บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 บุญคุณต้องทดแทน

การต์รวีเดินลงมาจากห้องบนชั้นสองของบ้านไม้เก่าๆ เพื่อเตรียมตัวออกไปทำงานตามปรกติ แม้ว่าจะยังรู้สึกเหนื่อยล้าจากการไปร่วมงานเลี้ยงสังคมของพวกคนไฮโซมาก็ตาม เมื่อคืนกว่าวินเชลล์จะมาส่งเธอที่บ้านก็เกือบเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ความจริงเธออยากจะกลับตั้งแต่ที่ทะเลาะกับพี่ชายของเพื่อนหนุ่มแล้ว แต่อีกฝ่ายขอร้องให้อยู่ก่อนเพราะบิดากับมารดาของเขาจะแนะนำเธอให้กับญาติผู้ใหญ่อีกหลายคนได้รู้จัก หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจและสังหรณ์ใจว่าเรื่องหลอกลวงในครั้งนี้มันจะไม่จบลงแค่เมื่อคืนนี้แน่ๆ

“จะไปทำงานแล้วเหรอ?” คำถามที่ดังขึ้นทำให้ร่างบางที่กำลังจะก้าวออกไปจากประตูหน้าบ้านชะงัก และหันกลับมามองคนถาม

“ค่ะ หนูทำข้าวต้มหมูไว้ให้ในตู้แล้วนะคะ” การต์รวีบอกเสียงเรียบ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับและเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

“เอ่อ...แกมีเงินให้ย่าสักห้าพันไหม? ย่าจะเอาไปต่อทุนนะ เมื่อวานดวงไม่ขึ้นเสียหมดตัวเลย”

“ไม่มีค่ะ” การต์รวีลอบถอนใจก่อนจะตอบสั้นๆ ห้วนๆ แล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ผู้เป็นย่าก็ดึงแขนให้หันหน้ากลับมา ก่อนจะตะคอกใส่อย่างไม่พอใจ

“ไม่มีได้ไง เงินเดือนแกล่ะไปไหนหมด ฉันแค่ขอยืมแกเท่านั้น พอเล่นได้ฉันก็จะเอามาคืนแก!”

“เงินเดือนหนูแค่หมื่นกว่าบาทเองนะคะย่า ลำพังค่าใช้จ่ายภายในบ้านก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว แถมยังต้องจ่ายหนี้ที่ย่าไปก่อเอาไว้อีกล่ะคะ เดือนๆ หนึ่งแทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว หนูขอร้องล่ะค่ะย่าเลิกเข้าบ่อน เลิกเล่นการพนันเสียทีเถอะค่ะ” ดวงตากลมโตมองใบหน้าที่เริ่มเหี่ยวย่นของผู้เป็นย่าอย่างขอร้อง

เงินเดือนพนักงานบริษัทเอกชนก็แค่หมื่นกว่าบาทเท่านั้น แต่รายจ่ายหนี้สินมีเกือบ 10 เท่าตัว ไหนจะต้องไปจ่ายค่าไถ่ถอนที่ดินพร้อมบ้านที่ย่าของเธอเอาไปจำนองเอาไว้กับคุณนายสมลิ้ม ไหนจะหนี้ในบ่อนการพนันที่ย่าเธอไปก่อเอาไว้ แถมยังมีหนี้นอกระบบที่ตามมาเก็บถึงบ้านทุกวันอีก ทั้งหมดเป็นเพราะผีพนันที่เข้าสิงย่าของเธออยู่แท้ๆ แต่ไม่ว่าเธอจะพูดจะห้ามยังไงย่าของเธอก็ไม่ยอมเลิกมัน

“นี่แกคิดจะมาทวงบุญคุณฉันงั้นเหรอ นังรวี!” สมศรีตวาดเสียงเขียวใส่หลานสาวเมื่อไม่ได้ดั่งใจ

“หนูไม่ได้ทวง และไม่คิดจะทวงด้วย เพราะหนูรู้ว่าย่าไม่เคยได้อะไรออกมาจากบ่อนชั่วๆ นั่นเลยสักบาทเดียว มีแต่เสียกับเสีย ที่หนูพูดหนูบอกก็เพราะหวังดีกับย่า ไม่อยากจะให้ย่าหมดตัวไปมากกว่านี้”

“แกไม่ต้องมาสอนฉัน! ถ้าแกไม่มีก็ไปยืมเพื่อนๆ แกมาให้ฉันก่อนสิ ไอ้หนุ่มเมื่อเย็นวานก็ได้ ดูท่าทางมันจะมีเงินมากอยู่นะ รูปก็หล่อพ่อมันน่าจะรวย ถ้ายังไงแกก็รวบรัดเอามาเป็นผัวให้ได้ล่ะ ฉันจะได้สบายไปด้วย” สมศรีเท้าเอวอย่างไม่พอใจ

