ตอนที่ 4 ชีวิตที่ต้องดิ้นรน
การต์รวีกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะออกไปทำงานพิเศษต่อหลังจากเลิกจากงานประจำแล้ว ดีนะที่เวลาเปิดของภัตตาคารกับเวลาเลิกงานของเธอไม่ตรงกันทำให้มีเวลาที่จะกลับมาเตรียมตัวที่คอนโด วันนี้เป็นวันแรกที่เธอจะเข้าทำงานพิเศษเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ภัตตาคารจีน
เมื่อวานนี้มีเพื่อนในแผนกเดียวกันแนะนำให้เธอไปสมัครงานที่ภัตตาคารจีนยานฝั่งธนบุรีซึ่งกำลังเปิดรับสมัครพนักงานหลายตำแหน่ง หญิงสาวจึงสนใจ และพอหลังจากเลิกงานเธอจึงชวนวินเชลล์ซึ่งมารับเธอเพื่อจะไปส่งที่คอนโดให้ไปที่ภัตตาคารจีนแห่งนั้นทันที แล้วเธอก็ได้งานเป็นพนักงานเสิร์ฟเพราะตำแหน่งอื่นเต็มหมดแล้ว เหลือเพียงตำแหน่งนี้ตำแหน่งเดียวเท่านั้น ซึ่งวินเชลล์ไม่ค่อยชอบใจนักเพราะเขาบอกว่าตำแหน่งมันไม่เหมาะสมกับเธอเลย เขาจึงอาสาจะไปพูดกับเจ้าของภัตตาคาร ให้รับเธอในตำแหน่งอื่นที่ดีกว่าพนักงานเสิร์ฟ แต่หญิงสาวปฏิเสธเพราะไม่อยากโดนใครเขม่นที่ใช้เส้นใช้สาย
มือเรียวที่กำลังกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนชะงักเมื่อมีเสียงเคาะประตูห้อง คิ้วเรียวบางได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด จะว่าเป็นวินเชลล์ก็คงจะไม่ใช่เพราะเพื่อนหนุ่มบอกกับเธอเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนที่มาส่งเธอที่คอนโดแล้วว่าจะต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศสัก 2-3 วัน ถ้าไม่ใช่เพื่อนหนุ่มก็คงจะเป็นป้าพนักงานทำความสะอาดคนเมื่อวันก่อน วินเชลล์คงสั่งงานอะไรกับป้าแกไว้อีกแน่ การต์รวีเลิกคิ้วสูงก่อนจะเดินออกจากห้องนอนแล้วตรงไปที่ประตูห้อง
แต่แล้วร่างบางก็ต้องชาวาบไปทั้งตัวเมื่อประตูเปิดออก ร่างสูงของโจซิสยืนตระหง่านอยู่ที่หน้าห้อง ใบหน้าคมหล่อเหลาบึ้งตึงดุดันน่ากลัว ดวงตาสีน้ำเงินเย็นชาจ้องเขม็งมาที่หญิงสาวนิ่ง
“คุณโจซิส...” การต์รวีอุทานเสียงแผ่ว หัวใจเต้นถี่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ขาของเธอเหมือนกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยตะปูจะขยับไปไหนมันก็ไปไม่ได้ เขามาที่นี่ได้ยังไง? เขารู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ที่นี่? หน้าตาของอีกฝ่ายบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามีความรู้สึกไม่พอใจมากเพียงใดที่เห็นเธอ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายลงคอและสูดลมหายใจเรียกความกล้าของตนเองเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
“ตกใจมากนักเหรอที่เห็นฉัน” มือหน้าทาบลงบนบานประตูแล้วจับมันเปิดกว้างออก
“ปะ...เปล่า” การต์รวีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองตอบด้วยสายตาแบบเดียวกัน แล้วพูดต่อ “คุณต้องการอะไร? อย่าบอกนะว่าจะมาตามหาน้องชายของคุณที่นี่”
“เปล่า” ชายหนุ่มตอบเสียงห้วนก่อนจะหรี่ดวงตาคมลง ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในห้อง
“หยุดนะ! คุณไม่มีสิทธิ์เข้าห้องคนอื่นโดยที่เจ้าของเขาไม่อนุญาต ออกไปเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวออกปากไล่พร้อมกับถอยหลังหนีเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามา มือเริ่มเย็นเฉียบจนต้องกำเอาไว้
“ทำไมฉันจะเข้าไม่ได้ในเมื่อห้องนี้มันเป็นห้องของน้องชายฉัน” ร่างสูงเดินมาหยุดยืนอยู่ที่กลางห้อง ดวงตาคมกวาดมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าสวยที่แต่งแต้มเครื่องสำอางบางๆ เสียงฟันกรามขบเข้าหากันดังกรอด แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
“เธอนี่ถือว่าเก่งมากนะที่ทำให้นายวินซื้อคอนโดราคาเป็นล้านให้เธออยู่ได้ คงยั่วยวนมันจนมัน
ลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเลยล่ะสิ! ผู้หญิงหากินชัดๆ!”
