หรือต้องให้อุ้ม??
เมษา...
"แล้วนี่ไทด์มาคนเดียวเหรอลูก พีเจล่ะ"
"ตั้งแต่เมื่อคืนมันยังไม่เข้าบ้านเลยครับโทรไปก็ปิดเครื่องสงสัยนอนที่คอนโดยังไม่ตื่น"
"เห้อออ เมื่อไหร่พีเจจะโตเป็นผู้ใหญ่สักทีอายุก็ยี่สิบแล้ว" ฉันที่ยืนฟังเหมือนคนไร้มารยาทแต่ฉันไม่รู้จะหาจังหวะไหนลากลับเพราะตอนนี้ฉันเหมือนส่วนเกินของครอบครัวคุณยาย
"น้องมันเพิ่งเรียนจบกลับมาปล่อยให้มันเที่ยวเล่นให้เต็มที่ก่อนเถอะครับคุณย่าส่วนงานบริษัทผมดูแลแทนมันได้"
"เราก็ชอบตามใจน้องตลอด"
"ให้ทำไงได้ล่ะครับผมมีมันเป็นน้องชายเพียงคนเดียว"
"ถ้าพีเจรู้ว่าพี่ชายอย่างไทด์รักและเข้าใจเขาขนาดนี้เขาคงไม่เอาแต่ตั้งแง่รังเกียจ เห้ออออ ย่าไม่รู้จะพูดยังไงให้พีเจเข้าใจและยอมรับไทด์เป็นพี่ชาย" ฉันลอบมองหน้าคุณยายที่มีสีหน้าไม่สบายใจเมื่อพูดถึงบุคคลอีกหนึ่งคนที่ฉันเดาแล้วน่าจะเป็นหลานชายอีกคนนึงของท่าน
"ผมชินแล้วล่ะครับเพราะในสายตาของมันผมก็เป็นเพียงลูกเมียน้อยจึงไม่แปลกที่มันจะเกลียดผม"
"ไทด์อย่าพูดแบบนี้สิลูกถึงยังไงไทด์ก็เป็นหลานชายของย่านะลูก"
"ครับ...เอ่อ แล้วนี่ใครเหรอครับ" จู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองหน้าฉันด้วยใบหน้าสงสัย เขาคงจะเพิ่งรู้ว่ามีฉันอยู่ในห้องนี้พร้อมกับมองเช็คเงินสดในมือที่ฉันถือเอาไว้
"เธอชื่อหนูเมษาเป็นคนช่วยย่าเอาไว้ถ้าไม่ได้เธอย่าอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ลูก"
"อ่อ คุณย่าก็เลยตอบแทนเธอด้วยการให้เงินสินะครับ" คำพูดและน้ำเสียงของเขาฟังดูแปลกๆหรือเขาจะไม่พอใจคิดว่าฉันช่วยย่าของเขาเพราะหวังเงินเป็นรางวัลตอบแทน
"คือฉันไม่ได้ต้องการเงินนะคะฉันช่วยคุณยายด้วยความเต็มใจ นี่ค่ะฉันคืนให้คุณแทนก็ได้ค่ะ" ฉันยื่นเช็คคืนให้กับเขาแต่เขาแค่มองไม่ยอมยื่นมือออกมารับ
"คุณย่าฉันให้เธอไปแล้วฉันคงไม่รับคืน ยังไงก็ขอบใจที่ช่วยคุณย่าของฉัน"
"แต่ฉันช่วยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนจริงๆ นะคะ แล้วเงินจำนวนนี้ฉันคงรับไว้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ" ฉันพูดพร้อมกับเดินเอาเช็คเงินสดไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะไหว้ลาทุกคน แม้จะดูเหมือนไร้มายาทแต่ฉันรับมันไม่ได้จริงๆ
"ตอนนี้คุณยายปลอดภัยดีแล้วหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ฉันยกมือไห้วทุกคน
"เดี๋ยวสิหนูเมษาอย่าเพิ่งไป ยายขอเบอร์ติดต่อหนูได้ไหม"
"หนูไม่มีเบอร์หรอกค่ะ มือถือหนูไม่มี"
"ห๊ะ ว่าไงนะ นี่มันปี2021แล้วนะมีด้วยเหรอคนที่ไม่มีมือถือใช้น่ะ"
"ไม่มีจริงๆค่ะฉันไม่เคยมีมือถือเพราะมันไม่ได้จำเป็นอะไร" ฉันไม่เคยมือถือใช้เลยและก็ไม่เคยต้องการที่จะมีมันด้วยฉันคิดว่ามันไม่ได้มีความจำเป็นอะไร สำหรับคนอื่นอาจจะจำเป็นแต่สำหรับฉันมันไม่จำเป็นเลยสักนิดเพราะฉันไม่ได้มีเพื่อนหรือญาติพี่น้องที่ต้องโทรคุยติดต่อกัน
"แล้วแบบนี้ยายจะติดต่อหนูได้ยังไงล่ะลูก" ฉันไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงอยากติดต่อฉัน แต่ฉันก็ไม่รุ้จะให้คำตอบท่านได้ยังไง
