บทที่ 2 ฉันเกลียดเธอได้ยินไหม
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูหน้าห้องดังขึ้นรัวๆ จนเธอต้องรีบลุกมาเปิดประตูห้อง
“สมใจแล้วใช่ไหม ที่ทำให้ฉันจดทะเบียนสมรสกับเธอได้ไวน์” น้ำเสียงห้วนแข็งกระด้างกระแทกใส่หน้าทันทีเมื่อประตูเปิดกว้างออก
“หน้าพี่มาร์คไปโดนอะไรมาคะ” เธอไม่ตอบแต่ยื่นมือหมายจะจับแก้มที่แตกช้ำของเขา
“เสือก! อย่ามายุ่ง” เขาปัดมือเธอออกแล้วก็พูดต่ออีก...
“จำไว้...ให้ตายพี่ก็ไม่รักเธอไวน์ ถึงจะให้พ่อกับคุณย่าบังคับพี่ได้ พี่ก็ไม่เหลียวแลเธอ จำไว้ว่าพี่เกลียดเธอ พี่รักแค่แพรคนเดียว” พูดจบเขาก็เดินไปหน้าห้องตัวเองบิดลูกบิดประตูกระชากแรงๆ เปิดออกทันที
ปัง!
เสียงกระแทกประตูห้องข้างๆ ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย เธอปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนุ่มของตนแล้วล้มตัวลงนอนคว้าหมอนมากอดแล้วปล่อยเสียงโฮสะอื้นไห้ดังออกมา
ฮือๆๆๆ
“แต่ไวน์รักพี่มาร์ค อึก! ฮือๆ”
ในเช้าวันต่อมา มโนภฤศตื่นแต่เช้า จะว่าแบบนั้นก็ไม่ได้ เมื่อคืนทั้งคืนเขานอนไม่หลับ เพราะไม่รู้จะบอกแฟนสาวอย่างแพรไหมยังไงดีว่าวันนี้ตนเองกำลังจะจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่เธอ และเธอกำลังอุ้มท้องลูกของเขาด้วยตอนนี้
“ตามาร์คพาน้องไปจดทะเบียนสมรสได้แล้วลูก” สะอางเดินโอบเอวเล็กของหญิงสาวมาในห้องนั่งเล่นหลังจากที่ทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว เช้านี้นางให้เด็กรับใช้ทำข้าวผัดไข่ให้วรนิษฐ์เหมือนเมื่อวานตอนเย็นแล้วยกไปส่งในห้องด้วยไม่อยากให้เธอมาทานร่วมโต๊ะด้วยแล้วได้กลิ่นอาหารเมนูอื่นๆ จะคลื่นไส้อีก
เงียบ!
เขาทำเพียงแค่ปรายตามองคนที่ยืนข้างคุณย่าของตนเท่านั้น
“และพาหนูไวน์ไปฝากท้องด้วยล่ะตามาร์ค” สะอางเอ่ยสั่งอีก
เงียบ!
ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น
“ไปสิลูก ตามพี่เขาไป อดทนหน่อยนะหนูไวน์ ย่าเป็นกำลังใจให้ ยังไงก็มีลูกด้วยกันแล้ว ย่าไม่มีทางให้เลิกกันหรอกถ้าจดทะเบียนสมรสกันแล้ว”
ด้วยที่มองออกว่าเด็กสาวหลานสะใภ้ตนนั้นรักหลานชายตน แต่หลานชายตัวดีนี่สิ มันรักมันหลงแฟนเจ้าของคาเฟ่ของมันเหลือเกิน แต่ช่างปะไร ตอนนี้ก็บังคับจดทะเบียนสมรสแล้ว นางเชื่อว่าสักวันมโนภฤศจะรักวรนิษฐ์ได้ในสักวันแน่นอน และลูกนี่แหละคือกามเทพที่จะทำให้พ่อกับแม่รักกัน
“หนูไปนะคะคุณย่า”
เธอยกมือไหว้ท่านแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นตามคนที่เดินหน้าตึงออกไปก่อน และระหว่างทางก็สวนกับมนัสวิน พ่อของเขาพอดีจึงยกมือไหว้บอกท่านด้วย
“หนูไปก่อนนะคะคุณลุง”
“ยังจะเรียกลุงอีก เรียกพ่อได้แล้วหนูไวน์” มนัสวินเอ่ยตำหนิในที
“ค่ะคุณพ่อ หนูไปนะคะ”
แล้วเธอก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกท่านตามที่ท่านต้องการทันที มนัสวินยิ้มเอ็นดูลูกสะใภ้ ก่อนจะเดินเข้าไปหาแม่ที่นั่งรอในห้องนั่งเล่น
“คุณแม่ว่าหลานตัวดีของคุณแม่จะแผลงฤทธิ์ไหมครับหลังจากนี้”
“แผลงฤทธิ์ไหมไม่รู้ แต่แกน่ะต่อยหลานแม่แรงไปไหม หน้าแตกช้ำเลยนะพ่อวิน”
“ก็คนมันโกรธนี่ครับ”
“อือ...แล้วนี่จะบอกพ่อทรงพลกับแม่ลินดาเมื่อไหร่เรื่องเหลนของแม่และเรื่องของหนูไวน์กับตามาร์คด้วย”
“ผมคุยกับหนูไวน์แล้ว หนูไวน์บอกว่าจะบอกกับสองคนนั้นเองครับ”
“อือ...แต่อย่านานล่ะ เพราะงานแต่งงาน เราจะต้องจัดให้เร็วที่สุด เพราะไม่นานหนูไวน์ก็จะท้องโตแล้วนะ”
“ครับ ผมบอกหนูไวน์แล้วว่าให้รีบบอกทรงพลกับลินดา”
“แล้วนี่จะไปไหนล่ะ?” นางถามลูกชายที่แต่งตัวเต็มยศ
“ไปนั่งจิบน้ำชาหน่อยน่ะครับ”
“ตั้งแต่ตามาร์คมาดูแลไร่เต็มตัวเนี่ย เราก็สบายเลยนะพ่อวิน”
“ผมอยากทำแบบนี้มานานแล้ว แม่สะอางก็รู้ เมื่อก่อนผมทำงานหนักแค่ไหนและต้องเลี้ยงไอ้ลูกหมานั่นอีก เลี้ยงดีแค่ไหน สอนดีแค่ไหน มันยังทำเลวได้ แม่ดูสิ” พูดแล้วเดือดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงสิ่งที่ลูกชายคนเดียวของตนทำกับลูกสาวของเพื่อนรัก
“เอาน่า...ไหนๆ ก็เกิดขึ้นแล้วก็ถือว่าดีเหมือนกัน แม่จะได้มีเหลน เราก็จะได้มีหลานด้วย อีกอย่างลูกสะใภ้แกไม่ใช่ยัยแพรและหลานสะใภ้ฉันไม่ใช่ยัยนั่นด้วย เป็นคนกันเอง แม่ดีใจมากพ่อวินเอ้ย!”