“หยุดนะคุณโจซิส!” การต์รวีตวาดใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยความโมโหเมื่อเขาพูดจาหยาบคายดูถูกเธอ เธอไม่เข้าใจเลยว่าผู้ชายคนนี้เป็นเดือดเป็นแค้นกับเธอมาตั้งแต่ชาติปางไหน ถึงได้ตามจองล้างจองผลาญเธอไม่เลิกแบบนี้
“ฉันฟ้องร้องคุณในข้อหาหมิ่นประมาทได้นะคะ แถมบวกข้อหาบุกรุกไปอีกกระทงก็ยังได้” เธอเน้นเสียงใส่ เนื้อตัวสั่นเพราะแรงโกรธผู้ชายปากกรรไกรตรงหน้า ที่พูดออกมาแต่ละคำช่างเชือดเฉือนหัวใจหญิงสาวเสียเหลือเกิน
“ถ้าเธอกล้าก็ทำได้เลย...การต์รวี!” มือแกร่งกระชากร่างบางเซเข้ามาปะทะอกกว้างอย่างแรง การต์รวีรีบยกมือขึ้นยันหน้าอกของเขาเอาไว้เต็มแรงเช่นกัน เพื่อไม่ให้หน้าอกอวบอิ่มตามวัยสาวสัมผัสกับมัดกล้ามเนื้อแน่นของอีกฝ่าย
“ปล่อยฉันนะคุณโจซิส!” ใบหน้างามเงยขึ้นถลึงตาใส่หนุ่มลูกครึ่งอย่างโมโหพร้อมกับดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากกรงเล็บราชสีห์ร้าย แต่ก็ไม่สำเร็จ อีกฝ่ายยิ่งบีบแน่นยิ่งกว่าเดิมจนหญิงสาวต้องนิ่วหน้า แต่ก็กัดริมฝีปากไม่ให้เสียงร้องเล็ดรอดออกมา
“ฉันเคยเตือนเธอแล้วไงว่าให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับน้องชายของฉัน แต่เธอไม่ฟัง ต่อไปนี้ฉันจะไม่เตือนเธออีกแล้ว แต่ฉันจะลงมือทำ!” สันกรามทั้งสองข้างขบแน่นเป็นสันนูน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มวาวโรจน์ขึ้น
“ถ้าคุณทำอะไรฉัน วินเชลล์จะต้องเล่นงานคุณแน่!” ด้วยความกลัวลึกๆ ภายในใจทำให้หญิงสาวต้องเอ่ยชื่อเพื่อนหนุ่มเพื่อเป็นโล่กำบังชีวิตของตนเอง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเกรงใจน้องชายอยู่บ้าง แต่เธอหารู้ไม่ว่ามันเป็นความคิดที่ผิดถนัด
“คิดว่าฉันจะกลัวมันหรือไง!” เขากัดกรามกรอดก่อนจะดึงร่างบางให้แนบกับลำตัวสูงใหญ่ของตน วงแขนที่แข็งราวกับเหล็กรัดรึงร่างบางแน่น มือหนาจับคางมนให้เงยขึ้นแล้วเน้นเสียงใส่อย่างน่ากลัว
“ฉันจะส่งเธอให้กับพวกลูกน้องของฉัน พวกนั้นมันชอบอยู่แล้วของสวยๆ งามๆ แบบเนี่ย ฮึ! ฮึ!” เสียงหัวเราะเหี้ยมๆ ในลำคอกับสายตาโลมไล้ที่มองไปตามร่างงาม ทำให้ขนแขนของการต์รวีลุกซู่ด้วยความกลัว แต่เธอก็ต้องข่มมันเอาไว้
“ถ้าคุณคิดว่าคุกตารางมีไว้สำหรับขังพวกหมาพวกแมวก็เอาสิ ฉันไม่อายหรอกนะที่จะเอาพวกคนชั่วอย่างพวกคุณเข้าคุก” หญิงสาวฝืนจ้องตอบอีกฝ่ายนิ่งเพื่อแสดงให้รู้ว่าเธอไม่เคยกลัวเขา
โจซิสกัดกรามด้วยความโมโหที่คนตัวเล็กในอ้อมแขนไม่กลัวคำขู่ของตนเองอย่างที่เขาต้องการให้เป็น แถมแววตาสีนิลนั่นก็เหมือนกับกำลังท้าทายเขาอยู่ ชายหนุ่มอยากจะบีบร่างบางให้ตายคามือไปเสียเดี๋ยวนี้ถ้าทำได้ ผู้หญิงคนนี้กล้าแกร่งผิดกับรูปร่างบอบบางอรชรที่เห็นอยู่เพียงภายนอก ท่าทางการกำจัดผู้หญิงคนนี้เพื่อให้พ้นทางชีวิตของน้องชายของเขาคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เสียแล้ว แต่คนอย่างเขาถ้าต้องการสิ่งใดก็ต้องได้และต้องทำให้สำเร็จด้วย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งติดๆ กัน ก่อนที่ร่างของวิสุทธิ์ลูกน้องคนสนิทจะเดินเข้ามาหาและก้มศีรษะให้กับเจ้านายหนุ่มลูกครึ่งนิดหนึ่ง แล้วรายงาน
