ตอนที่ 3 หนี้ชีวิต
การต์รวีเดินเข้าบ้านด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นอยู่ด้วยความโกรธ จากการกระทำของโจซิสที่ถือว่าเป็นการหยามเกียรติลูกผู้หญิงของเธออย่างมาก หญิงสาวทั้งเจ็บใจและแค้นใจอย่างที่สุด แต่แล้วร่างบางก็ต้องหยุดชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นชั้นสองของบ้านลง เมื่อหันไปเห็นผู้เป็นย่าเดินออกมาจากทางหลังบ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึง แววตาที่จับจ้องมาที่เธอนั้นดุดันเหมือนกับมองศัตรูคู่แค้น ผู้เป็นหลานถึงนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจเพราะปรกติย่าของเธอจะไม่อยู่บ้านในเวลานี้
“แกไปไหนมา รู้ไหมว่าฉันรอแกนานแล้ว!” สมศรีตะคอกถามเสียงกร้าวเพราะมันเลยเวลาที่หลานสาวกลับบ้านไปชั่วโมงกว่าแล้ว
การต์รวีจึงถอนใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้าในหัวใจ เพราะเธอรู้ว่าการที่ย่ารอพบเธอนั้นคงไม่พ้นเรื่องขอเงินอีกนั่นแหละ แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าข้างหนึ่งของผู้เป็นย่ามีรอยแดงเป็นปื้นยาว และที่มุมปากก็มีรอยช้ำเขียวคล้ำ หญิงสาวรีบตรงเข้าไปหาหญิงสูงวัยด้วยสีหน้าท่าทางที่ตื่นตกใจ
“ย่า! นี่ย่าเป็นอะไร? หรือว่ามีใครทำอะไรย่า?” การต์รวีเอื้อมมือจะไปแตะที่รอยแดงด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายปัดมือทิ้ง แล้วผลักร่างบางเซล้มลงไปกับพื้นบ้าน
“โอ๊ย!” หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บที่ก้นกบ ซึ่งกระแทกกับพื้นไม้เต็มแรง การต์รวีหันมามองทางผู้เป็นย่าอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำร้ายเธอด้วย ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นพร้อมกับถามเสียงเครือ
“ย่าผลักหนูทำไม?”
“ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะแกนังรวี!” สมศรีเดินเข้ามาใกล้แล้วชี้มาที่ใบหน้าของตนเองตรงที่มีรอยช้ำอย่างโมโหและแค้นเคือง
“ย่าหมายความว่ายังไง หนูไม่เข้าใจ” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย เพราะเธอไม่ได้ทำร้ายย่าเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงกล่าวหาเธอแบบนั้น
“ยังมีหน้าทำตาใสซื่ออีกนะ! เป็นเพราะแกไม่ยอมให้เงินฉันไว้ ไอ้พวกบ้านั่นมันตามมาทวงหนี้ฉัน พอมันไม่ได้มันก็ตบฉันนี่ไง สมใจแกแล้วใช่ไหมนังรวี!”
“นั่นนะเหรอความผิดของหนู ทำไมย่าไม่คิดบ้างว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเพราะตัวย่าเอง ย่าไปกู้เงินของพวกมันมาเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับหนูเลย!” การต์รวีทั้งเสียใจ น้อยใจ และโมโหปนเปกันมัวไปหมด เธอกลับมาบ้านก็เพื่อหวังจะพักผ่อนคลายความตึงเครียดในหัวสมอง แต่กลับต้องมาเจอกับเหตุการณ์ซ้ำเติมแบบนี้อีก มันยิ่งเป็นการเพิ่มความกลัดกลุ้มในใจให้เธอเป็นสองเท่า
“แก!...นังรวี แกกำลังด่าฉัน หาว่าฉันหาเรื่องใส่ตัวเองเหรอ! นังหลานเนรคุณ!” สมศรีโมโหจัด ยกมือขึ้นฟาดลงไปบนใบหน้าสวยของหลานสาวเต็มแรง
เผียะ!
