บทที่ 1 ความรู้สึกที่รุนแรง (3)
เวียงพิงค์นั่งดูเมนูอาหารในมืออย่างตั้งใจ วันนี้มีเพื่อนซี้อย่างยัยหมวยมาช่วยปิดร้านแล้วยังรบเร้าให้มากินข้าวด้วย คนที่หิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยไม่คิดจะปฏิเสธแต่อย่างใด ยิ่งรู้ว่าจะมากินที่ร้านญาติสนิทเพื่อนด้วยเลยไม่คิดจะเล่นตัว เพราะมากินที่นี่ทีไรนอกจากอิ่มท้องแล้วยังได้กินฟรีอีกต่างหาก อาหารก็อร่อยถูกปากจนยากที่จะไม่ตอบรับไมตรีของเพื่อนรัก
“เจ๊หมวย พี่พิ้งค์มากินมาข้าวฟรีกันอีกแล้วเหรอครับ สงสารพี่เทพมั่งเหอะพี่สองคนกินทีร้านแทบขาดทุน” แทนไทโพล่งขึ้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างพี่สาว ความจริงเรื่องที่แซวมันห่างไกลจากความจริงอยู่มากร้านพี่ชายเขาไม่เคยเฉียดใกล้คำว่าขาดทุนเลยแม้แต่น้อย แค่อยากจะแหย่สาวๆเล่นก็เท่านั้นเลยแกล้งพูดแบบนี้
“พี่กับเจ๊หมวยของเราไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นนะแทนไท พูดเล่นกับสาวๆแบบนี้ไม่โอเคเลยนะรู้ไหมพ่อหนุ่มน้อย” เวียงพิงค์มองค้อนคนชอบอำหนึ่งที รู้หรอกว่าโดนแกล้งแต่ถึงจะหิวขนาดไหนเธอก็คงไม่มีปัญญากินให้เจ้าของเกือบขาดทุนได้หรอก
“นั่นสิ เดี๋ยวก็ตบปากฉีกเลย พี่เทพเขาเต็มใจให้ฉันกับยัยพิ้งค์กินเถอะย่ะ ว่าแต่นี่มันยังหัวค่ำอยู่เลยนะปกติแกต้องโผล่มาตอนดึกๆไม่ใช่เหรอยะไอ้น้องบ้า ฝนจะตกหนักรึเปล่าก็ไม่รู้ที่แกกับฉันบังเอิญมาเจอกันตอนนี้ได้เนี่ย ตาย ๆ” สาวหมวยหน้าใสเบ้ปากประชดคนข้างกายอย่างหมั่นไส้เต็มกำลัง
“เรื่องเว่อร์นี่ต้องยกให้เจ๊หมวยเลยจริงๆ ไปดีกว่าไม่อยากจะนั่งฟังคนแก่บ่นจนหูชา กินข้าวให้อร่อยนะครับพี่พิ้งค์แต่ถ้าไม่อยากนั่งกับเจ๊แค่สองคนโต๊ะผมยินดีต้อนรับนะครับ ชั้นสองเลย” ชี้นิ้วไปยังทิศทางของโต๊ะตัวเองให้สาวรุ่นพี่ดู
“เอ๊ะ! นั่นมันผู้ชายคนที่มาซื้อดอกไม้ที่ร้านแล้วให้ทิปเราเยอะนี่นา บังเอิญจัง” เวียงพิงค์พึมพำกับตัวเองเมื่อมองตามนิ้วของน้องชายเพื่อนไป เธอจำเขาได้แต่ก็ไม่คิดจะเดินไปทักทายเพราะบางทีเขาอาจจะลืมเธอไปแล้วก็ได้ อีกอย่างก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปรื้อฟื้นอะไรด้วย ไม่งั้นเจอใครที่เคยมาเป็นลูกค้าเธอไม่ต้องตามไปทักทายทุกคนเลยเหรอถ้าหากบังเอิญได้เจอกันข้างนอกอย่างนี้ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดีกว่าถ้าเขาจำได้แล้วอยากทักค่อยว่ากันดีกว่า