“เจ้านายครับคุณดนุชิตโทรมาว่าที่ท่าเรือเกิดปัญหาครับ สินค้าของเราอาจจะส่งให้ลูกค้าไม่ทันกำหนดครับ”
“อะไรนะ!” โจซิสหันมามองหน้าลูกน้องตาขวาง ก่อนจะหันกลับมาที่หญิงสาวแล้วผลักร่างบางเซล้มลงไปบนโซฟาตัวยาวอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บหรือแตกหักตรงไหนบ้าง และหันมาเผชิญหน้ากับลูกน้องอีกครั้ง
“แล้วมีใครโทรไปหาคุณทิพย์สุดาหรือยัง!” นักธุรกิจหนุ่มตะคอกเสียงเข้ม
“คุณดนุชิตโทรไปแล้วครับ ตอนนี้คุณทิพย์สุดากำลังไปที่ท่าเรือครับ” ทัศนัยรายงาน แล้วปรายตาไปมองหญิงสาวที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนทางด้านหลังของเจ้านายหนุ่มแวบหนึ่ง
“งั้นนายลงไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”
“ครับ” ฝ่ายลูกน้องรับคำแล้วก็เดินออกไป โจซิสจึงหันมาทางการต์รวีอีกครั้ง
“ฉันจะละเว้นให้เธออีกครั้งหนึ่ง เพราะงานของฉันมันมีราคาค่างวดมากกว่าผู้หญิงอย่างเธอมากมายนัก และฉันขอเตือนเธอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ถ้าไม่อยากให้ทั้งตัวเธอและย่าของเธอต้องเดือดร้อนละก็รีบย้ายออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด อย่ากลับมาให้นายวินเห็นหน้าอีก จำเอาไว้!” พูดจบร่างสูงของโจซิสก็เดินออกไป น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและชัดเจนทุกถ้อยคำ
ดวงตาคู่สวยมองตามแผ่นหลังกว้างไปอย่างอาฆาตแค้น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น คนรวยอย่างเขาย่อมทำได้ทุกอย่างตามที่พูดเอาไว้แน่ๆ นี่แหละความเลื่อมล้ำของชนชั้น คนรวยกว่าก็ย่อมได้เปรียบคนจนๆ ทุกทางอยู่แล้ว เธอจะเอาอะไรไปต่อกรกับเขานอกจากทำตามที่เขาขู่ ไม่งั้นทั้งเธอและย่าคงเดือดร้อนหนักแน่ ก็ดูแต่เธอสิยังอยู่ไม่เป็นสุขเลย
การต์รวีผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ พร้อมกับกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำอุ่นๆ ที่เอ่อคลอเบ้าตาให้กลับคืนที่เดิม ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดู แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง
“บ้าจริง! จะได้เวลาเข้างานแล้ว ต้องรีบไปก่อนแล้ว” การต์รวีสบถอย่างหัวเสียพร้อมกับรีบเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายแล้วเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากถูกไล่ออกจากงานพิเศษโดยที่ยังไม่ได้เริ่มงานอะไร ส่วนเรื่องอื่นค่อยคิดหาทางออกพรุ่งนี้ อย่างน้อยๆ เขาคงไม่ส่งคนมาลากคอเธอออกไปจากที่นี่ในคืนนี้หรอก หญิงสาวคิดเข้าข้างตัวเองก่อนจะสลัดศีรษะไปมาเพื่อลบเหตุการณ์เมื่อครู่ออกไปจากสมองชั่วคราว แล้วดึงความตั้งใจในการทำงานของตนเองกลับคืนมาอีกครั้ง
