมื่อดรอปหรือไม่สามารถลงเรียนในเทอมที่เปิดสอนได้ เท่ากับว่าจะต้องรอไปอีกหนึ่งปีการศึกษาเต็มๆ
“อาจารย์มาแล้วพวกแก” เสียงนักศึกษาหญิงคนหนึ่งส่งสัญญาณบอกเมื่อเจ้าหล่อนชะโงกหน้าไปหน้าห้องและเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินตรงมาผ่านกระจกเล็กๆ ที่อยู่กึ่งกลางประตู เสี้ยววินาทีต่อมา เธอก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดเบาๆ จากนักศึกษาสาวแท้และสาวเทียมเมื่อได้เห็นดวงหน้าของอาจารย์ ‘คนใหม่’ ที่มารับหน้าที่สอนวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่แทนอาจารย์คนเก่าที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว
เธอพยายามเพ่งมองด้วยความอยากรู้เสียเหลือเกินว่า อาจารย์คนใหม่หน้าตาจะหล่อเหลาขนาดไหนกันถึงทำให้นักศึกษากระดี๊กระด๊ากันขนาดนี้ แต่เพียงแค่ประตูห้องเรียนเปิดออกและเจ้าของร่างสูงสมาร์ทในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสีดำทรงสุภาพย่างก้าวเข้ามา วินาทีนั้นเองที่ใจเธอกระตุก ไม่สิ ไม่ใช่กระตุก แต่มันดิ่งวูบชาไปจนถึงปลายเท้า ยามเมื่อพิศมองดวงหน้าคมสันของอาจารย์คนใหม่ได้ชัดเต็มตา
‘อาจารย์ด็อกเตอร์ชินภัทร สุทธิกรกุล’
วูบหนึ่งที่เธอนึกอยากจะหายตัวไปจากห้องเรียนเสียเดี๋ยวนี้ ไปให้ไกลก่อนที่ชายหนุ่มจะหันมาแล้วเห็นว่าเธอนั่งอยู่ที่นี่ เพราะมันไม่ควรเป็นเวลาที่เขากับเธอจะต้องมาเจอกัน ไม่ควรเลยจริงๆ เธออยากจะปฏิเสธว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่เขา ไม่ใช่คนที่เธอ ‘เคย’ รู้จัก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า ผู้ชายตรงหน้าคือเขาจริงๆ ผู้ชายที่เธอรู้จักเพียงแค่ชื่อและหน้าตา และสาบานได้เลยว่า ถ้าเธอรู้นามสกุลของเขาสักนิด เธอจะไม่ลงเรียนวิชานี้เป็นอันขาด แต่ครั้นจะถอนวิชานี้ออกก็ไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นวิชาบังคับ หญิงสาวถอนหายใจหนักๆ เมื่อตระหนักแล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เธอก็ต้องเรียนกับเขาอยู่ดี มิเช่นนั้น เธอก็จะเรียนไม่จบ
เอาเถอะ...เป็นไงเป็นกัน ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็ต้องเผชิญหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไป
‘ยิ้มสู้เข้าไว้เถอะยัยรตา!’ เจ้าหล่อนนึกให้กำลังใจตัวเอง
“เดี๋ยวผมขอเช็คชื่อก่อนนะครับ” เสียงห้าวเอ่ยเรียบๆ และเริ่มอ่านชื่อจากใบรายชื่อที่พิมพ์มาพลางก็เงยหน้ามองนักศึกษาเจ้าของชื่อแค่ละคน โชคดีที่ภาควิชานี้คนเรียนไม่มาก ทำให้เขาไม่ต้องยุ่งยากกับการจดจำใบหน้าและชื่อของนักศึกษาแต่ละคน
อย่างว่าล่ะ...ประวัติศาสตร์ คนเรียนน้อย ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้ว คงไม่มีใครเลือกเรียนภาควิชานี้เป็นอันดับต้นๆ จะมีสักกี่คนกันที่เลือกเป็นอันดับหนึ่งในคราวที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย...
“สุทธิวัฒน์ อังคณา พิมพ์ประไพ และ...” ชินภัทรชะงักไปเล็กน้อย ตาสีนิลคมกล้าเหลือบมองนักศึกษาเล็กน้อยสลับกับมองรายชื่อสุดท้ายที่ปรากฏในใบรายชื่อ...ชื่อที่เหมือนกับใครบางคน ใครบางคนที่เขารู้สึกว่าชื่อของเธออาจไม่ได้แปลกไปจากชาวบ้านชาวช่อง หากก็ฟังแล้วติดหูและจำง่ายเหลือเกิน “รตา”
สิ้นเสียงเรียกนั้น เจ้าของชื่อที่นั่งแอบอยู่หลังห้องด้วยใจสั่นระรัวที่ไม่รู้ว่ามันสั่นเพราะอะไรกันแน่ก็ค่อยๆ ชูมือขึ้นกลางอากาศ อาการชะงักของเขาเมื่อครู่ บอกชัดว่า เขาจะต้องสะดุดกับชื่อของเธอเป็นแน่
รตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจก่อนที่เสียงหวานใสเจือสั่นน้อยๆ จะขานรับ
“ค่ะ”
และวินาทีแห่งการเผชิญหน้าก็เริ่มต้นขึ้น!