"เอางี้มั้ยคะคุณท่าน เดี๋ยวรำภาให้เบอร์ของรำภาไว้กับหนูเมษาถ้ามีอะไรเดือดร้อนให้หนูเมษาติดต่อเรามาดีไหมคะคุณท่าน"
"อืมอย่างนั้นก็ได้ หนูเมษาจ๊ะ ถ้าหนูมีเรื่องเดือดร้อนอะไรโทรมาหารำภาได้นะจ๊ะยายยินดีจะช่วยเหลือ"
"เอ่อ อย่างนั้นก็ได้ค่ะ" ฉันไม่รู้จะปฏิเสธความหวังดีของท่านยังไงก็เลยตอบตกลงจากนั้นคุณป้ารำภาก็เอานามบัตรของคุณยายมาให้ทำให้ฉันรู้ว่าท่านเป็นถึงประธานบริษัทใหญ่โต
"แล้วนี่หนูจะกลับยังไงจ๊ะ"
"หนูขึ้นรถเมล์กลับค่ะ"
"เดี๋ยวฉันไปส่งดีกว่าตอบแทนที่เธออุตส่าห์มาส่งคุณย่าถึงโรงพยาบาล"
"ไม่เป็นไรค่ะฉันขึ้นรถเมล์กลับเองดีกว่า ยังไงหนูขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ"
"หึ หยิ่งซะด้วย" เสียงที่ดังตามหลังทำให้ฉันหันกลับไปมองหน้าคนพูดก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินออกมาจากห้อง
ฉันเดินมาที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงพยาบาลเพื่อนั่งรถกลับบ้านเพราะถ้าให้เดินกลับคงไม่ไหวเพราะมันไกลมากจากบ้านของฉันมากหลายสิบกิโล
ปี๊นนน ปี๊นนนนน ปิ๊นนนน
เสียงแตรรถที่ดังขึ้นมาทำให้ทุกคนที่นั่งรอรถเมล์ต่างหันไปมองซึ่งรวมถึงฉันด้วย เป็นรถหรูสีดำเงาบ่งบอกได้ถึงราคาของมันว่าแพงมากแค่ไหนก่อนที่กระจกรถจะเคลื่อนลงมาอย่างช้าๆทำให้ฉันเห็นคนขับได้อย่างชัดเจนซึ่งเจ้าของรถคันนี้ก็คือหลานชายของคุณยายที่ฉันช่วยเอาไว้ที่ได้ยินว่าเขาชื่อไทด์ แล้วเขามาบีบแตรทำไมตรงนี้ฉันก็ไม่เข้าใจ เขากวักมือเรียกทำให้ฉันต้องหันซ้ายหันขวาว่าเขากวักมือเรียกใคร
"เธอนั่นแล่ะเมษา ไม่ต้องหันไปมองคนอื่น" เขาตะโกนแล้วชี้มาที่ฉัน
"คุณเรียกฉันเหรอคะ" ฉันตะโกนถามออกไปแล้วเอานิ้วชี้มาที่ตัวเอง
"อื้มมม"
"เอ่อ แล้วคุณเรียกฉันทำไม" ฉันเดินมาหาเขาเพราะไม่อย่างนั้นก็ต้องตะโกนคุยกันฉันเกรงใจคนอื่นๆที่นั่งรอรถเมล์
"คุณย่าสั่งให้ฉันไปส่งเธอ"
"ไม่เป็นไรค่ะฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันจะนั่งรถเมล์กลับเองดีกว่า"
"บอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่งรีบขึ้นรถมาเร็วฉันต้องมีงานไปทำต่อ" เขาทำหน้าไม่พอใจใส่ฉันทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรให้
"ไม่เป็นไรค่ะ" ฉันไม่ได้รู้จักเขาแล้วจะให้ฉันขึ้นรถไปกับเขาบอกตามตรงว่าฉันกลัว ถึงฉันจะไม่มีอะไรให้เขาปล้นจี้เพราะเขาน่าจะรวยมากแต่ฉันเป็นผู้หญิงฉันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
"หรือต้องให้ลงไปอุ้ม"
"อย่านะคะ!!" ฉันรีบห้ามเพราะดูเหมือนเขาจะลงมาจากรถจริงๆ ซึ่งฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทำหน้าไม่พอใจใส่ฉันอยู่เลย
สุดท้ายฉันก็จำใจขึ้นรถมากับเขาเพราะกลัวเขาจะอุ้มฉันขึ้นรถจริงๆ
"จะให้ไปส่งที่ไหน" พอฉันขึ้นมานั่งบนเขาก็ถาม
"เอ่อ ไปส่งหน้าวัด...ค่ะ"
"ไปทำบุญเหรอ"
"เปล่าค่ะบ้านฉันอยู่ข้างในซอยหลังวัดค่ะ"
"อยู่หลังวัด??"