และในขณะเดียวกันนั้นเองร่างสูงของวินเชลล์ก็ก้าวเข้ามาพอดี เขาจึงถลาเข้าไปรับร่างบางที่เซถอยหลังมาเอาไว้
“นี่มันอะไรกันครับ? ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วยล่ะครับ” ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนสาวอย่างห่วงใย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสูงวัยด้วยแววตาขึงขัง
“ก็มันปากดีกล้าด่าฉัน! มันคิดจะเป็นหลานทรพี!” สมศรีชี้หน้าหลานสาวอย่างโมโหโกรธา ก่อนจะมองสังเกตชายหนุ่มที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญอย่างถ้วนถี่ แล้วลอบกระตุกยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าเป็นชายหนุ่มที่หลานสาวคบหาอยู่นั่นเอง ความคิดบางอย่างจึงแวบเข้ามาในหัวสมอง จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คุณรักชอบมันใช่ไหม ถ้ารักมันก็มาขอมันไปเลยสิ ฉันเรียกค่าสินสอดไม่แพงหรอกนะ ขอแค่เงินสดสัก 3 แสน ทอง 10 บาท ก็พอ คนรวยๆ อย่างคุณขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอกนะกับเงินทองแค่เนี่ย”
“ย่า! ย่าพูดแบบนี้ได้ยังไง ย่าคิดจะขายหนูหรือ?!” การต์รวีรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก ที่อีกฝ่ายเห็นเงินสำคัญกว่าลูกหลานในไส้แท้ๆ อย่างเธอ
“ฉันไม่ได้ขาย เพียงแค่เรียกค่าเลี้ยงดูที่ฉันดูแลแกมาตั้งแต่เล็กๆ คืนบ้างก็เท่านั้น แค่เนี่ยมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ให้รู้เอาไว้” หญิงสูงวัยเน้นเสียงตะคอกใส่หลานสาว ก่อนจะเบนสายตามาทางวินเชลล์
“ว่าไงคะ คุณจะตกลงหรือเปล่า ถ้าตกลงคุณก็จ่ายเงินมาตามจำนวนที่ฉันเรียกไป แล้วก็พามันไปจดทะเบียนสมรสได้เลยไม่ต้องมีพิธีอะไรให้ยุ่งยาก”
“ย่า!” การต์รวีครางเสียงสั่นในลำคอ ขาของเธอแทบจะหมดแรงยืน ดีที่เพื่อนหนุ่มช่วยประคองเอาไว้ น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพรากลงมายิ่งกว่าเดิม
ส่วนวินเชลล์เองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าย่าของเพื่อนสาวจะมีความคิดเช่นนี้ เขาไม่เคยเสียดายเงินทองที่หญิงสูงวัยเรียกร้องมาเลย ถ้าเขารักชอบกับการต์รวีจริงๆ
“ผมบอกตามตรงเลยนะครับว่า ผมไม่เคยเห็นปู่ย่าตายายคนไหนเห็นแก่ตัวเท่ากับคุณมาก่อนเลย เงินทองที่คุณเรียกมามันน้อยนิดสำหรับผมมาก หากแต่ว่าผมกับรวีเราคบกันอย่างเพื่อน ไม่ใช่คนรักอย่างที่คุณเข้าใจ” หนุ่มลูกครึ่งตำหนิฝ่ายที่อาวุโสกว่าอย่างตรงไปตรงมา เล่นเอาสมศรีถึงกับควันออกหูด้วยความโกรธ
“แก! แกหลอกด่าฉัน! ฉันไม่เชื่อพวกแกหรอก แกเสียดายเงินน่ะสิถึงอ้างโน่นอ้างนี่ คิดจะหลอกกินฟรีหลานสาวฉันหรือไง!” สมศรีสั่นเทาไปทั้งตัวด้วยความโกรธและโมโหเมื่อไม่ได้ดั่งใจคิด
“พอทีเถอะย่า!” การต์รวีตะคอกกลับไปบ้างเมื่อความอดทนมาถึงขีดสุด พร้อมกับยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาทิ้ง แล้วยืดตัวฝืนยืนด้วยกำลังขาของตนเองโดยไม่ต้องให้เพื่อนหนุ่มช่วยประคอง ก่อนจะพูดต่อ “หนูกับวินเป็นเพื่อนกันจริงๆ ย่าอย่าคิดว่าจะได้อะไรจากเขาเลย”
“นังรวี!” ผู้เป็นย่าตวาดเสียงเขียวแล้วทำท่าจะเข้าไปทำร้ายผู้เป็นหลานให้หายแค้น แต่ก็ถูกวินเชลล์มายืนขวางหน้าเอาไว้
“ถ้าคุณทำร้ายรวีอีก ผมจะแจ้งความจับคุณข้อหาทำร้ายร่างกาย” ชายหนุ่มขู่เสียงเข้ม อีกทั้งใบหน้าก็บึ้งตึงดุดันทำให้สมศรีต้องเงื้อมือค้างและส่งสายตาอาฆาตไปยังสองหนุ่มสาว ก่อนจะเน้นเสียงลอดไรฟัน
“นี่มันเป็นเรื่องในครอบครัวของฉัน คนนอกอย่างแกอย่ามายุ่ง!”
