4 ปีสุดท้าย
เพื่อนของธีรกานต์มีด้วยกันทั้งหมดห้าคนแต่ละคนกำลังเป็นแพทย์ใช้ทุนในแต่ละจังหวัดจึงมีเรื่องมาเล่าให้กันฟังอย่างสนุกสนาน เอวาริณฟังไม่รู้เรื่องเลยสักอย่างจึงได้แต่นั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ จนกระทั่งพวกเขาเลิกคุยเรื่องงานและเริ่มพูดเรื่องส่วนตัวกันเธอจึงแอบฟังอย่างตั้งใจ
“กานต์คิดหรือยังว่าจะเรียนเฉพาะทางอะไรต่อ” เพื่อนผู้หญิงถามขึ้น
“ก็อย่างที่เคยบอกไป ผมจะเรียนอายุรกรรมแล้วต่อด้วยตับและทางเดินอาหาร นิวล่ะ”
“นิวว่าจะเรียนเฉพาะทางเด็ก จริงๆ ก็อยากเรียนเหมือนกานต์นะมีอะไรจะได้ปรึกษากันแต่นิวไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
“ดีแล้วเลือกที่ตัวเองชอบ” ชายหนุ่มออกความเห็น
“เรียนคนละอย่างแบบนี้โอกาสกลับมาคบกันก็ยากสิ”
ในอดีตนั้นธีรกานต์กับณิชาภัทรเคยคบกันอยู่หลายเดือนก่อนที่จะเลิกกันตอนเรียนแพทย์ปีสุดท้าย
“นิวกับกานต์เหมาะสมกันมากนะ ถึงจะเรียนคนละแผนกแต่ถ้าได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพโอกาสได้เจอกันก็บ่อยขึ้น พวกเราเชียร์อยู่นะ” เพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้น
“แล้วกานต์คิดยังไงล่ะ” เพื่อนอีกคนก็ถามย้ำ
ธีรกานต์ไม่รู้จะตอบเพื่อนว่าอะไรเขาไม่เคยคิดเรื่องกลับมาคบกันเพราะตอนนี้ตนรู้สึกกับณิชาภัทรแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นเรื่องจะกลับมาคบกันเป็นแฟนนั้นเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด
“อย่าเชียร์เราสองคนให้เสียเวลาเลย นิวว่าเป็นเพื่อนกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนะ” คำตอบขอบณิชาภัทรทำให้ธีรกานต์สบายใจขึ้นมาก
เอวาริณแอบมองหมอสาวที่ชื่อณิชาภัทรแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้เธอเป็นผู้หญิงที่สวย ดูมีเสน่ห์และอ่อนหวานแต่ไม่รู้ว่าทำไมคนสวยแบบนี้ธีรกานต์ถึงไม่คิดจะกลับไปคบกับเธอ
เด็กสาวทานจนอิ่มก็นั่งเล่นมือถือไปเรื่อยส่วนคนอื่นก็ทานไปคุยไปอย่างสนุกสนาน
“ดูสิพวกเราเอาแต่คุยกันเองน้องเอวาเหงาแล้ว” รุ้งรดาคนที่ชวนเธอนั่งทานอาหารด้วยพูดขึ้น
“น้องเอวาอยู่บ้านข้างกานต์เหรอค่ะ” เพื่อนหญิงคนหนึ่งถาม
“ค่ะ”
“น้องคงสนิทกับกานต์มากนะคะวันนี้ถึงได้มาทานอาหารด้วยกัน”
เอวาริณยิ้มเพราะเธอกับธีรกานต์ไม่รู้ว่าจะสนิทกันหรือเปล่าเพราะช่วงหลังมานี้ทั้งสองไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่แต่เพราะคนที่ถามโตกว่าเด็กสาวจึงตอบไปตามมารยาท