“นั่นสิครับ ผมล่ะกลัวมาก กลัวมันจะทำผู้หญิงคนนั้นท้อง เพราะครอบครัวของเธอนั้นสูบเงินหลานชายคุณแม่ไปเยอะพอตัว ถึงมันจะเงินส่วนตัวของมัน แต่ผมก็ไม่อยากเห็นมันหมดตัวเพราะผู้หญิงหรอกนะครับคุณแม่สะอาง”
“มันน่ะหลงผู้หญิงคนนั้นจนไม่ลืมหูลืมตา แต่ตอนนี้มันก็มีหนูไวน์แล้ว อยากรู้นักผู้หญิงคนนั้นจะทำยังไง และมันจะเลิกกับเธอไหม”
“ผมบอกมันให้จัดการให้เรียบร้อยก่อนจะแต่งงานครับ”
“อือ...ไปเถอะพ่อวิน วันนี้แม่ก็ว่าจะไปวัดกับแม่พรให้พระท่านหาวันดีให้ตามาร์คกับหนูไวน์สักหน่อย ถ้าไม่ได้ฤกษ์ดีก็จะเอาฤกษ์สะดวกมันเลยนั่นแหละ”
“ครับ ผมไปนะครับแม่สะอาง เพราะหลังจากนี้ถ้าหลานคลอด ผมต้องช่วยคุณแม่เลี้ยงหลานคงอดได้ทำอะไรแบบนี้ครับ”
“อือ...ไปเถอะ พ่อคนโสดของแม่”
“ครับผม” แล้วมนัสวินก็ลุกจากโซฟาที่ตัวเองนั่งมาโน้มหน้าลงหอมแก้มเหี่ยวย่นของแม่ก่อนจะเดินจากไป นางยิ้มแก้มปริมองตามหลังลูกชาย ทั้งๆ ที่อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เขาอายุ 55 ปีแล้ว แต่มนัสวินยังคงทำตัวเหมือนเด็กเวลาอยู่กับนาง
มโนภฤศเม้มปากแน่นตลอดการขับรถมายังอำเภอเพื่อจดทะเบียนสมรสตามคำสั่งของพ่อและคุณย่า เขาไม่แม้แต่จะปริปากพูดกับคนที่นั่งมาด้วย และเธอเองก็เงียบไม่พูดไม่จาเช่นกัน จนตอนนี้มานั่งอยู่หน้าเจ้าหน้าที่ที่จะทำการจดทะเบียนสมรสให้เขาและเธอ
“สวัสดีครับคุณมาร์ค” เจ้าหน้าที่หนุ่มเอ่ยทักทายเพราะรู้จักชายหนุ่มดี
“อือ...หวัดดี” เขาตอบห้วนแล้วมองไปยังคนที่นั่งหน้านิ่งข้างๆ ตนก็ยิ่งหงุดหงิดอารมณ์
“มาทำอะไรวันนี้”
“จดทะเบียนสมรส” เขาตอบสั้นๆ ห้วนๆ และคำตอบก็เล่นเอาคนฟังตกใจ เพราะคนที่มาด้วยไม่ใช่แพรไหม แฟนสาวที่คบไปไหนมาไหนด้วยกัน
“ครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มตอบรับรู้สั้นๆ พร้อมเตรียมเอกสารทุกอย่างมาให้ทั้งสองได้เซ็นและไม่ลืมบอกชายหนุ่มให้ยิ้ม
“ยิ้มหน่อยสิคุณมาร์ค ทำหน้าเหมือนโดนบังคับงั้นแหละ”
“ก็โดนบังคับ” เขาตอบสั้นๆ
“แต่ภรรยาคุณมาร์คสวยขนาดนี้ไม่น่าโดนบังคับนะครับ” มองยังไงก็สวยกว่าแพรไหมคนที่อีกฝ่ายคบ
“สวยอาบยาพิษน่ะรู้จักไหม เอาปากกามาจะได้เซ็นแล้วไปที่อื่นต่อ” เขารีบแย่งปากกาจากเจ้าหน้าที่อำเภอมาเซ็นเอกสารที่วางตรงหน้าตนแล้วส่งไปให้คนที่นั่งข้างๆ ตนพร้อมกับปากกาในมือ
“รีบเซ็นจะได้รีบไป เสียเวลา”
เงียบ!
