บทที่ 7เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่???
บทที่ 7 เจ้าเก็บความลับได้หรือไม่???
วันเวลาผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ที่พวกเขาเดินทาง และระยะทางที่จะถึงจุดหมายนั้นยังอีกประมาณครึ่งเดือน ค่ำวันหนึ่งเจียงหย่าเสวี่ยกำลังนอนพัก เธอเงี่ยหูฟังเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ เสียงนกร้อง และเสียงพูดคุยจากท่านแม่เจียงซิ่วเหยาและป้าจวงที่อยู่ใกล้ ๆ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แต่คำพูดบางคำก็แว่วเข้ามาในหู ทำให้เธอหยุดพู่กันที่กำลังขยับอยู่บนกระดาษ
"คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่ก็เพียง 400 ตำลึงเท่านั้นเอง อีกทั้งเรายังต้องเดินทางอีกเกือบหนึ่งเดือน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดี" ป้าจวงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลเงินที่หมดไปส่วนใหญ่นั้นก็เพราะต้องซื้อยาซื้อโสมราคาแพงมาบำรุงคุณหนูที่ป่วยหนักมาตลอดทั้งเดือน ถ้าไม่มีโสมและยาทั้งหมดนั้น คุณหนูคงไม่สามารถรอดมาได้ป้าจวงตอบด้วยความเศร้าใจ
"ข้าไม่สนว่าเงินจะหมดไปเท่าไร สุขภาพของลูกสาวข้านั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าการใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เสวี่ยเออร์ของข้าหายป่วย ข้าก็ยินดีที่จะแลกทุกอย่าง"
เจียงซิ่วเหยาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของนางเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย
เจียงหย่าเสวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นและรู้สึกหัวใจบีบแน่น แม้ว่าท่านแม่และป้าจวงจะพยายามช่วยเหลือและทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางหายป่วย แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นภาระทางการเงินที่หนักอึ้ง การที่เงินทองเหลือน้อยเหลือเกินทำให้นางรู้สึกว่าตนเองต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยครอบครัวเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้เจียงหย่าเสวี่ยจะหายป่วยแล้ว แต่ร่างกายของนางยังคงอ่อนแออย่างมาก ร่างผอมบางของนางดูบอบบางเหมือนกิ่งไม้ที่อาจหักได้ง่าย ใบหน้าสวยงามของนางซีดเซียวและไร้สีเลือด ถึงแม้ว่านางจะมีความงามที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ความเจ็บป่วยที่ยาวนานทำให้นางสูญเสียความสดใสไป ความผอมของนางเห็นได้ชัดเมื่อสวมใส่ชุดที่หลวมเกินไป
สามวันต่อมา เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงบริเวณเชิงเขาแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งหญ้าเขียวขจีและดอกไม้ป่าที่เบ่งบาน เจียงซิ่วเหยาจึงตัดสินใจหยุดพักเพื่อให้ทุกคนได้ผ่อนคลายจากการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อย พวกเขาจัดค่ายพักอยู่ใกล้กับเชิงเขา มีภูเขาสูงตระหง่านอยู่ข้างหลังและป่าไม้ที่สงบล้อมรอบ
เจียงหย่าเสวี่ยเอ่ยบอกท่านแม่ด้วยน้ำเสียงเบา ๆ
"ท่านแม่ ข้าขออนุญาตออกไปเดินเล่นสักครู่เจ้าค่ะ ตรงนั้นต้นไม้เยอะน่าจะไม่ร้อน ข้าไปไม่ไกลเจ้าค่ะ"
เจียงซิ่วเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางดูเป็นห่วงลูกสาวมาก
"เจ้าใหญ่ เจ้าจะออกไปคนเดียวหรือลูก? แม่ไม่ไว้ใจ ถ้าอย่างนั้นให้เจ้าเล็กเดินไปกับเจ้าด้วยดีหรือไม่?" นางมองร่างผอมบางของลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เกิดเป็นลมหมดสติไปจะทำอย่างไร ให้เจ้าเล็กไปด้วยนะดีแล้ว
เจียงหย่าเสวี่ยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้ว่าท่านแม่เป็นห่วง นางหันมองเจ้าน้องชาย 6 นิ้ว (มือ) ของนาง เจียงหยวนเจี๋ยที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ และยิ้มแป้นมองมาเพราะเขาก็อยากออกไปเดินเล่นเช่นกัน และเขามองกดดันนางมาก สีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘ตกลงสิพี่ใหญ่ ตกลงสิพี่ใหญ่’ อะไรประมาณนั้น เมื่อเห็นสายตาคาดหวังขนาดนั้นเจียงหย่าเสวี่ยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้า
"ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ เจี๋ยเออร์ไปกับพี่ใหญ่นะ"
“ไป ไป…ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่านเองพี่ใหญ่”
เจียงหยวนเจี๋ยกระโดดลุกขึ้นด้วยท่าทางกระตือรือร้น แม้ว่าร่างกายของเขาจะผอมบางมาก แต่ในดวงตาของเขายังมีความมุ่งมั่นและความสดใส หน้าตาของเขาน่ารักหล่อเหลาแม้จะยังเด็ก ผมดำยาวตกลงมาเล็กน้อยปิดหน้าผาก และรอยยิ้มที่ซุกซนเล็กน้อยทำให้เขาดูเป็นเด็กที่มีเสน่ห์
"พี่ใหญ่ข้าจะไปกับพี่เอง ข้าจะปกป้องพี่ให้ดีที่สุดเลย! ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ เชื่อใจข้าได้เลย" เจียงหยวนเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจจากนั้นก็ใช้มือเล็กตบที่หน้าอกเล็กๆ ของตัวเองเป็นการบอกว่าให้เชื่อเขาได้เลย แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าตนเองยังคงอ่อนแอเช่นกัน เนื่องจากการเดินทางที่ยาวนานและไม่ได้กินอาหารมากนักทำให้เขาผอมเช่นเดียวกับพี่สาวของเขา แต่ว่า…เขาอยากไปเดินเล่น…เออ…. เขาอยากไปปกป้องพี่ใหญ่….
