ความสูญเสีย(2)
“คุณนนท์ เพิ่งตื่นหรือว่ายังไม่ได้นอนครับ”
พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ปั่นจักรยานผ่านมาเอ่ยถาม
“ผมนอนไม่ค่อยหลับ”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบก่อนที่เขานั้นจะชะเง้อมองไปยังบ้านตรงข้ามซึ่งเปิดไฟสว่าง
“ผมเห็นบ้านนั้นเปิดไฟทั้งวันทั้งคืน เปิดแบบนี้มาหลายวันแล้ว”
เขามองลงมาจากด้านบนเห็นว่าบ้านตรงข้ามเปิดไฟสว่างโดยที่ไม่มีคนอยู่ เขาเห็นมาสักพักแล้วแต่ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจ พนักงานรักษาความปลอดภัยหันมองไปยังบ้านหลังนั้นก่อนที่เขาจะหัวเราะเบาๆและเอ่ยตอบ
“เจ้าของบ้านน่าจะไปต่างจังหวัดครับ ตอนแรกผมก็จะเข้าไปปิดไฟให้ แต่เขาไม่ไว้ใจเลยไม่ยอมให้ผมเข้าไป ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย”
อีกฝ่ายไม่ไว้ใจเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร หากเทียบกับความร่ำรวยของเจ้าของบ้านแล้วค่าไฟแค่นี้คงไม่สะเทือน
พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่อยากหาเหาใส่หัว หากเขาพยายามทำตัวเป็นพลเมืองดีแต่นำความเดือดร้อนมาให้ตัวเอง สู้เขาอยู่เฉยๆยังดีเสียกว่า
“ผมไปก่อนนะครับ ต้องไปตรวจด้านหลังโครงการด้วย”
ยามหนุ่มเอ่ยก่อนจะปั่นจักรยานจากไป ธนนท์เดินเข้าบ้านก่อนที่เจ้าหมาสามตัวจะเข้ามารุมล้อมและปีนป่ายตัวเขาด้วยความดีใจ นับตั้งแต่วันที่ ประภาวดีไม่อยู่ เจ้าโกลเด้นทั้งสามก็ดูเศร้าเหงาซึม ราวกับพวกมันรับรู้ว่าเจ้านายนั้นไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
ชายหนุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องคอยดูแลพวกมันอย่างเอาใจใส่ แม้มันจะเป็นแค่สัตว์เลี้ยงแต่เขาก็รักและเอ็นดูไม่น้อยไปกว่าประภาวดี
ก่อนหน้าที่หญิงสาวจะประสบอุบัติเหตุจากไป เธอเคยเปรยขึ้นมาว่าหากวันหนึ่งเธอไม่อยู่แล้ว ขอให้เขานั้นช่วยดูแลเจ้าหมาทั้งสามให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับที่เธอเคยดูแล
ธนนท์ยึดมั่นคำสัญญานั้นมาโดยตลอดและจะทำแบบนี้ต่อไป จนกว่าเขาและพวกมันจะตายจากกัน
“ทำไม่นอน”
เจ้าหมาร้องคราง ก่อนจะหมอบลงตรงเท้า ชายหนุ่ม มันใช้จมูกดันรองเท้าเขาก่อนจะซบหน้าลงบนขา
“ฉันเข้าบ้านก่อนนะ เดี๋ยวฉันต้องเตรียมอาหารให้”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนที่เจ้าหมาตัวโตจะถอยกลับไปยังที่ของตัวเอง แม้เวลาจะใกล้เช้าแต่ธนนท์ก็ยังนอนไม่หลับ เขาเข้ามาในห้องพระก่อนจะสวดมนต์และนั่งสมาธิ แต่เมื่อหลับตาลงภาพของประภาวดีก็ฉายขึ้นมา ทำให้ชายหนุ่มนั้นต้องลืมตาตื่นขึ้น
เช้าวันต่อมารถยุโรปคันหรูขับเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ หญิงวัยกลางคนเดินลงมาพร้อมกับแม่บ้านที่เธอนั้นพามาด้วย เมื่อเข้ามาด้านในก็พบว่าข้าวของนั้นกระจัดกระจายวางไม่เป็นที่ ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นอับ คล้ายกับว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อระบายอากาศเลย
“เดี๋ยวเธอรีบทำความสะอาด ทำให้สะอาดเลยนะ ข้าวของพวกนี้ก็เก็บเอาไปทิ้งให้หมด เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน อากาศจะได้ระบาย ทำให้เต็มที่เดี๋ยวฉันจะจ่ายค่าจ้างให้พิเศษ”
ดูจากสภาพบ้านแล้ว แม่บ้านทั้งสองของเธอคงจะเหนื่อยไม่น้อย วราภรณ์เดินขึ้นมายังชั้นสอง เธอมองบนบันไดที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษและแก้วน้ำ นอกจากนี้ยังมีหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้รวมทั้งกล่องอาหาร
