3
เพชรกล้ามองพี่ชายสะกิดแขนบอกน้องสาว เมื่อเดินผ่านร้านมือถือ เพราะรู้ดีว่าน้องอยากได้ เด็กหญิงพิรุณญาทำตาลุกวาวด้วยความดีใจ เพราะเชื่อมั่นว่าผลการสอบจะออกมาตามที่ตั้งใจไว้ และของที่เฝ้าฝันว่าอยากได้มานานจะมาอยู่ในมือในอีกไม่ช้า
จึงวิ่งตรงเข้าไปในร้านแล้วดูโน่นดูนี่ แถมชี้ให้พี่ชายดูในรุ่นที่ตัวเองอยากได้ด้วยความไร้เดียงสา และไม่ได้สนใจกับราคาว่าจะกี่มากน้อยเลย และนั่นยิ่งเพิ่มความไม่ชอบใจให้เพชรกล้าเอามากๆ จนเขาต้องผละจากสองพี่น้องไปเดินดูของอีกร้านแทน
พชรได้ของที่ต้องการจนครบเพชรกล้าก็เช่นกัน ส่วนเด็กน้อยพิรุณญาได้เสื้อผ้าใหม่มาหนึ่งชุด ซึ่งเป็นของแบรนด์และราคาเหยียบพันจากการควักกระเป๋าของพี่ชายเอง ซึ่งเป็นชุดที่เด็กน้อยหมายมั่นปั้นมือว่าจะใส่วันงานเลี้ยงส่งพี่ชายไปเรียนเมืองนอก และมั่นใจว่าจะเป็นวันเลี้ยงฉลองที่ตัวเองสอบได้ที่หนึ่งติดกันเป็นปีที่สิบสองด้วยอย่างแน่นอน เพราะทำข้อสอบได้ทุกข้อ
“กินข้าวที่บ้านพี่ก่อนนะเพชรเสร็จแล้วพี่จะไปส่งเอง ป่านนี้หนิงก็คงจะรออยู่แล้วล่ะ”
พชรบอกระหว่างทางกลับ เพราะทุกครั้งที่มาบ้านป้านิ เพชรกล้าก็มักจะฝากท้องไว้ด้วยเสมอ เหมือนครั้งนี้ที่จะต้องช่วยกันแพ็คข้าวของแล้วส่งลงเรือไปล่วงหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินทางพร้อมกัน อยู่อพาร์ทเม้นท์เดียวกัน ผิดตรงที่พชรจะเรียนแค่สองปีเพื่อให้จบโท
ส่วนเพชรกล้าจะเรียนอย่างน้อยก็สี่ปีเพื่อจบปริญญาตรี ถ้าติดใจก็จะต่อโทและด็อกเตอร์ให้จบในคราวเดียวกันเลย เผลอๆ ก็จะทำงานหาประสบการณ์เพิ่มเติมอีกสักสองสามปีด้วย หรือถ้าเหนือไปกว่านั้น เขาก็จะพาเมียแหม่มผมแดงๆ สักคนมาฝากพ่อกับแม่ด้วยเลย
“คุณแม่ขา! ฝนได้ชุดใหม่ด้วยค่ะ พี่พีทซื้อให้ ฝนจะเอาไว้ใส่วันงานเลี้ยงส่งพี่พีทนะคะ”
เด็กน้อยพิรุณญาลงรถได้ก็วิ่งเข้าครัวหาแม่ก่อน แล้วก็ยกชุดที่ได้มาให้ดูด้วยความดีใจ พินนิดายิ้มรับก่อนจะชื่นชมชุดลูกสาวจนหนำใจ แล้วถึงได้หันไปหา ปันนิตา ซึ่งกำลังหั่นผักอยู่ในครัวด้วย
“ฝนไหว้พี่หนิงหรือยังจ้ะ”
เด็กน้อยทำตามอย่างว่าง่าย และสาวสวยก็รีบวางผักกับมีดแล้วรับไหว้ด้วยท่าทีอ่อนหวาน พร้อมกับขอดูชุดใหม่ด้วยท่าทีตื่นเต้นกว่าความเป็นจริงเล็กน้อย แม้จะไม่มีใครสังเกตเห็น แต่พัณนิดาก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ได้ออกมาจากใจของหญิงสาวผู้อยู่ในฐานะว่าที่สะใภ้นัก แต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยอะไรออกมานอกจากยืนมองอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น
“เราออกไปดูพี่ๆ กันดีกว่านะว่าได้อะไรมาบ้าง เหลือผัดผักอย่างเดียวเอง”
พัณนิดาจูงลูกสาวออกมาโดยไม่ได้เอ่ยชวนว่าที่สะใภ้ เพราะหมายจะให้ช่วยสุภางค์จัดการทางครัวให้เสร็จสิ้นก่อน ทว่าสาวน้อยร่างผอมบางกลับทิ้งทุกอย่างเดินตามมาหน้าตาเฉย แล้วรีบวิ่งแซงหน้าว่าที่แม่สามีออกไปช่วยแฟนหนุ่ม หิ้วข้าวของลงจากรถเอามากองไว้ในห้องนั่งเล่นจนเสร็จ สองหนุ่มถึงกับนอนแผ่ลงกับโซฟาด้วยอาการอ่อนแรง
“ไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาจัดของดีกว่านะจ้ะสองหนุ่ม วันนี้มีแต่ของโปรดทั้งนั้นเลย แต่แค่เบาะๆ นะ เอาไว้วันงานเลี้ยงส่งรับรองจะมีแต่เมนูโปรดของทั้งสองคนเลย” พัณนิดารีบเสนอเมื่อเห็นทั้งคู่นอนแผ่อยู่กับโซฟา แถมก็อดขำไม่ได้
“คุณแม่ต้องทำของโปรดฝนด้วยสิคะ เพราะคุณแม่บอกว่าเป็นงานเลี้ยงที่ฝนสอบได้ที่หนึ่งติดกันสิบสองปีด้วย”
เด็กน้อยรีบทักท้วงทันที ทำเอาพชรกับแม่ต้องหันไปยิ้มให้กันด้วยความขำ สุภางค์ที่จัดโต๊ะอยู่ห้องอาหารก็พลอยขำไปด้วยเมื่อได้ยินถึงหู ผิดกับหนุ่มน้อยเพชรกล้าที่ไม่คิดจะขำด้วยสักนิด แต่เขาก็ไม่แสดงอะไรออกมา นอกจากเดินตามคนเป็นป้าไปห้องอาหารเท่านั้น และอีกคนที่รู้สึกเช่นเดียวกับเขาหรืออาจจะมากกว่านั่นคือปันนิตา ที่รู้ดีว่าแฟนหนุ่มมีน้องสาวที่ไม่ได้ร่วมสายเลือดเดียวกันมานับตั้งแค่คบหาดูใจกันแล้ว
ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยจะสู้ดีของปันนิตา ทำให้ต้องทำงานไปเรียนไปด้วยความยากลำบาก การได้พชรเป็นแฟนจึงเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันมาก ปันนิตาจึงไม่คิดจะปล่อยเขาให้หลุดมือไปไหน ด้วยการมอบตัวให้ตั้งแต่เรียนอยู่ปีสองแล้ว และความที่เป็นคนเรียนเก่ง จึงมีงานดีๆ ไว้รองรับตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
การไปเรียนต่อโทของพชรจึงเป็นเรื่องที่ปันนิตาไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะกลัวแฟนหนุ่มจะพบสาวใหม่จนทอดทิ้งตัวเอง ขณะเดียวกันปันนิตาก็กลัวว่าน้องสาวต่างสายเลือดของแฟนจะมาคอยแบ่งสมบัติไปด้วย ดังนั้นปันนิตาจึงต้องพยัยามพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับครอบครัวแฟนมานานหลายปีแล้ว เพื่อให้คุ้นเคยกับว่าที่แม่สามีเอาไว้
“น้องฝนเรียนเก่งจังเลยนะคะ เหมือนพี่หนิงเลยได้ที่หนึ่งทุกปี”
พชรยิ้มรับคำแฟนสาว เพราะเห็นว่ารักและเอาอกเอาใจน้องต่างสายเลือดของเขาอย่างไม่เกี่ยงงอน ส่วนพัณนิดากับสุภางค์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันต่างก็ยิ้มออกมาไม่แพ้กัน จะผิดก็ตรงที่ความหมายแห่งรอยยิ้มนั้นเป็นไปในอีกทิศทาง เพราะทั้งสองต่างรู้ดีว่าปันนิตาเสแสร้งแกล้งทำมากกว่าจะจริงใจ เพชรกล้าเองก็รู้สึกได้ แต่เขาไม่คิดจะสนใจเพราะเห็นเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป
“คุณฝนนั่งนิ่งๆ สิคะ เดี๋ยวผมเปียก็ไม่สวยหรอก จะมาโทษป้าสุว่าไม่มีฝีมือไม่ได้นะคะ”
สุภางค์ที่กำลังจับกลุ่มผมดกดำและยาวสลวยเปียก้างปลาอยู่หน้ากระจกต้องเอ็ดเบาๆ เมื่อเจ้าของผมนั่งไม่เป็นสุข แถมยังทำหน้าย่นใส่กระจกเล็กน้อยด้วยความรำคาญนิดๆ วันนี้เจ้าตัวอยากปล่อยผมมากกว่าถักเปีย แต่ป้าสุไม่ยอม เพราะเห็นว่าจะเกะกะเวลานั่งเล่นเปียโนกับเพื่อนๆ