ตอนที่ 4 ข่าวร้อนสะกิดใจ
ช่วงสายของวันรุ่งขึ้นร่างบางที่นอนนิ่งอยู่ท่าเดิมบนเตียงกว้างมานานกว่าครึ่งชั่วโมงก็พลิกตัวเปลี่ยนอิริยาบถ เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้น ก่อนจะปิดลงอีกครั้งเมื่อแสงที่ลอดผ้าม่านผ่านเข้ามาแยงตา ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับเสียงคราง ศีรษะของเธอปวดหนึบจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
“ทำไมมันปวดหัวอย่างนี้...” ปราณปริยาพยายามพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง พลางลำดับเหตุการณ์เมื่อคืนไปด้วย เธอจำได้แค่ว่าไปเที่ยวผับแห่งหนึ่งกับดารินทร์แล้วดื่มหนักมากๆ นั่นคงเป็นสาเหตุให้เธอปวดหัวแทบระเบิดจากอาการเมาค้าง
ปราณปริยาขานรับเสียงยานคางปนงัวเงียอย่างคนตื่นไม่เต็มตาเมื่อมีคนเคาะประตูห้อง
“ค่า”
“ตื่นแล้วหรือคะ”
“ค่ะป้า ป่านขออาบน้ำแต่งตัวแป๊บหนึ่งนะคะ”
“งั้นเดี๋ยวป้าเตรียมอาหารไว้รอนะคะ”
“ขออะไรที่ทานแก้แฮงก์ให้ป่านด้วยนะคะ”
“ได้ค่ะ”
ป้าแหม่มเดินออกไปครู่ใหญ่ ปราณปริยาซึ่งนั่งนิ่งอยู่บนเตียงถึงได้ขยับตัวไปอาบน้ำแต่งตัว ทั้งที่ยังปวดศีรษะหนึบและมวนท้องนิดๆ
หลังจากอาบน้ำเรียกความสดชื่นซึ่งไม่ได้บรรเทาอาการปวดศีรษะและมวนท้องเท่าไรนัก ดังนั้นสิ่งที่เธอหวังว่าจะช่วยให้หายจากอาการเมาค้างก็คืออาหารของป้าแหม่ม และก่อนจะลงไปก็ไม่ลืมที่จะควานหาโทรศัพท์มือถือเผื่อมีใครโทร. หา และก็มีสายที่ไม่ได้รับและข้อความจากดารินทร์
‘ฉันโทร. หาไม่มีคนรับ โทร. เข้าเบอร์บ้านก็บอกว่าแกยังไม่ตื่น ถ้าตื่นแล้วโทร. หาด้วย เป็นห่วง’
ปราณปริยายิ้มบางๆ ก่อนจะเดินออกจากห้อง เธอควรจะหาอะไรใส่ท้องและแก้อาการเมาค้างก่อนจะโทร. หาดารินทร์ดีกว่า
ทันทีที่ร่างบางในชุดอยู่บ้านเดินมาถึงโต๊ะอาหาร ป้าแหม่มที่ยืนรออยู่ก็รีบรายงาน
“เมื่อเช้าคุณอ้อนโทร. มาบอกว่าถ้าคุณป่านตื่นแล้วให้โทร. หาเธอด้วยค่ะ”
ปราณปริยาพยักหน้ารับ คิดว่าดารินทร์คงฝากป้าแหม่มก่อนจะส่งข้อความหาเธออีกครั้งเพื่อไม่ให้คำสั่งตกหล่น
“แล้วมีคนอื่นอีกไหมคะ”
“จะมีก็แต่คุณผู้หญิงกับคุณปอแหละค่ะที่โทร. มาถามว่าคุณป่านเป็นยังไงบ้าง”
“นี่แม่กับพี่ปอรู้ด้วยหรือว่าเมื่อคืนป่านดื่มหนัก” เธอหันมาเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ กับมารดาเธอไม่ข้องใจเท่าไร แต่กับพี่ชายของเธอนี่สิ
“รู้สิคะ ก็คุณทั้งสองเป็นคนมารับคุณป่านขึ้นไปบนห้อง คุณปอยังชมคุณอ้อนเปาะเลยว่าเอาคุณป่านที่เมาแอ๋กลับมาบ้านได้ยังไง”