“เอวากับพี่กานต์ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ค่ะ นานๆ พี่กานต์ถึงจะกลับมาบ้านแต่วันนี้พี่กานต์ว่างเอวาก็เลยขอให้พี่กานต์มารับค่ะ”
“กานต์เป็นพี่ชายที่น่ารักเหมือนกันนะ” ณิชาภัทรมองอดีตคนรักแล้วยิ้มให้ เธอเคยได้ยินเขาพูดถึงน้องสาวข้างบ้านอยู่หลายครั้งแต่ก็เพิ่งจะเคยเจอวันนี้
“ใช่ค่ะพี่กานต์เป็นพี่ชายที่น่ารักและใจดีที่สุด” เอวาริณพูดแล้วยิ้มอย่างภูมิใจในตัวของชายหนุ่ม
“มีพี่ชายน่ารักแบบนี้น้องเอวาหวงพี่ชายไหมคะ”
“นิดหน่อยค่ะ” เด็กสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อทานกันจนอิ่มแล้วเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มก็หันมาชวนธีรกานต์คุย
“เดี๋ยวเย็นนี้พวกเราจะไปดื่มกันต่อกานต์จะไปกับพวกเราไหม”
“เย็นนี้ผมมีนัดกินข้าวกับที่บ้านน่ะ”
“จริงสิวันนี้วันเกิดกานต์” ณิชาภัทรเพิ่งนึกออกว่าวันนี้เป็นวันเกิดของอดีตคนรักเธอรู้สึกเสียดายที่ตนเองไม่ได้เตรียมของขวัญมาด้วย
“เอางี้ไหมเย็นนี้กานต์ไปกินข้าวกับที่บ้านก่อนแล้วพวกเราค่อยออกไปฉลองกัน”
“ดีเหมือนกันนะนานๆ เราจะได้เจอกันแบบนี้” เพื่อนอีกคนก็เห็นด้วย
“ไปร้านเพื่อนผมก็ได้นะ ดีไหมจะจองโต๊ะให้” เพื่อนชายคนหนึ่งเสนอขึ้น
“ได้สิ แต่ผมอาจจะไปถึงดึกหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรพวกเรารอได้ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ไม่มีใครต้องรีบไปไหน”
เมื่อตกลงกันได้แล้วธีรกานต์ก็ขอตัวก่อนเพราะเขายังต้องพาเอวาริณไปกินไอศกรีมตามที่สัญญากันไว้อีก
“จะไปกินไอติมเลยไหมเอวา”
“เอวาอยากกินค่ะ แต่ท้องไม่ไหวขอไปเดินย่อยได้ไหมคะ เราไปร้านเครื่องเขียนได้ไหมเอวาอยากไปซื้อปากกา” เด็กสาวหันมาขอความคิดเห็น
“ได้สิ” ธีรกานต์ยอมตามใจหญิงสาวเพราะเมื่อกี้ตนเองก็ทำให้เอวาริณเสียเวลาไปมาก
เอวาริณใช้เวลาในร้านเครื่องเขียนครึ่งชั่วโมงก็ได้อุปกรณ์การเรียนมาอีกถุงใหญ่โดยไม่จ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว
“พี่กานต์ไม่ซื้ออะไรบ้างเหรอคะ เดี๋ยวเอวาจ่ายให้เอง” เมื่อตนเองได้ของมาเยอะกว่าที่คิดก็อยากจะจ่ายคืนเขาบ้าง
“ไม่ละ พี่ไม่ค่อยได้ใช้ของพวกนี้แล้ว แต่พี่อยากไปซื้อกาแฟ เอวาจะไปด้วยหรือจะไปรอที่ร้านไอติม”
“ไปด้วยค่ะ”
เด็กสาวเดินตามมายังร้านที่จำหน่ายกาแฟซึ่งมีทั้งแบบผงสำเร็จรูปและแบบเมล็ดที่ใช้กับเครื่องชงกาแฟ ธีรกานต์ใช่เวลาเลือกค่อนข้างนานเพราะเขาดื่มกาแฟทุกวันจึงอยากได้เมล็ดกาแฟที่รสชาติถูกใจตนเองมากที่สุด