หญิงวัยกลางคนถอนหายใจยาว เธอขึ้นมาชั้นสองก่อนจะเห็นว่าลูกชายนั้นกำลังนั่งอยู่ในห้องพระ ชายหนุ่มนั่งชันเข่า เหม่อมองไปยังรูปของประภาวดีที่ติดอยู่บนผนัง
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า มันดูหม่นหมองและไร้ชีวิตชีวา
“นนท์ กินอะไรหรือยังลูก วันนี้แม่ทำกระเพาะปลามาด้วยนะ แล้วก็มีหอยจ๊อด้วย แม่ทอดให้กรอบๆเลย”
หญิงวัยกลางคนกล่าวก่อนจะนั่งลงข้างลูกชาย ธนนท์หันมองผู้เป็นแม่ก่อนยกยิ้มเนือย ตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่ได้กินอะไร เพราะจู่ๆก็รู้สึกกินไม่ลงทำให้ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
“ผมยังไม่หิวเลยครับแม่”
ถึงชายหนุ่มจะพูดแบบนั้นแต่วราภรณ์ก็ไม่ได้เชื่อ ลูกชายของเธอดูซูบผอมไปมาก ทั้งยังดูทรุดโทรมหนวดเครารกรุงรัง จนแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม
เธอเข้าใจดีว่าลูกชายรักแฟนสาวมาก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้ว คนที่ยังคงอยู่ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป เธอเข้าใจความรู้สึกของลูกชายดี ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากให้เขากลับไปใช้ชีวิตแบบปกติ ไม่ใช่หมกตัวอยู่แต่ในบ้านแบบนี้
ธนนท์เคยเป็นคนที่มีความสุข เคยเป็นคนที่ชอบเข้าสังคม และมักจะโทรมาหาเธอเพื่อถามไถ่ สารทุกข์สุขดิบอยู่เสมอ แต่หลังจากที่ผ่าน ความสูญเสียครั้งใหญ่ ชายหนุ่มก็เสียศูนย์ เขาไม่ไปทำงานและไม่ยอมออกมาเจอผู้คน เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านเป็นปีๆ นานๆทีถึงจะเดินออกไปนอกบ้าน สักครั้ง
วราภรณ์ไม่สบายใจที่เห็นลูกชายเป็นแบบนี้ ใช่ว่าเธอไม่เสียใจที่จู่ๆก็ต้องสูญเสียว่าที่ลูกสะใภ้ไปกะทันหัน แต่เพราะเธอเชื่อว่าประภาวดีนั้นไม่ได้อยากให้ทุกคนต้องเศร้าเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร เธอจึงได้ใช้ชีวิตต่อไป แต่ก็ยังระลึกถึงหญิงสาวที่มีจิตใจงดงามอยู่เสมอ
“ลูกเป็นแบบนี้แม่ไม่สบายใจเลยนะ และแม่คิดว่าวดีเขาก็คงไม่สบายใจเหมือนกันถ้ารู้ว่าลูกจมทุกข์แบบนี้”
วราภรณ์กล่าวขึ้น ในฐานะที่เธอเป็นแม่เธอไม่สบายใจที่เห็นลูกเป็นแบบนี้ ธนนท์เอาแต่เก็บตัวใช้ชีวิตเหลวไหลไปวันๆ ทั้งยังไม่ยอมกินข้าวกินปลาเอาแต่ดื่มเหล้าเบียร์จนขวดเกลื่อนกลาดเต็มพื้นห้อง
“แม่มาทำอะไรครับ”
ชายหนุ่มเหมือนคนเบลอๆไม่รับรู้อะไร ไม่ว่าใครจะพูดจาปลอบใจยังไงก็ไม่ได้ช่วยเยียวยาเขาเลยแม้แต่น้อย ในหัวของเขาครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของ ประภาวดี และเฝ้าจินตนาการว่ายังคงมีเธออยู่ในชีวิต นี่คือเหตุผลที่เขานั้นไม่อยากออกไปเจอใคร เพราะรู้ว่าทุกคนจะต้องพูดเรื่องความสูญเสียขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วจบท้ายด้วยการปลอบใจแบบไร้ประโยชน์
“แม่จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด บ้านสกปรกจะทำให้เราเครียด ไม่อยากให้ลูกผ่อนคลายเลยหาคนมาทำความสะอาดให้”
ชายหนุ่มพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร เขา เอนกายพิงผนังก่อนจะเหม่อมองไปยังรูปของคนรัก
วราภรณ์ปวดใจเหลือเกินที่เห็นลูกชายเป็นแบบนี้ เธอพยายามครุ่นคิดหาทางออกมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็ไม่ได้ช่วยให้จิตใจของธนนท์ดีขึ้นเลย
เวลาก็ผ่านมานานเกือบสองปี เขาควรจะเริ่มต้นใหม่ได้แล้วแต่ทำไมถึงยังจมปลักอยู่กับสิ่งที่ไม่มีวันกลับมา วราภรณ์อยากให้ลูกชายคิดได้เหมือนที่เธอคิด เธอเองก็เคยผ่านการสูญเสียมาก่อน เธอสูญเสียพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป เธอจึงไม่ได้จมปลักอยู่กับความเศร้าเหมือนที่ลูกชายกำลังเป็น