“พี่พิ้งค์พูดอะไรนะครับพอดีเมื่อกี้ได้ยินเสียงพี่ไม่ถนัด หรือว่ารู้จักหนึ่งในเพื่อนผมครับ” แทนไทถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพราะดูจากสายตาแล้วอาจจะเป็นไปได้
“เพื่อนแทนนั่งกันตรงไหนพี่ยังไม่รู้เลย แล้วจะรู้จักเพื่อนเราได้ยังไงล่ะจ๊ะพ่อหนุ่ม” มีหลายโต๊ะที่มีคนนั่งอยู่แล้วเธอก็ไม่รู้ที่แทนไทชี้ไปนั้นคือโต๊ะไหน
“งั้นก็ช่างมันเถอะครับผมเข้าใจผิดเอง เอาเป็นว่าผมนั่งอยู่แถวๆนั้นนั่นแหละ มีอะไรก็เรียกผมได้ ผมกลับไปคุยกับเพื่อนต่อแล้วนะครับ” บอกก่อนจะเดินกลับไปหาเพื่อน
“จ้ะ”
“เลือกเมนูได้แล้วเราก็สั่งอาหารกันเถอะพิ้งค์ ไม่มีคนรบกวนเวลากินของเราสองคนแล้ว” หมวยพูดติดตลกแล้วกวักมือเรียกพนักงานให้มารับออเดอร์
มือใหญ่ขาวจัดควงแก้วเหล้าสีอำพันในมือเล่นไปเรื่อยอย่างเหม่อ ๆ สายตาที่ยากจะคาดเดามองตรงไปยังโต๊ะที่มีญาติสาวคนสนิทของเพื่อนนั่งอยู่แทบจะตลอดเวลา ไม่สนใจจะคุยอะไรกับเคนโด้แม้แต่น้อย อีกคนก็หาได้ใส่ใจไม่เพราะตอนนี้ข้างกายมีสาวสวยมานั่งคลอเคลียนัวเนียด้วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ไม่ชวนเจ๊หมวยกับเพื่อนมานั่งกับเราด้วยล่ะ สาว ๆ นั่งกันแค่สองคนจะไปสนุกอะไรวะ กร่อยแย่” ปริญหยั่งเชิงกับเพื่อนเมื่อมันกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วเรียบร้อย
“เจ๊หมวยกับพี่พิ้งค์แค่มากินข้าวไม่ได้ต้องการความสนุกอะไรที่แกว่าหรอก ขอบใจที่หวังดีกับพี่สาวฉัน” ยักคิ้วแล้วสนใจโทรศัพท์ในมือที่กำลังโหลดเข้าเกมส์อยู่
“พี่พิ้งค์งั้นเหรอ เธอคงสนิทกับเจ๊หมวยมากสินะ กับแกเองก็เหมือนกัน รู้จักกันนานแล้วเหรอวะไม่เคยได้ยินแกพูดถึงเลยคนเนี้ยะ” ยังคงเลียบ ๆ เคียง ๆ ต่อไปอย่างเนียน ๆ ทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของตัวเองแม้แต่น้อย
“รู้จักมานานมากแล้วแหละ สงสัยอะไรขนาดนั้นวะหรือว่าแกสนใจพี่พิ้งค์” ถามอย่างไม่ได้คิดอะไรแต่คนถูกตั้งคำถามนี่สิไม่คิดจะปฏิเสธแต่อย่างใดทำเอาต้องเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยขึ้นมาทันที “เฮ้ย ๆ นี่แกชอบพี่พิ้งค์จริงดิวะปริ๊นท์ เห็นในระยะไกลแกก็ชอบได้แล้วเหรอวะ หรือมันมีอะไรมากกว่านั้นที่ฉันยังไม่รู้”