“แต่ละอย่างที่พี่กานต์เอามาดมกลิ่นมันก็เหมือนกันนะคะ” เธอไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยแม้แต่น้อย
“มันอยู่ที่กลิ่นรสชาติ จะลองชิมไหม แต่เด็กอย่างเอวาพี่ว่ายังไม่ต้องกินหรอกมันไม่ดี
“มันไม่ดีแล้วทำไมพี่ถึงกินล่ะ”
“พี่ต้องทำงานถ้าไม่กินพี่ก็ง่วงสิ”
“พี่กานต์แปลกคน”
“แปลกยังไง”
“ก็บอกเองว่ามันไม่ดีแต่ก็ยังกิน เอวาจะไม่กินของไม่ดีพวกนี้เด็ดขาด”
“อย่าให้พี่เห็นนะว่าเธอกินกาแฟ”
“ไม่มีทางกรอกค่ะ เอวาไม่กินแน่นอน ถ้าพี่เห็นเอวายอมให้พี่ทำโทษเลยค่ะ”
“จำคำพูดของตัวเองไว้นะ พอถึงวันนั้นอย่าโวยวายก็แล้วกัน” เขาหันมองเธอและคาดโทษไว้เพราะคิดว่าพอเด็กสาวโตขึ้นก็จะต้องเปลี่ยนความคิดไปเอง
“เอวาจะจำไว้เลยว่าวันเกิดปีที่ 15 เอวาสัญญาว่าจะไม่กินกาแฟ ถ้าเอวากินพี่กานต์จะทำโทษแบบไหนก็ได้” เด็กสาวสัญญาอย่างจริงจัง
“พอถึงเวลาอย่ามางอแงก็แล้วกัน”
“ใครเขาจะงอแงเป็นเด็กกันล่ะ ปีนี้เอวาก็จะใช้นางสาวแล้วนะ”
“เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ พี่จำได้ว่าครั้งแรกที่เราฉลองวันเกิดพร้อมกันตอนนั้นเอวาเพิ่งหกขวบเอง”
“พี่กานต์จำได้เหรอคะ”
“สมองพี่ไม่ได้เสื่อมนะทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ”
“ปีหน้าเอวาคงไม่ได้ฉลองกับพี่แล้ว” เด็กสาวพูดด้วยความเสียดาย หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เธอจะต้องย้ายไปเรียนต่อที่อังกฤษเพราะบิดาของตนต้องย้ายไปทำงานที่นั่นเธอกับมารดาก็ต้องย้ายตามไปด้วย
“นั่นมันเรื่องของปีหน้า ปีนี่เราก็ได้ฉลองด้วยกัน ไปเลือกซื้อของขวัญดีไหม อยากได้อะไรพี่ตามใจเราเต็มที่เลย” เมื่อเห็นเธอทำหน้าเศร้าเขาก็รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ให้เอวามาเยอะแล้ว”
“เอาน่า ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ฉลองด้วยกันอีก”
ธีรกานต์ยิ้มให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยน เขากับเอวาริณฉลองวันเกิดด้วยกันมานานถึง 10 ปีพอคิดว่าปีหน้าจะต้องเป่าเค้กวันเกิดคนเดียวก็รู้สึกใจหาย
“ถ้าเอวาเลือกของแพงพี่กานต์ห้ามบ่นนะคะ”
“นี่กะจะให้พี่หมดตัวเลยหรือไง”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
หลังจากเดินวนไปหลายร้านเอวาริณก็ยังไม่ได้ของที่ถูกใจเพราะส่วนใหญ่ก็จะมีแต่ของแบรนด์เนมพวกกระเป๋ารองเท้าและเครื่องสำอางซึ่งของพวกนี้เธอไม่มีความจำเป็นต้องใช้เพราะยังอยู่ในวัยเรียน