สีหน้าที่เคร่งเครียดของโจซิสคลายลงเมื่อเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่ใช้ขนส่งสินค้าเคลื่อนตัวออกไปจากท่าเรือแล้ว แต่ก็ล่าช้ากว่ากำหนดเดิมไปสามชั่วโมง เพราะต้องขนย้ายสินค้าจากเรือลำเดิมมาขึ้นเรือลำใหม่ เนื่องจากเรือลำเดิมเกิดท่อน้ำมันรั่วขึ้นมากะทันหัน
“ทิพต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะที่เกิดปัญหาขึ้น ทิพสะเพร่าเองค่ะที่ไม่ตรวจสอบความเรียบร้อยก่อน” ทิพย์สุดาบอกเสียงเครือ ทอดสายตาหม่นเศร้าไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างรู้สึกผิด
“คุณไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้นี่ อย่าคิดมาก มันเป็นเหตุสุดวิสัย” นักธุรกิจหนุ่มหันมาบอกเสียงเรียบ
“แต่คุณต้องสูญเงินไปเป็นล้านๆ เลยนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างห่วงใย เพราะการผิดนัดกับลูกค้าแม้แค่นาทีเดียวก็เท่ากับเงินได้ไหลออกจากกระเป๋าแล้ว แต่นี้มันตั้งสามชั่วโมง คิดแล้วก็หลายล้านบาทอยู่
“เงินแค่นั้นผมไม่ซีเรียสหรอก คุณไม่ต้องเป็นกังวลแทนผมหรอก” สีหน้าและแววตาที่เรียบเฉย และคำพูดที่ห่างเหินของชายหนุ่ม ทำให้ทิพย์สุดารู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ เธอทำดีกับเขาทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายกลับมองไม่เห็นค่าของมันเลย นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกน้อยใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก
แต่หญิงสาวก็ไม่คิดยอมแพ้ ขนาดหินโดนน้ำหยดลงทุกวันยังกร่อนได้ นับประสาอะไรกับอีแค่ก้อนเนื้อนุ่มมีหรือที่จะไม่หวั่นไหว ในเมื่อเธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง ทั้งชาติตระกูล การศึกษา อีกทั้งทรัพย์สินเงินทองที่ร่ำรวยไม่แพ้นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งคนนี้เลย
“เอ่อ...ถ้ายังไงให้ทิพเลี้ยงอาหารคุณเพื่อเป็นการไถ่โทษนะคะ ไม่งั้นทิพคงไม่สบายใจ” ทิพย์สุดาเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มหวาน โจซิสนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับน้อยๆ
“ก็ได้ ถ้ามันทำให้คุณสบายใจขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ” นักธุรกิจสาวคลี่ยิ้มกว้างอีกรอบอย่างดีใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่อีกฝ่ายจะตอบรับโดยดีแบบนี้
การเป็นพนักงานเสิร์ฟของภัตตาคารจีนแห่งนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับการต์รวีเลย แต่เรื่องที่หญิงสาวหนักใจก็คือชุดกี่เพ้าที่ใส่มันทั้งสั้นและรัดรูปจนเน้นให้เห็นทรวดทรงต่างๆ ได้เด่นชัด ทำให้เวลาเดินเธอรู้สึกเย็นวาบๆ ที่ท่อนขาเรียว และรู้สึกขัดเขินกับสายตาของคนที่มองมาพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆ ซึ่งการต์รวีคิดว่าที่ถูกมองแบบนั้นก็เพราะว่ารูปร่างของเธอคงไม่สวยเซ็กซี่เหมือนกับพนักงานคนอื่น