“อย่าถามป่านนะคะ ป่านเองก็จำไม่ได้” ปราณปริยายิ้มแหยๆ พลางตักโจ๊กร้อนๆ ใส่ปาก เมื่อกลืนแล้วก็รู้สึกดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“ทานโจ๊กเสร็จแล้ว อย่าลืมดื่มน้ำส้มคั้นตามนะคะ ช่วยลดอาการปวดหัวได้”
“ขอบคุณค่ะป้า” ว่าแล้วเธอก็ยกน้ำส้มขึ้นมาดื่มเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ละเลียดโจ๊กในถ้วยให้ได้มากที่สุด
“งั้นป้าขอไปทำงานต่อก่อนนะคะ”
“ค่ะ” ปราณปริยาหันไปยิ้มให้ป้าแหม่มนิดหนึ่งก่อนจะหันมาสนใจโจ๊กต่อ รับประทานไปได้แค่ครึ่งถ้วยเธอก็รับประทานต่อไม่ไหว ถ้าขืนยัดมากกว่านี้มีหวังได้ออกทางเดิม หลังจากดื่มน้ำส้มจนหมดแก้วแล้ว หญิงสาวจึงเรียกป้าแหม่มมาเก็บโต๊ะ จากนั้นก็ตรงดิ่งขึ้นห้องทันที
เธอไม่ได้ง่วงแค่รู้สึกปวดศีรษะเวลานั่งหรือยืน เลยคิดว่าอิริยาบถที่น่าจะช่วยบรรเทาอาการนี้ได้น่าจะเป็นการนอน จากนั้นก็เริ่มต่อสายหามารดาเป็นคนแรก ปราโมทย์หรือพี่ปอเป็นคนต่อมา และสุดท้ายก็เป็นดารินทร์ที่คิดว่าน่าจะคุยกันนานที่สุด แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่อำนวยเธอเลยต้องวางสาย ก่อนจะรับประทานยาแล้วนอนหลับยาว
จนกระทั่งเกือบจะสี่โมงเย็นปราณปริยาที่เหมือนจะพักผ่อนเต็มที่แล้ว จึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นกว่าตอนสายๆ อาการปวดศีรษะยังคงมีแค่เล็กน้อยเท่านั้น ส่วนอาการมวนท้องหรืออาการอื่นๆ นั้นหายเป็นปลิดทิ้ง เธอลุกขึ้นไปอาบน้ำอีกครั้งก่อนจะลงมาข้างล่างเพื่อรับประทานข้าวเป็นรอบที่สองของวัน ยังรับประทานไม่ทันเสร็จด้วยซ้ำ เธอก็ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาในบ้าน และไม่กี่นาทีเธอก็เห็นดารินทร์ซึ่งเดินไวๆ หน้าตาตื่นตรงเข้ามาหาเธอถึงโต๊ะอาหาร
“บ่ายสี่ ทานข้าวอะไรเนี่ย” ดารินทร์ถามพลางเลื่อนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับเพื่อนออกแล้วทรุดตัวลงนั่งทันที
“วางสายจากแกก็เพิ่งตื่นนี่แหละ” คนที่กำลังรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยเงยหน้ามองดารินทร์นิดหนึ่ง แล้วรับประทานต่อพร้อมกับถามต่อไปว่า
“มีอะไรหรือเปล่า หน้าตาตื่นมาเชียว ไปร้านเวดดิงมาไม่ใช่เหรอ”
“รู้ไหมไปที่นั่นฉันเจออะไร”
ปราณปริยาส่ายหน้า แล้วให้ความสนใจอาหารตรงหน้ามากกว่าเรื่องที่เพื่อนรักกำลังจะเล่า ทำให้ดารินทร์ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“ฉันไปเจอเจ้าของร้านเวดดิงกับลูกค้าในร้านมา”
“น่าสนใจตรงไหน ไปร้านเวดดิงแล้วเจอเจ้าของร้านกับลูกค้า แกนี่ก็แปลก” ปราณปริยาบอกเสียงกลั้วหัวเราะ พลางเลิกคิ้วมองเพื่อนที่ทำหน้ายุ่งแล้วส่ายศีรษะ