“ผมต้องยุ่งเพราะรวีเป็นเพื่อนรักของผม” วินเชลล์ยังคงเสียงแข็งเพื่อปกป้องเพื่อนรัก และนั่นก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นต่อมความโกรธของหญิงสูงวัยให้เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“ออกไป! ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้! ออกไป!” หญิงสูงวัยตวาดไล่ลั่นบ้านพร้อมกับชี้นิ้วไล่เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ การต์รวีเห็นท่าไม่ดีกลัวเพื่อนหนุ่มจะถูกผู้เป็นย่าทำร้ายจึงให้รีบดึงมือวินเชลล์ถอยห่างออกมาพร้อมกับเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“วินกลับไปก่อนเถอะนะ ทางนี้รวีจัดการเอง ตอนนี้ย่าโมโหหนักอาจทำร้ายวินได้น่ะ”
“วินไปก็ได้ แต่ต้องมีรวีไปด้วย ขืนวินปล่อยให้รวีอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกมีหวังเขาได้ทำร้ายรวีตายแน่ๆ ย่าอะไรทำร้ายหลานตัวเองได้ลงคอ ไม่เคยพบไม่เคยเห็น” ท้ายประโยคชายหนุ่มชำเลืองหางตามาทางหญิงสูงวัยอีกครั้ง และรู้สึกสงสารเพื่อนสาวขึ้นมาจับใจ ที่ต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษต่อจิตใจแบบนี้
“ไม่ได้! นังรวีจะต้องอยู่ที่นี่ ถ้าแกจะพามันไปก็ต้องมีเงินมาให้ฉัน ไม่งั้นฉันแจ้งความจับแกแน่ ข้อหาลักพาตัวหลานสาวของฉัน!” สมศรีตรงเข้าไปยื้อแขนของการต์รวีเอาไว้พร้อมกับฉุดกระชากเข้ามาหาตัวเอง แต่วินเชลล์ก็ยื้อกลับคืนมาแล้วดันร่างบางให้มาแอบทางด้านหลังของตนเอง ก่อนจะถลึงตาใส่ผู้เป็นย่าของเพื่อนสาวอย่างดุดัน ทำให้สมศรีที่กำลังจะก้าวเข้ามาแย่งตัวหญิงสาวต้องหยุดชะงัก
“ผมจะจ่ายให้คุณ 1 ล้านบาทเพื่อแลกกับอิสรภาพของเพื่อนผม ผมจะพารวีออกไปอยู่ที่อื่น หวังว่าคุณคงจะไม่ขัดข้องอีก” วินเชลล์บอกพลางหยิบสมุดเช็คเงินสดขึ้นมาเขียนจำนวนตัวเลขลงไป ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของการต์รวี
“อย่านะวิน นั่นมันเงินไม่ใช่น้อยเลยนะ ขืนให้ย่าไปย่าก็เอาไปเล่นพนันหมดอยู่ดี” เธอไม่ต้องการให้เพื่อนหนุ่มต้องมาเดือดร้อนกับเธอด้วย
“หยุดเลยนะนังรวี มือไม่พายอย่าเอาตีนมาราน้ำ เขาเต็มใจให้ฉันแกอย่าเสือก!” สมศรีตะคอกด่าหลานสาว ก่อนจะยิ้มกริ่ม ดวงตาเปลี่ยนจากแววขุ่นเคืองเป็นวาววับทันทีที่ได้ยินจำนวนเงินที่ชายหนุ่มผู้ร่ำรวยเสนอให้ เพราะในชีวิตนี้ไม่มีทางที่เธอจะได้จับเงินล้านอย่างแน่นอน ต่อไปนี้ถึงไม่มีหลานสาวทรพีเธอก็อยู่ได้อย่างสุขสบายแล้ว
“ช่างเถอะรวี เงินแค่นี้วินยอมเสียเพื่อแลกกับความสุขสบายของรวี รวีจะได้พ้นทุกข์ไปจากที่นี่เสียที” วินเชลล์หันมาบอกเพื่อนเสียงหนักแน่น ก่อนจะยื่นเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งล้านบาทส่งให้หญิงสูงวัย แล้วหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากทางกระเป๋ากางเกงด้านหลัง และหยิบธนบัตรปึกหนึ่งส่งให้อีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยขึ้นเสียงแข็งกร้าว