“ทำไมถามมากแท้วะแทน แต่ก็เอาเถอะว่ะเอาเป็นว่าก่อนที่ฉันจะตอบคำถามของแก แกต้องบอกมาว่าพี่พิ้งค์ของแกมีแฟนแล้วรึยัง” เขายังไม่รู้ว่าเธอมีใครแล้วหรือยัง ที่ถามก็ลุ้นคำตอบอยู่เหมือนกัน แค่คิดว่าอาจจะมีใครสักคนที่เธอมีใจให้ก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“ไม่มีหรอก มีแต่คนจีบเห็นว่าคนมาต่อคิวเยอะแยะไปหมดด้วย อันนี้เจ๊หมวยพูดนะฉันไม่รู้อยากรู้ก็ต้องถามเอาเอง บอกเรื่องที่แกต้องการแล้วทีนี้ก็ตอบคำถามฉันมาเลยไอ้ปริ๊นท์ และบอกไว้ก่อนเลยว่าคนนี้แกคิดจะเล่นๆเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้นะโว้ย อันนี้พูดจริงจังนะไม่ใช่แค่ขู่เฉย ๆ” เตือนก่อนที่ไอ้เสือไวไฟมันจพลงมือทำอะไรเพราะเขาเองก็เคารพพี่สาวคนนี้อยู่ไม่น้อยเลยไม่อยากจะให้เพื่อนทำเล่น ๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะเข้าหน้ากันไม่ติดเอาได้
“ไอ้ปริ๊นท์มันปิ๊งใครเหรอวะแทนเมื่อกี้ฉันไม่ทันฟังขออีกครั้งหนึ่ง” ที่ไม่ได้ฟังเป็นเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรือนร่างอวบอึ๋มที่สุดแสนจะเซ็กซี่ในอ้อมแขนจึงได้ยินอะไรไม่ค่อยจะถนัดหูสักเท่าไหร่
“งั้นก็อยากรู้ต่อไปเพราะฉันไม่บอกแกหรอกเว้ย! หรือไม่ก็ลองถามน้องหนูแกเอาสิเผื่อจะรู้ไอ้โด้” แทนไทพูดแค่นั้นแล้วหันมาจ้องหน้าตัวต้นเรื่องที่นั่งเงียบต่อ
หมวยกับเวียงพิงค์มองหน้ากันตาปริบ ๆ เมื่อแทนไทพาเพื่อนมานั่งด้วยโดยอ้างว่าไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับเพื่อนอีกคนที่เอาแต่กกผู้หญิง ซึ่งฟังแล้วมันดูไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีใครขัดเพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“น้องคนนี้เป็นเพื่อนแทนเองเหรอเนี่ย” เวียงพิงค์ชี้นิ้วไปที่หนุ่มหล่อหน้าใสที่เธอจำได้อย่างแม่นยำ งั้นที่เคยเดาว่ายังเรียนอยู่ก็คิดถูกน่ะสิ เพราะแทนไทเองก็ยังเรียนไม่จบเหมือนกัน และความบังเอิญนี่มันก็เกิดขึ้นได้เสมอจริง ๆ
หนุ่มหล่อที่ถูกสาวสวยชี้อมยิ้มให้กับท่าทางแปลกใจนั้นของเธอ แต่ก็โคตรจะขัดใจเลยที่เวียงพิงค์เรียกเขาว่าน้องคนนี้เพราะว่าไม่อยากให้เธอคิดว่าเขาอายุน้อยกว่าน่ะสิ เฮ้ย! พ่อกับแม่น่าจะให้เขาเกิดมาก่อนเธอสักสามสี่ปีคิดอย่างพาล ๆ
“พี่พิ้งค์เคยเจอกับไอ้ปริ๊นท์มันมาก่อนเหรอครับเนี่ย” เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยอย่างแปลกใจเพราะเรื่องนี้ไอ้เพื่อนตัวดีมันไม่ได้เล่าให้เขาฟังน่ะสิ ถามอะไรก็ไม่ค่อยจะตอบหรอก แถมยังบังคับให้พามันมาที่โต๊ะนี้อีกต่างหาก เอากับมันสิไม่น่าช่วยเลย
“นั่นดิแกเคยเจอนายปริ๊นท์ตอนไหน” หมวยเองก็ถามบ้างแต่ไม่ได้ตกใจอะไรเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนสองคนจะเจอกันแล้วบังเอิญเป็นเพื่อนของคนที่รู้จัก โลกนี้มันกลมจะตายไป