“ไร้สาระน่ะแก”
“ไร้สาระสิ ก็แกไม่ได้เผชิญหน้ากับเขานี่ รู้ไหมฉันต้องไปขอโทษขอโพยเขายกใหญ่ ที่เมื่อคืนแกไปทำให้เขาเดือดร้อน แถมไปว่าเขาเป็นเกย์” ตอนท้ายประโยคดารินทร์พูดไม่เต็มเสียงนัก นั่นก็เพราะเธอเองก็คิดไม่ต่างจากปราณปริยาเลยสักนิด แต่วันนี้ทั้งเจ้าตัวและเวธน์ซึ่งเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของเธอ กลับเป็นเพื่อนสนิทกันเสียนี่ แถมยังยืนยันว่าสรัลเป็นแมนเต็มร้อย
“ฉันเนี่ยนะ?” ปราณปริยาวางช้อนลงแล้วยกนิ้วชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆ
“ฉันไปทำใครเดือดร้อนตอนไหนมิทราบ คนอย่างฉันถึงจะเมา แต่ก็เมาเรียบร้อยนะจ๊ะ”
“เหรอออ...” ดารินทร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พลางลากเสียงยาว
“เมาจนจะลงไปนอนกอดล้อรถ กระโปรงถลกไปถึงไหนต่อไหน มันเรียบร้อยตรงไหนจ๊ะ”
“ไม่จริง ฉันไม่เห็นจำได้” คนเมาที่ยืนยันว่าตัวเองเมาเรียบร้อยปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม
“แล้วเมื่อคืนแกจำอะไรได้บ้าง”
“ก็...ไปเที่ยวกับแกแล้วดื่มจนเมามาก จากนั้นก็...จำไม่ได้แล้ว” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มแหยๆ ให้ดารินทร์ที่จ้องมองอย่างคาดหวัง เธอเมามากจนจำอะไรไม่ได้จริงๆ
“นั่นไง แกน่ะเมามาก ระหว่างที่ฉันประคองแกจะพาไปขึ้นรถ แกก็ขว้างกระเป๋าไปโดนหัวคุณสรัล เท่านั้นยังไม่พอ พอเห็นหน้าคุณสรัลแกก็ฟันธงเลยว่าเขาเป็นเกย์ที่มาเที่ยวกับคู่รักอีก”
“จริงอะ?” ครางถามเสียงอ่อย
“แต่ฉันเพิ่งรู้ว่าคนรักที่แกว่าน่ะ เป็นพี่ชายแท้ๆ ของคุณสรัล แล้วตอนที่แกจะลงไปนอนกอดล้อรถคนที่แกตราหน้าว่าเป็นเกย์นั่นแหละเป็นคนอุ้มแกไปส่งถึงรถ ตอนนั้นน่ะเขาดูแมนมากๆ เลยนะแก ถอดเสื้อนอกมาคลุมกระโปรงให้แกด้วย” ทำเป็นแกล้งลืมที่เมื่อคืนความคิดของเธอก็เอนเอียงไปกับคำกล่าวหาของปราณปริยา
“รู้สึกแกจะเป็นปลื้มเขาเหลือเกินนะ”
“ก็ได้คุยกับเขาแล้ว เขาก็เป็นผู้ชายที่โอเคเลยนะ ถึงจะหน้าสวยไปนิด แต่มองดีๆ ก็หล่อแบบสวยๆ นั่นแหละ เห็นคุณเวธน์บอกว่าสมัยเรียนนะ คุณสรัลเขาเนื้อหอมมากทั้งในหมู่ชายไม่จริงแล้วก็หญิงแท้เลย”
“ใครจะไปรู้เผื่อแอ๊บ แต่ก็ช่างเถอะ เขาจะเป็นแมนหรือเกย์ก็ไม่เกี่ยวกับเรานี่นา ยังไงแกก็ขอโทษเขาแทนฉันไปแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ย่ะ” ดารินทร์ทำปากยื่นปากยาว “แต่นอกจากเรื่องคุณสรัลแล้ว รู้ไหมฉันเจอใครที่ร้านเวดดิง”
ดารินทร์มีสีหน้าจริงจังทั้งเคร่งเครียดกว่าตอนที่พูดเรื่องเจ้าของร้านเวดดิงหน้าสวย
“ใคร?”