“นี่เงินหนึ่งหมื่นบาท ผมแถมให้”
“ขอบใจ คุณใจป้ำดีมาก” หญิงสูงวัยรีบรับมาหยัดใส่กระเป๋าเสื้อของตนเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปตวาดใส่หลานสาว
“มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ล่ะนังรวี รีบไปเก็บเสื้อผ้าสิ ต่อไปนี้ฉันไม่จำเป็นต้องขอเงินจากแกอีกแล้ว แกจะไปตายที่ไหนกับใครก็เชิญ! ไป!” ผู้เป็นย่าไล่ส่ง ก่อนจะเดินยิ้มแป้นออกไปจากบ้านอย่างคนอารมณ์ดี โดยไม่มีแววตาอาทรต่อสายเลือดในไส้แม้แต่น้อย
“ย่า...” การต์รวีครางในลำคออย่างเจ็บปวด ร่างบางทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก ดวงตาที่ช้ำไปด้วยน้ำมองตามหลังร่างท้วมของผู้เป็นย่าไปอย่างน้อยใจและเสียใจ ย่าของเธอไม่รักเธอเลยหรือไงถึงได้ขับไล่ไสส่งเธอไปจากที่นี่อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เธออยากรู้นักว่าหัวใจของย่าทำด้วยอะไร ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงินอีกแล้วเหรอ?
“ไม่ต้องร้องไห้นะรวี วินจะพารวีไปอยู่ที่คอนโดของวิน วินซื้อทิ้งไว้นานแล้วแต่ไม่ได้เข้าไปอยู่ แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทองที่วินเสียไปด้วย วินบอกแล้วไงว่าเต็มใจช่วยเหลือรวีทุกอย่าง ไปเก็บเสื้อผ้าเถอะ” วินเชลล์โอบไหล่บางเพื่อนสาวอย่างปลอบโยน ก่อนจะพยุงให้ลุกขึ้น การต์รวีหันมามองหน้าเพื่อนรักด้วยด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา
“ถ้ารวีไปจริงๆ แล้วใครจะอยู่ดูแลย่าล่ะวิน ย่าแก่แล้วนะวิน รวีเป็นห่วงย่า” หญิงสาวบอกปนเสียงสะอื้น
“รวีเป็นห่วงเขา แล้วเขาล่ะเคยเป็นห่วงรวีบ้างหรือเปล่า เขามีแต่จะทำร้ายรวี พอขอเงินไม่ได้ดั่งใจก็โมโหต่อว่าด่าทอต่างๆ นานา วินไม่เข้าใจเลยว่ารวีทนอยู่ได้ยังไง” วินเชลล์นิ่วหน้ามองเพื่อนสาวอย่างขัดใจ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วพูดต่อ “วินรู้ว่ารวีเป็นคนกตัญญู เอาเป็นว่าวินจะให้คนของวินเข้ามาแอบดูย่าของรวีเป็นระยะๆ แล้วกัน เพื่อความสบายใจของรวี ไปเถอะขึ้นไปเก็บของ วินไม่ให้รวีอยู่ที่นี่แน่ๆ” หนุ่มลูกครึ่งตบไหล่บางเบาๆ แล้วประคองร่างบางพาเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นห้องนอน โดยที่หญิงสาวไม่ค่อยเต็มใจนักเพราะเธอเป็นห่วงผู้เป็นย่า และอีกอย่างก็คือเธอไม่ต้องการให้เพื่อนรักต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจไปกับเรื่องส่วนตัวของเธอ
“อย่าคิดมาก ทำใจให้สบายเข้าไว้” วินเชลล์บีบมือเรียวแน่นในขณะที่เดินขึ้นบันไดมา