เจียงหย่าเสวี่ยมองหน้าน้องชายอย่างเอ็นดู นางเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขาเบา ๆ
"ขอบใจมากนะ พอมีเจ้าไปด้วยแล้วพี่ใหญ่รู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะเลย ไปกัน!!"
เจียงหย่าเสวี่ยเดินจูงมือน้องชายขี้โรคของนางออกมาจากค่ายพัก ขณะที่คนอื่น ๆ กำลังจัดการเตรียมอาหารและดูแลที่พัก
เจียงหย่าเสวี่ยพูดกับน้องชายเมื่อเดินมาไกลสายตาคนพอสมควร
"เจ้าเล็ก เจ้าสามารถรักษาความลับได้หรือไม่?"
เจียงหยวนเจี๋ยตอบทันทีด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
"รักษาได้สิพี่ใหญ่ ข้านะเป็นคนที่รักษาความลับได้เก่งที่สุดเลยนะ แม้แต่ป้าจวงที่ชอบกระโดดตีลังกา และขวางมีด ฟันดาบ ข้ายังไม่เคยบอกใครเลยนะ ท่านเป็นคนแรกที่ข้าบอก....อะ.อ้าว!!!.."
เมื่อเขานึกได้ว่าตัวเองได้หลุดความลับไปเสียแล้วก็ทำหน้าเหลอหลาน่ารักน่าเอ็นดูใส่พี่สาว
เจียงหย่าเสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นท่าทางนั้นของเขาก็กลั้นหัวเราะและยิ้มอย่างก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
"เจ้าเล็ก เจ้าเพิ่งบอกความลับนั้นให้พี่ใหญ่ฟังแล้วนะ ฮาฮาฮา!!! แต่ไม่เป็นไร พี่ใหญ่จะไม่บอกใครว่าป้าจวงเป็นจอมยุทธก็แล้วกัน เจ้าเก่งมากแล้วที่รักษาความลับได้ขนาดนี้ เอาหล่ะข้าก็แค่จะให้เจ้าดูบางอย่าง ซึ่งความลับนี้จะทำให้ครอบครัวเราไม่ลำบากอีกต่อไป แต่อย่าบอกใครนะ"…
.เอาอีกแล้ว เจ้าเล็กจะไหวหรือเปล่า
เจียงหยวนเจี๋ยพยักหน้ารัวๆ ราวกับไก่จิกด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้เมื่อสักครู่เขาตื่นเต้นไปหน่อยที่อยากจะอวดพี่ใหญ่ว่าเขารักษาความลับมานานแล้ว แต่ว่าคราวนี้เขาเอาจริงแล้วนะ จะไม่บอกใคร
"ได้เลยพี่ใหญ่ ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น!"
จากนั้นเขาก็ยกมือเล็กผอมที่มี 6 นิ้วของเขาขึ้นมาปิดปาก เมื่อเขาเหลือบเห็นนิ้วที่หกที่เกือบทิ่มตาของตัวเอง เขาก็ค่อยดึงมือข้างนั้นลงและซ้อนมันเอาไว้อีกครั้ง เจียงหย่าเสวี่ยมองเห็นพอดี นางจึงหัวเราะอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ส่วนเจ้านิ้วน้อยที่เกินมาอันนี้เดี๋ยวพี่ใหญ่จะทำให้มันหายไปเอง เจ้าอดทนรอไม่นานนะน้องรัก”
“จะ ..จริงหรือพี่ใหญ่ท่านจะทำให้เจ้าเสี่ยวลิ้วของข้าหายไปได้จริงๆ หรือ”
เขาถึงขนาดตั้งชื่อนิ้วที่หกของตัวเองว่าเสี่ยวลิ้วแล้วเพราะนึกว่าจะต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต..