“ฉันว่าเราเปลี่ยนที่คุยดีกว่า ห้องนอนแกละกัน”
“ทำไมต้องคุยที่ห้องนอน เรื่องลับหรือแก”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” ไม่รอเจ้าของห้องอนุญาต ดารินทร์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำเจ้าของห้องอย่างปราณปริยาไปข้างบน
“ฉันเจอคุณอภิชาติ”
ชื่อของอดีตว่าที่เจ้าบ่าวทำให้ปราณปริยาที่กำลังปิดประตูยืนนิ่ง และดารินทร์ที่นั่งอยู่บนเตียงก็สังเกตเห็นได้ไม่ยากเพราะคาดเอาไว้อยู่แล้ว
“ฉันไม่ควรมาเล่าให้แกฟังใช่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ทำให้ดารินทร์เริ่มรู้สึกผิดและคิดว่าตัวเองตัดสินใจพลาด
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรพูดถึงเขา”
“การพูดถึงบ่อยๆ ก็เหมือนภูมิคุ้มกัน” ปราณปริยาหันมาพูดพลางฝืนยิ้ม
“การดื่มหนักเมื่อคืนเพื่อปลดปล่อยอาจจะได้ผล เห็นไหมฉันไม่ร้องไห้”
“เวลาจะช่วยเยียวยาให้ทุกอย่างดีขึ้น ฉันไม่เล่าดีกว่าไหม”
“เล่าเถอะ ฉันอยากฟัง เขาไปทำอะไรที่ร้านเวดดิง”
‘หวังว่าชายหนุ่มคงไม่ได้หลอกผู้หญิงคนอื่นเหมือนที่ทำกับเธอหรอกนะ’ ที่เธอคิดเช่นนั้นก็เพราะครอบครัวของเขามีเชื้อสายจีน แถมค่อนข้างจะหัวโบราณ และอคติกับพวกรักร่วมเพศ ดูอย่างตอนที่ต้องยกเลิกงานแต่งงานเพราะชายหนุ่มมาสารภาพความจริงกับเธอสิ เธอไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่แม่และพี่ชายของเธอบอกว่าบ้านแทบแตก
“ฉันเห็นตอนเขาเดินออกจากร้าน เราไม่ได้เผชิญหน้ากัน คือฉันหลบทันน่ะ” เธอรู้จักกับอดีตคู่หมั้นของเพื่อนรักในระดับหนึ่ง พอเกิดเรื่องก็เลยยากที่จะเผชิญหน้าและพูดคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ในเมื่อเขาผิด...ผิดที่มาหลอกเพื่อนของเธอ
“แต่ฉันแอบถามเอาจากคุณขวัญ ฉันหมายถึงคุณสรัลน่ะ”
ปราณปริยามองเพื่อนอย่างไม่ไว้ใจ
“แกอย่ามองฉันอย่างนั้นสิ ฉันไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังเลย แค่บอกว่าเป็นคนรู้จักเท่านั้น”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”
“เขามาจ้างให้ร้านคุณขวัญไปจัดงานแต่งเล็กๆ ให้เขากับคนรัก...ที่เป็นเกย์น่ะ” ดารินทร์พูดจบก็ทำปากเบ้ เธอเฉยๆ กับพวกรักร่วมเพศเป็นทุนเดิม แต่เพิ่งมาไม่ชอบก็ตอนที่เพื่อนรักโดนหลอกนี่แหละ เธอเลยอยากสาปส่งความรักครั้งนี้ของอภิชาติกับคนรักให้พังพินาศ