ไม่มีเสียงตอบกลับมา เธอรับปากกามาเซ็นซื่อตัวเองยังกระดาษสองแผ่นตรงหน้าเหมือนที่เขาเซ็น แล้วเจ้าหน้าที่นายอำเภอหนุ่มก็รับไปดูพร้อมกับเอ่ยแสดงความยินดีและอวยพรเขาทั้งสอง
“ยินดีด้วยนะครับ ขอให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข รักกันดูแลกันตะ...” ยังพูดไม่สุดความ เสียงห้วนห้าวก็แทรกขึ้น
“ไม่นานก็เลิก อวยพรให้ได้อะไรกัน” มโนภฤศเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อรู้สึกขัดหูกับคำอวยพรของเจ้าหน้าที่
“ขอบคุณนะคะ”
เป็นวรนิษฐ์เองที่เอ่ยขอบคุณคำอวยพรของเจ้าหน้าที่ และนั่นทำให้เจ้าหน้าที่หนุ่มถึงกับใจเต้นแรง ไม่ใช่แค่หน้าที่สวย น้ำเสียงยังหวานไพเราะอีกด้วย
“ครับ ตอนนี้คุณทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้วนะครับ” เขาจัดทำเอกสารให้ทั้งสองแล้วใส่ซองให้ทั้งคู่เก็บไว้คนละแผ่น
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวขอบคุณอีกครั้งพร้อมรับซองเอกสารมาถือไว้ ส่วนอีกคนก็กระชากมาถือไว้อย่างไม่พอใจ
“เสร็จแล้ว ไปได้แล้ว ฉันไม่ได้ว่างพาเธอไปไหนมาไหนทั้งวันหรอกนะไวน์”
พูดแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินนำหน้าออกไปจากห้อง และเธอก็หันมายิ้มแห้งๆ อายๆ เจ้าหน้าที่ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตามเขาออกไปเร็วๆ ด้วยความเร่งรีบเดินให้ทันคนตัวโตเลยทำให้ข้อเท้าเล็กพลิกเสียหลักเซจะล้ม แต่โชคดีที่เขาหันมามองเธอด้านหลังพอดีจึงคว้าเอวเล็กรั้งไว้ได้ทัน
ว้าย!
“ระวังหน่อยสิ เธอไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ ไอ้ส้นสูงเนี่ยจะใส่มาทำกระบืออะไร”
เมื่อกี้เขาแทบใจหล่นวูบเมื่อเห็นเธอจะล้ม เขานึกห่วงเธอแบบไม่รู้ตัวและการเคลื่อนไหวของเขาก็เป็นไปแบบอัตโนมัติ กลิ่นกายอ่อนๆ หอมๆ ของวรนิษฐ์ก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนหวนคิดถึงค่ำคืนนั้นที่สวีเดน แต่แค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เขาก็กลับมาเป็นคนเดิมผลักดันเธอออกจากวงแขนให้เธอยืนเอง
“อ่ะ...ไวน์เจ็บข้อเท้าค่ะพี่มาร์ค” เธอบอกเขาพร้อมกับย่อตัวนั่งลงเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนเดินต่อไม่ได้
หืม!
เขาหายใจเข้าปอดแรงๆ กัดฟันแน่นพร้อมกับย่อตัวยกอุ้มเธอขึ้นแนบอกตัวเองแล้วเดินลงบันไดของตึกไปยังลานจอดรถ วรนิษฐ์ตวัดมือเล็กทั้งสองโอบลำคอหนาและซุกหน้าไปกับหน้าอกแข็งแรงที่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของบุรุษพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ‘ไวน์ไม่เชื่อหรอกว่าพี่มาร์คจะใจร้ายกับไวน์ จะไม่หวั่นไหวกับไวน์’ เธอพึมพำในใจ