“ได้สิน้องรักเดี๋ยวพี่ใหญ่จะทำการผ่าตัดให้เจ้าเอง เสี่ยวลิ้วของเจ้าก็จะหายไป อดทนหน่อยนะ"
เจียงหยวนเจี๋ยน้ำตาไหลทันทีเขาพุ่งเข้าไปกอดพี่สาวแน่นทันที มันแน่นมากๆ ทำให้เจียงหย่าเสวี่ยรู้ทันทีว่าเขานั้นทุกข์ทรมานขนาดไหนที่มีเสี่ยวลิ้วอยู่ นางลูบหัวเขาเบาๆ ก่อนจะบอกว่านางจะแสดงบางอย่างให้เขาดู
นางหยิบพู่กันชิงหลงออกมาจากแขนเสื้อและมองหาบริเวณเหมาะๆ ไปรอบๆ บริเวณที่ยืนอยู่กลางป่า นางเงยหน้ามองภูเขาสูงที่อยู่เบื้องหน้านางจุงเจ้าเล็กเข้าไปเล็กน้อยจากนั้น…
เจียงหย่าเสวี่ยยืนมั่นคง จับพู่กันชิงหลงให้มั่นและเริ่มลงมือวาดลงไปบนกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่นางนำมาด้วย ภาพในจิตใจของนางชัดเจนมาก นางวาดภาพดงโสมใหญ่ที่แผ่กระจายอยู่รอบๆ เอาสัก 20 หัว พร้อมด้วยเห็ดหลินจือที่ขึ้นหนาแน่นสัก 30 ดอกทันทีพู่กันชิงหลงเริ่มส่องแสงสีฟ้า สายพลังแห่งสวรรค์ไหลผ่านจากปลายพู่กันลงสู่พื้นดิน ราวกับพลังชีวิตที่ค่อย ๆ ก่อเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเอง แสงสว่างที่เปล่งประกายจากพู่กันเริ่มแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ แสงสีฟ้าและสีทองหมุนวนรอบตัวเจียงหย่าเสวี่ย ราวกับว่าพลังสวรรค์กำลังแผ่ขยายผ่านพู่กัน สายลมที่เคยสงบกลับกลายเป็นกระแสลมที่หมุนวนพัดพาเอาใบไม้และกลีบดอกไม้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า รากไม้และพืชพรรณรอบ ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง โสมขาวบริสุทธิ์เริ่มงอกขึ้นมาจากพื้นดินราวเป็นหัวไชเท้าอย่างอัศจรรย์ รากยาว บางหัวมีแขนขาคล้ายคนซึ่งบ่งบอกอายุว่ามากกว่า 500 ปี แน่นอน และถัดไปก็เป็นดงเห็ดหลินจือสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีไม้ผุพังขอนใหญ่อยู่ด้านล่าง มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเต็มไปด้วยพลังแห่งธรรมชาติ
ท่ามกลางแสงสว่างและสายลมที่หมุนวน ดอกไม้ป่าหลากสีเริ่มเบ่งบานขึ้นรอบตัวเจียงหย่าเสวี่ย กลีบดอกไม้สีทองและสีม่วงเปล่งประกายส่องแสงออกมาเหมือนกับดาวตกในยามค่ำคืน สัตว์ป่าที่อยู่ใกล้เคียงค่อย ๆ โผล่ออกมาจากที่ซ่อน ราวกับว่าพวกมันถูกดึงดูดด้วยพลังที่เปล่งประกายออกมา กวางสีขาวสองตัวเดินเข้ามาใกล้เจียงหย่าเสวี่ยมองดูด้วยความตะลึงงัน ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นกวางเหล่านั้นโค้งคำนับราวกับแสดงความเคารพต่อพลังแห่งสวรรค์ที่นางปลดปล่อยออกมา
เจียงหย่าเสวี่ยยิ้มออกมาอย่างพอใจ ขณะที่แสงจากพู่กันค่อย ๆ จางลง ดงโสมและดงเห็ดลินจือดงใหญ่ที่นางวาดกลายเป็นจริง ป่าที่เคยเงียบสงบกลับมีชีวิตชีวาด้วยพลังธรรมชาติและสีสันที่น่าทึ่งของโสมและเห็ดหลินจือ แสงแดดที่ส่องผ่านใบไม้ลงมาสะท้อนกับแสงของดอกไม้และโสม ทำให้พื้นที่รอบ ๆ ดูเหมือนสรวงสวรรค์ นางรู้สึกโล่งใจอย่างมากที่สามารถช่วยท่านแม่และคนอื่น ๆ ได้บ้าง
ส่วนเจ้าเสี่ยวลิ้ว…เอ้ย…เจ้าเสี่ยวเจี๋ยนั้นตาค้างไปแล้ว เขายกนิ้วมือขึ้นและชี้ไปที่แสงสว่างจ้านั้นมือสั่นไปหมด
“ป๊อก!!!"
เสียงกิ่งไม้ที่หักทำให้ทั้งสองหันควับมองไปด้านหลังทันที และคนที่ทำกิ่งไม้หักนั้นก็ไม่ใช่ใครแต่ว่าเป็นป้าจวง…เป็นท่านจอมยุทธนั้นเองรึ …. เจียงหย่าเสวี่ยมองและยิ้มเล็กน้อย….
****เอาหล่ะสิต่างฝ่ายต่างก็มีความลับแล้ว5555*****