"ค่ะ"
"แล้วไ่ม่กลัวผีเหรอ"
"คนน่ากลัวกว่าผีอีกค่ะ"
"อืมนั่นสินะเธอพูดถูก คนเราเดี๋ยวนี้ไว้ใจกันยากบางทีเราก็อาจจะถูกคนที่ไว้ใจและรักมากหลอกซึ่งมันน่ากลัวกว่าผีอีก หึ" ฉันไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าเพราะดูเหมือนเขามีอะไรในใจถึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น
หนึ่งชั่วโมงต่อมา..
ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ขับรถมาส่ง" ฉันกล่าวขอบคุณก่อนลงจากรถเขาก็พยักหน้าจอบ ฉันเดินเข้าข้างในซอยที่เดินประจำแต่เหมือนกับว่ามีคนเดิมตามฉันเข้ามาด้วยฉันก็เลยรีบเดินเพื่อจะเข้าเขตวัดเพราะบ้านฉันต้องผ่านเข้าหลังวัด
"รีบเดินไปไหนของเธอฉันเดินตามแทบไม่ทัน"
"คุณ!!! คุณเดินตามฉันมาทำไมคะ" ฉันตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่เดินตามฉันเข้ามาคือคุณไทด์
"คุณย่าสั่งว่าให้ฉันส่งเธอให้ถึงบ้าน"
"ไม่เป็นไรค่ะคุณกลับไปเถอะ"
"กลับไมไ่ด้เพราะฉันไม่อยากขัดคำสั่งของคุณย่า"
"งั้นก็ตามใจคุณเถอะค่ะ"
"ไทด์"
"คะ??" ฉันงงที่จู่ๆเขาก็เรียกชื่อตัวเอง
"ฉันชื่อไทด์"
"ค่ะฉันทราบว่าคุณชื่อไทด์แล้วคุณจะบอกฉันทำไม"
"ก็เธอเรียกฉันว่าคุณ คุณ ฉันคิดว่าเธอจะลืมว่าฉันชื่ออะไร"
"ฉันจำได้ค่ะเพราะได้ยินคุณย่าของคุณเรียกแต่เราไม่ได้สนิทกันที่ฉันจะต้องเรียกชื่อของคุณ"
"อ่อ ถ้าสนิทกันถึงเรียกชื่อกันได้สินะ"
"คะ??"
"ช่างมันเถอะ ว่าแต่บ้านเธอเข้าไปอีกลึกไหม ฉันเห็นทางเข้ามันน่ากลัว"
"ลึกค่ะคุณกลับไปก่อนเถอะ"
"เธอนี่พูดไม่รู้เรื่องเนอะ ฉันบอกว่าจะไปส่งจนกว่าจะถึงบ้าน"
"แต่ทางเข้าบ้านฉันมันลำบากมากเลยนะคะ" ฉันพูดความจริงเพราะกว่าจะถึงบ้านของฉันที่อยู่กลางสวนกล้วยสวนมะพร้าวนับร้อยต้นต้องเดินข้ามท้องร่องด้วยที่สะพานทำด้วยต้นมะพร้าวทั้งต้นและต้องเดินเข้าไปอีกลึกเลย
"ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะลำบากมากแค่ไหน"