“ช่างเขาเถอะ”
“แต่พวกเขามีความสุขบนความทุกข์ของแกนะ”
“เท่าที่รู้ความรักของพวกเขาก็คงไม่ราบรื่นเท่าไหร่หรอกมั้ง เห็นว่าทางครอบครัวของเขาทำใจรับเรื่องนี้ยังไม่ได้”
“ทั้งที่รู้ แต่ยอมเลิกล้มงานแต่งเนี่ยน่ะ”
“คงเพราะเขารักแฟนเขามาก หรือไม่ก็เขาคงขยะแขยงที่จะมาเป็นสามีของผู้หญิงแท้ๆ อย่างฉันก็ได้” คิดมาถึงตรงนี้ทีไรก็เจ็บจี๊ดทุกที แพ้ผู้หญิงด้วยกันยังพอว่า แต่นี่แพ้ผู้ชาย มันน่าเจ็บใจยิ่งกว่า
“สาธุ...ขอให้งานแต่งของพวกนั้นล่มไม่เป็นท่า” ดารินทร์หลับตาพลางพนมมือไหว้ท่วมหัว ปราณปริยาเห็นแล้วก็อดหัวเราะน้อยๆ ไม่ได้
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ฉันไม่คิดจะสนใจเรื่องของเขาอีกต่อไปแล้ว”
“แกไม่ร้องไห้” ดารินทร์ทำท่าตกใจราวกับเจอสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
“สงสัยการปลดปล่อยด้วยการดื่มหนักเมื่อคืนจะได้ผลมั้ง” ปราณปริยาบอกพลางยักไหล่ ลอยหน้าลอยตาพูด รู้สึกดีราวกับเธอพิชิตยอดเขาได้ประมาณนั้น มันเป็นความรู้สึกของการมีชัยชนะ
“งั้นฉันจะพาแกไปบ่อยๆ”
“บ้า ขืนดื่มอย่างนั้นบ่อยๆ ได้ตับแข็งตาย” หญิงสาวบอกเสียงใสก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่แกเถอะ ไปร้านเวดดิงแค่ไปดูร้านเฉยๆ หรือ”
“ก็มีคุยเรื่องธีมและแผนงานกับคุณขวัญคร่าวๆ บ้าง ระหว่างขับรถกลับฉันได้คุยกับคุณเวธน์เพิ่มเติม แต่มันเหมือนยังขาดๆ เกินๆ ยังไงไม่รู้ วันนี้ฉันเลยจะให้แกเป็นที่ปรึกษาช่วยแนะนำหน่อย แล้วฉันจะเอาไปคุยและปรึกษากับคุณเวธน์อีกทีน่ะ” ดารินทร์บอกเสียงอ้อนพลางขยับเข้ามาเกาะแขนปราณปริยาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
“จะพยายามเท่าที่จะทำได้แล้วกัน ไหนแกลองบอกแผนงานมาคร่าวๆ มาซิ”
ดารินทร์ลุกจากเตียงแล้วเริ่มเล่าถึงรูปแบบและแผนงานคร่าวๆ ด้วยดวงตาที่เป็นประกายแห่งความสุข โดยมีปราณปริยาที่หยิบกระดาษกับปากกามาคอยจดรายละเอียดที่สำคัญหรือสิ่งที่ต้องการเพิ่มเติมเพื่อกันลืม และบางครั้งคำพูดที่เพ้อฝันจนเกินจริงก็เรียกรอยยิ้มจากที่ปรึกษาอย่างปราณปริยาได้เป็นระยะๆ และรอยยิ้มนั่นคือสัญญาณว่าอีกไม่ช้าคนที่เคยจมอยู่กับความเศร้าจะดีวันดีคืน