“รวีจะรีบหาเงินมาใช้คืนวินนะ เพื่อความสบายใจของรวี” หญิงสาวหยุดยืนที่หน้าห้องก่อนจะหันมาบอกเพื่อนหนุ่มด้วยแววตาที่หม่นเศร้า ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ ทั้งๆ ที่เขาไม่ต้องการเงินจำนวนนั้นคืนมาเลย แต่เพื่อความสบายใจของเพื่อนสาวจึงพยักหน้ารับไปอย่างนั้นเอง จากนั้นเขาก็เข้าไปช่วยหญิงสาวเก็บเสื้อผ้ารวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว แล้วพาไปอยู่ที่คอนโดมีเนียมชุดของตนเองแถวๆ เขตมีนบุรี โดยที่หนุ่มสาวทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าการกระทำนั้นตกเป็นเป้าสายตาของใครบางคนอยู่
ร่างบางของการต์รวีเดินเข้ามาหยุดยืนที่กลางห้องชุดสุดหรูหราของเพื่อนหนุ่มที่ยกให้เธอเข้ามาอยู่อย่างฟรีๆ อีกครั้ง หลังจากเดินไปส่งเพื่อนรักที่หน้าห้องแล้ว ถ้าจะเทียบกันแล้วที่นี่แค่ห้องเดียวก็กว้างพอๆ กับบ้านไม้ของเธอทั้งหลังเลยก็ว่าได้ หญิงสาวถอนใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินไปทรุดนั่งลงบนเตียงกว้างขนาด 6 ฟุต พลางคิดไปถึงชายหนุ่มอีกคนที่มีฐานะเป็นพี่ชายของเพื่อนหนุ่ม ถ้าเขารู้ว่าวินเชลล์พาเธอมาอยู่ที่นี่คงจะต้องโมโหจนอกแตกตายแน่ๆ และคงไม่แคล้วคิดว่าเธอออดอ้อนให้น้องชายของเขาพาเธอมาอยู่ที่นี่เพื่อความสุขสบาย คิดแล้วก็ต้องถอนใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ จากนั้นร่างเพรียวบางก็ลุกขึ้นลากกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองไปจัดเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่สามารถใส่เสื้อผ้าของคนได้เกือบสิบคน
‘คนรวยนี่ไม่ว่าจะทำอะไร คิดอะไรก็ต้องใหญ่โตไปหมดเลยแฮะ’ การต์รวีคิดอย่างขำๆ ในขณะที่มือเรียวจับเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนเสื้อ แต่แล้วจิตใจก็หวนกลับไปคิดถึงผู้เป็นย่าอีกครั้ง ตอนนี้ย่าของเธอคงกำลังเพลินอยู่ในบ่อนด้วยเงินที่วินเชลล์มอบให้ แต่ถ้าวันใดเงินหมดขึ้นมาล่ะ ย่าของเธอจะทำยังไง ดวงตากลมโตสลดวูบลง มือบางชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะสลัดความคิดนั้นออกไป เพราะกว่าเงินของย่าเธอจะหมดก็คงอีกเป็นเดือน เงินไม่ใช่น้อยๆ แบบนั้น ในตอนนี้เธอควรจะคิดหางานพิเศษนอกเหนือจากงานประจำทำอย่างเร่งด่วน เพื่อหาเงินมาใช้คืนวินเชลล์กับไถ่ที่บ้านออกมาก่อนที่จะครบกำหนดตามที่คุณนายสมลิ้มขีดเส้นตายเอาไว้ให้ แต่เงินเป็นหมื่นใช้ว่าจะหากันได้ในวันสองวัน ยิ่งคิดการต์รวีก็ยิ่งท้อใจ
แล้วทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพร้อมกับหันไปมองทางประตูห้องอย่างสงสัยว่าใครกันนะที่จะมาเคาะและรู้ว่ามีคนมาอยู่ที่นี่แล้ว ด้วยความสงสัยทำให้การต์รวีสาวเท้าบางไปที่หน้าประตูก่อนจะบิดลูกบิดเปิดออก แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องนิ่วหน้าอย่างสงสัยมากกว่าเดิมเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินเข้มยืนส่งยิ้มมาให้กับเธอ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบอย่างงงๆ