แต่หญิงสาวหารู้ไหมว่ารูปร่างของตัวเองนั้นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งส่วนเว้าส่วนโค้งๆ รับกับรูปร่างที่สูงโปร่งและท่อนขาขาวเรียวยาวได้อย่างลงตัว สามารถดึงดูดสายตาของพวกหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ได้เป็นอย่างดี
และในขณะที่หญิงสาวกำลังจะเดินเข้าไปรับออเดอร์ของลูกค้าที่เข้ามาใหม่นั้น เท้าบางก็ชะงักกึกหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ทันทีเมื่อเห็นหน้าของลูกค้าที่เข้ามารับบริการอย่างถนัดตา ใบหน้าหวานซีดเผือด มือเรียวเย็นเฉียบเหมือนกับถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อระงับความกลัวในหัวใจพลางคิดอย่างโมโห
‘ทำไมโลกมันแคบแบบนี้นะ ทำไมต้องมาเจอกับผู้ชายเฮงซวยคนนี้ด้วย...โอ๊ย!’ การต์รวีหันซ้ายหันขวาเพื่อหาตัวช่วยที่จะเข้าไปรับออเดอร์แทนเธอ แต่ก็ไม่มีใครว่างเลยนอกจากเธอ
‘อย่ากลัว เขาคือลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น ท่องเอาไว้ว่าเขาคือลูกค้า’ หญิงสาวร้องบอกตัวเองในใจพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออกก่อนจะก้าวต่อไปข้างหน้า
โจซิสขมวดคิ้วน้อยๆ พร้อมกับจ้องร่างบางที่อยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดงสดเขม็ง ก่อนจะหรี่ดวงตาคมลงมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของสาวเสิร์ฟอย่างไม่พอใจ เขาไม่คิดว่าจะมาเจอคนรักของน้องชายที่นี่ แถมยังอยู่ในชุดสาวเสิร์ฟสั้นจนจะเห็นอะไรต่อมิอะไรอยู่แล้ว ฟันกรามทั้งสองข้างขบแน่นด้วยความโมโหที่ตีขึ้นมาเป็นริ้วๆ
และด้วยสีหน้ากับท่าทางของชายหนุ่มนั่นก็ทำให้ทิพย์สุดาต้องมองตามสายตาคมของเขาที่มองไปทางด้านหลังของเธอ ก่อนจะส่งสายตาดุดันไปยังสาวเสิร์ฟที่ยืนอยู่ห่างเป็นเมตรด้วยความไม่พอใจ แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกคุ้นหน้าของพนักงานสาวคนนี้มาก
“จะรับอะไรดีคะ” การต์รวีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสุภาพ เมื่อเดินมาหยุดยืนที่โต๊ะของคนทั้งสอง หญิงสาวพยายามจะไม่หันไปมองสบตากับฝั่งชายหนุ่ม เพราะมันทำให้เธอรู้สึกสั่นๆ และไม่มั่นคงในชีวิตเอาเสียเลย
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ ถ้าฉันจำไม่ผิดคุณคือคุณการต์รวีคนรักของวินเชลล์ใช่ไหมคะ?” ทิพย์สุดาเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อแน่ใจว่าสาวเสิร์ฟคนนี้เป็นคนคนเดียวกับหญิงสาวที่วินเชลล์แนะนำว่าเป็นคนรัก แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าหล่อนต้องมาทำงานเป็นพนักงานต๊อกต๋อยแบบนี้ด้วย
“เอ่อ...” การต์รวีอึกอักเพราะไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี
“อย่าถามมากเรื่องนักเลย คนเราหน้าตาคล้ายๆ กันก็มีมาก คุณอยากทานอะไรก็รีบๆ สั่งเถอะ ทานเสร็จแล้วจะได้รีบๆ ไป” เสียงห้วนแข็งกระด้างของโจซิสดังแทรกขึ้น และท่าทางที่ไม่พอใจของชายหนุ่มก็ทำให้ทิพย์สุดาลอบยิ้มเยาะในใจ เพราะมันทำให้เธอรู้ว่าข้อสงสัยของเธอเป็นความจริง พนักงานสาวคนนี้ก็คือคนรักของวินเชลล์นั่นเอง ไม่งั้นโจซิสคงไม่แสดงท่าทีที่ไม่พอใจแบบนี้แน่
‘ฮึ! น่าสมเพชสิ้นดี ทายาทนักธุรกิจพันล้านมีแฟนเป็นสาวเสิร์ฟที่แสนจะต่ำต้อย ถ้านักข่าวรู้คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแน่ๆ’ สาวไฮโซลอบคิดเยาะหยันอยู่ในใจ แล้วหยิบเมนูขึ้นมาเปิดอ่านรายการอาหาร ก่อนจะหันไปเอ่ยถามชายหนุ่มยิ้มๆ
“คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ ทิพยกให้คุณเลือก”
“ผมทานได้ทุกอย่าง คุณสั่งมาเถอะ” เขาบอกเสียงเรียบ แล้วตวัดสายตาเย็นชาดุดันขึ้นไปมองหน้าพนักงานเสิร์ฟสาวที่ยืนรอรับออเดอร์ด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย เขาอยากจะกระชากร่างบางแล้วจับโยนออกไปจากภัตตาคารแห่งนี้นักด้วยความอับอาย
“รอสักครู่นะคะ” การต์รวีก้มศีรษะลงนิดหนึ่งก่อนจะเดินผละออกมาเมื่อรับออเดอร์จากหญิงสาวสวยเสร็จเรียบร้อย
“เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” โจซิสบอกพร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากโต๊ะ โดยมีสายตาของทิพย์สุดามองตามไป จากนั้นดวงตาคู่สวยก็หันกลับไปมองทางด้านหลังของตนเอง ตามทางที่การต์รวีเดินไปเมื่อครู่ก่อนที่ริมฝีปากบางสีแดงจะเผยอพึมพำขึ้นเบาๆ
“นึกว่าเป็นลูกสาวของผู้ดีมีเงินที่ไหน ที่แท้ก็พวกผู้หญิงข้างถนนนี่เอง ฮึ!” เสียงหัวเราะเยาะหยันคำรามอยู่ในลำคอระหง เช่นเดียวกับแววตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความเหยียดหยาม ดูหมิ่น ดูแคลน
การต์รวีหลบมายืนปรับสภาพจิตใจที่ด้านหลังร้าน หลังจากส่งออเดอร์ให้กับทางพ่อครัวเสร็จ ดวงตากลมโตปิดลงเพื่อตั้งสมาธิให้กับตัวเองอีกครั้ง ใจของเธอยังคงเต้นถี่ไม่ยอมหาย มือเรียวถูกบีบเข้าหากันเพื่อให้มันคลายความเย็นลง ลมหายใจถูกพ่นออกมาจากปากบางเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดและตื่นกลัวในหัวใจ วันนี้คงเป็นวันแห่งความหายนะของเธอแน่ๆ ถึงมีแต่เรื่องเลวร้ายไม่หยุดหย่อน
“เธอทำบ้าอะไร!” เสียงแข็งกร้าวอย่างโกรธแค้นที่ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ร่างบางสะดุ้งเฮือกพร้อมกับลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
“คุณโจซิส!” ร่างบางผงะถอยหลังโดยอัตโนมัติ แต่ก็ช้ากว่ามือใหญ่ที่แข็งแรงของอีกฝ่ายที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็ก แล้วกระชากคนตัวเล็กให้เข้ามาปะทะลำตัวแกร่งของตนเอง ก่อนจะเน้นเสียงเหี้ยมอย่างน่ากลัว
“เธอทำให้ฉันกับครอบครัวอับอายขายขี้หน้าทิพย์สุดามากรู้ตัวไหม!”