อีกมุมหนึ่งของทั้งสองมีสายตาคำถามทอดมองทั้งสองคนว่าทั้งคู่เป็นอะไรกัน หล่อนมองไปยังแฟนหนุ่มที่อุ้มผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ตน และเขาก็เปิดประตูให้เธอคนนั้นขึ้นไปบนรถไปนั่งข้างๆ เขา ทั้งๆ ที่นั่งข้างๆ เป็นที่ของเธอ มือเล็กที่ถือโทรศัพท์ก็รีบยกขึ้นมากดต่อสายหาเขาทันที
“มาร์คอยู่ไหนคะ?” เธอถามเขาทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาอยู่ไหน
“อยู่ไร่ครับ” เขาตอบกลับพร้อมกับปิดกระแทกประตูรถเสียงดังเมื่อส่งวรนิษฐ์ขึ้นไปนั่งแล้ว
“เหรอคะ งั้นแค่นี้แหละค่ะ” แล้วเธอก็ตัดสายทิ้งทันทีพร้อมกับน้ำตาไหลอาบสองแก้มนวลและแม่ของเธอก็เดินมาตบไหล่ของเธอพอดี
“นังแพร แกร้องไห้ทำไม แล้วมองอะไร” นางมองไปทางสายตาของลูกที่จ้องมองอยู่ก็เห็นว่ารถที่แล่นออกไปจากลานจอดรถนั่นคือรถของแฟนหนุ่มของลูกสาว
“นั่นคุณมาร์คแฟนแกนี่ แล้วเขามาทำไม”
“ไม่รู้ค่ะ” เธอบอกทั้งน้ำตาและยกมือเช็ดน้ำตาตัวเอง
“อือ...ไปได้แล้ว แม่เสร็จธุระแล้ว แล้วเมื่อไหร่แกจะขอเงินแฟนแกมาใช้หนี้ให้แม่สักที ถ้าไม่จ่ายพวกมันฆ่าแม่แน่นังแพร” นางซักถามลูกสาวถึงเรื่องให้ขอยืมเงินจากแฟนหนุ่มของลูกมาใช้หนี้รายวันของตนที่ยืมมาเล่นการพนันและดอกเบี้ยก็โคตรโหด
“แม่! เมื่อไหร่แม่จะเลิกเล่นการพนันสักที แพรไม่อยากขอมาร์คแล้ว ยืมเขาทีไรก็ไม่เคยได้คืนเขา แพรเกรงใจเขาค่ะ อีกอย่างแม่ก็ควรเลิกได้แล้ว เอาเงินที่เล่นการพนันไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอคะ” เธอเหนื่อยและอายแฟนหนุ่มที่ต้องขอเงินจากเขาทุกครั้งยามแม่ตัวเองสร้างเรื่อง
“นังแพร! แกกล้าบอกฉันเรอะ! แกเป็นลูกฉันก็ควรทำตามที่ฉันบอก กลับบ้านได้แล้ว กลับไปเปิดคาเฟ่ได้แล้วเดี๋ยวลูกค้าหายหมด ไม่มีเงินกันพอดี”
“ในชีวิตแม่มีแต่เงินและการพนัน แม่เคยคิดถึงแพรมั่งไหมว่าแต่ละวันแพรเหนื่อยแค่ไหน”
เธอตอบกลับเดินไปยังรถยนต์คันเล็กที่จอดอยู่ของตนแล้วกระชากเปิดประตูออก ส่วนแม่ของหล่อนก็เดินไปทางฝั่งตรงข้ามเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถเหมือนกัน
“ฉันคลอดแกมาเลี้ยงมาจนโตเพื่อมาให้แกสั่งสอนฉันเหรอนังแพร! กลับบ้านได้แล้ว แกโตมาด้วยเงินการพนันของฉันจำไว้ อย่าคิดมาสั่งมาสอนฉัน มีหน้าที่หาเงินก็หาไป อย่ามาสนใจเรื่องของฉัน”
“แต่เรื่องของแม่ก็เรื่องของแพร แพรต้องหาเงินมาใช้หนี้ให้แม่ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ เลิกเถอะแม่”
“นังแพร! เผียะ!” นางตวาดพร้อมกับมือเหี่ยวย่นของนางฟาดตบไปที่หน้าของลูกสาว
“แม่ตบฉัน?” เธอกุมแก้มตัวเองพร้อมหันมาถามท่านด้วยความเสียใจ
“เออ! ฉันตบแก กลับบ้านได้แล้ว ถ้ายังเสือกเรื่องการพนันของฉันอีก ไม่ใช่แค่ตบแน่ เผลอๆ ฉันจะเอาแกไปขายให้เสี่ย”
“แม่...” เธอไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินแม่แท้ๆ ของตนพูดออกมาแบบนี้ เธอกลืนก้อนสะอื้นเช็ดน้ำตาแล้วติดเครื่องยนต์ จากนั้นออกตัวรถกลับบ้านทันที