“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นแม่บ้านประจำของที่นี่ค่ะ เมื่อครู่คุณวินสั่งให้ฉันมาช่วยดูแลคุณน่ะค่ะว่าต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า” แม่บ้านวัยกลางคนเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“เอ่อ...ค่ะ” การต์รวีพยักหน้าน้อยๆ แต่ก็ยังไม่วางใจเพราะเดี๋ยวนี้พวกมิจฉาชีพมีเยอะและมาในหลายๆ รูปแบบด้วย และยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยอะไรต่อเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น หญิงสาวหยิบขึ้นมาดูก่อนจะกดรับเมื่อเห็นชื่อเพื่อนหนุ่มโชว์อยู่บนหน้าจอ
“ว่าไงจ๊ะวิน?”
“วินจะโทรมาบอกว่าวินสั่งป้าพิมให้ช่วยขึ้นไปดูแลรวี ถ้ารวีอยากได้อะไรเพิ่มก็บอกแกได้เลยนะ ป้าแกจะจัดหามาให้รวีทุกอย่าง วินจ้างป้าแกไว้เป็นพิเศษแล้ว” เสียงคนปลายสายลอดออกมา
“จ้ะ รวีเจอกับป้าแกแล้ว ขอบใจวินมากนะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แล้วพรุ่งนี้เช้าวินจะเข้าไปรับนะ” คนปลายสายพูดจบก็กดวางสายลงทันทีด้วยเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ
การต์รวีหันมายิ้มให้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม แล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันยังไม่อยากได้อะไรเพิ่มหรอกจ้ะป้า ขอบคุณมากนะคะที่ขึ้นมาถาม”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกป้าได้เลยนะคะ ไม่ว่าจะซื้อของหรือทำความสะอาดห้อง เพราะปรกติคุณวินก็จะจ้างพิเศษป้าให้เข้ามาทำความสะอาดห้องทุกๆ วันอาทิตย์ ป้าทำความสะอาดประจำอยู่ชั้นนี้เรียกใช้ได้ตลอดนะคะ” พิมภาคลี่ยิ้มกว้างให้สาวสวยตรงหน้า ก่อนจะเดินย้อนกลับไปทางเดิม การต์รวีอมยิ้มพลางมองตามหลังของแม่บ้านวัยสูงไป ก่อนจะปิดประตูห้องและลงกลอนอย่างแน่นหนา เพราะหญิงสาวต้องการพักผ่อนในความเหนื่อยล้าทางกายกับทางจิตใจผ่อนคลายลงไป
ทันทีที่ร่างสูงของผู้เป็นน้องชายก้าวเข้ามาในบ้าน ร่างที่สูงกว่าเล็กน้อยของโจซิสในชุดนอนสีเทาก็ลุกเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น พร้อมกับร้องเรียกน้องชายคนเดียวของตนเองเอาไว้
“หยุดคุยกันก่อนซินายวิน”
“เรื่องสำคัญหรือเปล่า? ถ้าไม่สำคัญเอาไว้พรุ่งนี้เถอะเพราะผมเพลียมาก อยากพักผ่อน”
“ผู้หญิงคนนั้นทำให้แกเพลียมากขนาดนี้เลยหรือไง?” คำถามแกมประชดของพี่ชายทำให้วินเชลล์หันมามองอย่างไม่พอใจ
“ผมจะเพลียด้วยเรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยวกับใคร มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม และถ้าคำว่าผู้หญิงคนนั้นที่พี่กำลังจะพูดหมายถึงคนรักของผมละก็ กรุณาเรียกชื่อเธอและให้เกียรติกับเธอด้วย” วินเชลล์หันมามองหน้าพี่ชายตาขวาง เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร
“เท่าที่ฉันรู้ ผู้หญิงของนายไม่ได้มีเกียรติหรือศักดิ์ศรีอะไรเลยไม่ใช่เหรอ นอกจากจะเกาะนายกิน” มุมปากหยักลึกเหยียดออกอย่างเย้ยๆ
“หยุดนะพี่โจ!” ผู้เป็นน้องชายตะคอกใส่เสียงเขียวพร้อมกับถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ ก่อนจะพูดต่อ “การต์รวีไม่เคยเป็นอย่างที่พี่พูด และถ้าพี่รู้จักเธอดีพี่จะรู้ว่าคำกล่าวหาที่พี่ยัดเยียดให้เธอนั้นมันทุเรศสิ้นดี! ถ้าพี่มีเรื่องที่จะพูดแค่นี้ผมก็ขอตัวก่อน ผมเหนื่อย”
“ฉันว่านายเหนื่อยเพราะหมดแรงไปกับผู้หญิงของนายมากกว่าเรื่องงานล่ะมั้ง” โจซิสหรี่ดวงตาคมลงพร้อมกับกัดฟันกรอด
“เคารพสิทธิส่วนบุคคลกันด้วยนะพี่โจ เรื่องส่วนตัวของผมกรุณาอย่าก้าวก่าย”
“ฉันเคารพสิทธิ์ของนายแน่ ถ้าเรื่องส่วนตัวของนายไม่ทำให้นายเป็นคนหูหนวกตาบอด จนกลายเป็นคนโง่ยอมให้คนรักของนายปลอกลอกเงินทองของแกไปจนหมดตัว นายไม่รู้เลยหรือไงว่าคนรักของนายมันไม่มีอะไรที่คู่ควรกับนายเลย แถมยังมีหนี้สินพะรุงพะรังยาวเป็นหางว่าวอีก” โจซิสบอกเสียงกร้าว
“ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการต์รวีดี พี่ต่างหากที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็เหมาเอาเองหมด ตั้งข้อรังเกียจต่างๆ นานา ระวังเถอะโบราณเขาว่าเอาไว้ว่าเกลียดอย่างไหนต้องได้อย่างนั้น แล้วผมขอเตือนพี่เอาไว้ก่อนเลยนะว่าอย่าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมกับรวีเด็ดขาด!” วินเชลล์เน้นเสียงเข้ม ดวงตาสีน้ำเงินจ้องพี่ชายเขม็งอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเดินเลี่ยงกลับขึ้นห้องตนเองด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง
โจซิสขบกรามแน่น มองตามหลังร่างสูงของน้องชายไปอย่างขุ่นเคือง เขาจะไม่ยอมลามือแน่ ถ้าผู้หญิงเห็นแก่เงินคนนั้นยังไม่ยอมเลิกยุ่งเกี่ยวกับวินเชลล์ เพราะถ้าผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเป็นนายหญิงของบ้านหลังนี้มีหวังบ้านได้ร้อนเป็นไฟแน่ และจากที่ได้รับรายงานจากลูกน้องครั้งล่าสุดก็คือวินเชลล์ได้พาผู้หญิงคนนั้นไปอยู่ที่คอนโดชุดราคาเกือบสิบล้าน นี่นะเหรอที่เจ้าหล่อนบอกกับเขาว่าไม่คิดจะปลอกลอกน้องชายของเขา พวกผู้หญิงปากว่าตาขยิบ
“ฉันเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้ายไปแล้ว แต่เธอไม่ฟังฉันเองนะ แล้วอย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน” น้ำเสียงดุดันพึมพำลอดไรฟันออกมา มือแกร่งกำแน่นด้วยความโมโห เขาจะเป็นขวากหนามขวางทางรักของน้องชายให้ถึงที่สุด ดวงตาคมเย็นชาหรี่ลงอย่างมาดหมาย สันกรามใหญ่นูนขึ้นอย่างน่ากลัวก่อนจะหมุนตัวเดินกลับขึ้นห้องของตนเองไป