“ฉันไม่เห็นว่าคุณจะต้องอับอายอะไรเลย!” การต์รวีเถียงเขาปากสั่น พยายามบิดตัวให้หลุดออกจากมือใหญ่ของเขา
“ทิพย์สุดารู้ว่าเธอเป็นคนรักของนายวิน แต่กลับมาเจอเธอในสภาพแบบนี้ ไม่ให้ฉันอายยังงั้นเหรอ ฉันไม่ใช่คนหน้าด้านหน้าทนอย่างเธอนี่ แล้วไอ้ชุดที่เธอใส่เนี่ยมันก็ทุเรศลูกตามาก สั้นเสียจนจะเห็นเครื่องในของเธออยู่แล้ว หรือกำลังคิดจะล่อเหยื่อคนใหม่มาแทนที่นายวิน!” แววตาวาวโรจน์จ้องเธออย่างกับจะจับฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“คุณ!...” หญิงสาวโกรธจนอยากจะฆ่าผู้ชายตรงหน้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เขาจะได้ไม่ต้องมาตามดูถูกเหยียดหยามเธอแบบนี้
“ใช่ ฉันกำลังหาเหยื่อใหม่อยู่ ในเมื่อคุณให้ฉันเลิกคบกับน้องชายของคุณ ฉันก็ต้องหาที่เกาะใหม่น่ะซิ ทีนี้คุณคงสบายใจแล้วสินะที่ฉันจะได้หันไปหาคนใหม่และไม่มายุ่งเกี่ยวกับน้องชายของคุณอีก” การต์รวีประชดใส่พร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตารังเกียจ
“ก็ดี! ให้มันจริงอย่างที่เธอพูดก็แล้วกัน เพราะไม่งั้นครอบครัวที่เหลืออยู่ของเธอจะอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข ฉันจะตามรังควานเธอไปทุกทีเลยคอยดู!”
“คุณนี่มันเลวจนหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ เลยนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนอย่างวินเชลล์ที่เป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว จะมีพี่ชายที่ใจยักษ์ใจมารอย่างคุณด้วย น่าสงสารคุณทิพย์สุดาที่เห็นกงจักรอย่างคุณเป็นดอกบัวไปได้”
“หยุดนะการต์รวี! อย่ามาพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยฉันเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากเจ็บตัว!” เขาบอกพร้อมกับดันร่างบางไปจนชิดกำแพง ดวงตาคมลุกวาวด้วยแรงโทสะ
“อุ๊ย!” แต่ก่อนที่อะไรต่อมิอะไรจะเกิดขึ้นเสียงร้องอุทานของผู้หญิงก็ดังขึ้น โจซิสหันมามองตาขวาง ก่อนจะปล่อยร่างบางของการต์รวีเป็นอิสระ
“เอ่อ...ขอโทษนะคะที่นี่ไม่มีบริการอย่างอื่นนอกเหนือจากเสิร์ฟอาหารค่ะ” ผู้จัดการสาวของร้านเอ่ยเสียงเข้มอย่างไม่พอใจ เพราะภาพที่เธอเห็นคือชายหนุ่มกำลังจะจูบพนักงานสาวเสิร์ฟของเธอ
“เหรอครับ ถ้างั้นผมคงเข้าใจผิดเพราะผมเคยใช้บริการผู้หญิงคนนี้มาก่อน ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ ผมขอตัวก่อน” เขาหันมาส่งยิ้มให้ผู้จัดการสาว ก่อนจะหันมากระตุกที่มุมปากอย่างเยาะเย้ยให้กับการต์รวีที่ยืนอ้าปากค้างด้วยความตกใจในคำพูดใส่ร้ายของเขา จากนั้นร่างสูงก็เดินหัวเราะจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้เธอเผชิญชะตากรรมที่ไม่ได้ก่ออยู่เบื้องหลัง