“หนูคงทำแบบที่ย่าสอนไม่ได้หรอก และถ้าย่ายังไม่เลิกเล่นการพนันละก็ เรื่องหนี้สินต่างๆ ของย่าหนูก็จะไม่ช่วยชดใช้ให้อีกแล้ว” เมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง ก็คงต้องใช้วิธีการบังคับกันบ้างแล้ว

“นังรวีมันจะมากไปแล้วนะ! แกอย่าลืมนะว่าฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่ยังเด็ก ถ้าไม่มีฉันแกจะมีงานดีๆ ทำเหรอ คิดจะเนรคุณฉันหรือไงนังหลานทรพี!” อารมณ์โมโหของสมศรีพุ่งพรวดขึ้นเป็นสองเท่า

“ย่า! หนูไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ที่หนูทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อย่าทั้งนั้น” การต์รวีเม้มริมฝีปากแน่น น้ำตาแห่งความเสียใจเอ่อคลอที่เบ้าตา เธอไม่ได้คิดเนรคุณหรือทรพีย่าแม้แต่น้อย

ถูกต้องที่ว่าย่าเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อกับแม่ของเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุภายในโรงงานที่ทั้งคู่ทำงานอยู่ แต่ย่าของเธอก็เลี้ยงเธออย่างอดๆ อยากๆ เหมือนกับเด็กจรจัดข้างถนน

เธอยังจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งเธอเคยไปขอข้าวพระที่วัดหน้าปากซอยกินด้วยซ้ำไป ส่วนย่าก็เอาแต่เข้าบ่อนเล่นไพ่ โชคดีที่เธอเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง จึงสอบแข่งขันชิงทุนเข้าเรียนมหาลัยของเอกชนได้ และที่เธอทำทุกอย่างในปัจจุบันนี้ ก็เพื่ออยากจะให้ย่าของเธอได้อยู่อย่างสุขสบาย เธอหวังว่าสักวันย่าของเธอจะเลิกเล่นการพนันทุกชนิด แต่ก็เปล่าเลยกลับเล่นหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“แกบอกว่าทำเพื่อฉันก็เอาเงินมาให้ฉันสิ ไม่งั้นฉันก็จะตราหน้าที่ว่าคนเนรคุณ!”

“หนูไม่มีจริงๆ” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ

“แกอย่ามาโกหกฉันเลยนังรวี ถ้าฉันรู้ว่าแกเป็นคนแบบนี้ละก็ ฉันไม่เลี้ยงแกให้เปลืองข้าวสุกหรอก นังเนรคุณ!” สมศรีจิ้มนิ้วชี้ลงไปบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแรงจนใบหน้าสวยผงะหงายไปนิดหนึ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าเดินกระแทกเท้าออกจากบ้านไปด้วยความโมโห

การต์รวีมองตามหลังผู้เป็นย่าไป พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเอื่อยลงมา หญิงสาวรีบกะพริบถี่ๆ เพื่อกลั้นมันเอาไว้ และรีบเช็ดส่วนที่ไหลออกมาแล้วทิ้ง หญิงสาวรู้สึกน้อยใจระคนเสียใจในคำพูดของผู้เป็นย่า เธออยากจะถามกลับไปนักว่าที่เธอทำอยู่ทุกวันนี้มันคือการเนรคุณอย่างงั้นเหรอ เธอคิดอย่างท้อใจก่อนจะก้าวออกจากบ้าน แล้วปิดล็อกกุญแจบ้านเพราะแน่ใจว่าผู้เป็นย่าคงจะไปเข้าบ่อนอีกตามเคย และคงจะกลับเข้าบ้านในตอนเย็นหรือไม่ก็มืดค่ำนั่นแหละ

และในขณะที่การต์รวีกำลังปิดประตูรั้วบ้านอยู่นั้น รถเบนซ์คันหรูก็แล่นเข้ามาจอดเทียบอยู่ข้างๆ ก่อนที่ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงสีดำจะก้าวลงมา พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างส่งมาให้ หญิงสาวฝืนยิ้มรับในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาหา

“ดีนะที่มาทันรวี” วินเชลล์เอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาหยุดยืนตรงหน้าของเพื่อนสาว ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นดวงตาแดงๆ และคราบน้ำตาที่ถูกเช็ดออกไม่หมดของหญิงสาว

“รวีร้องไห้เหรอ?”

“เปล่านี่” หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดอีกครั้งและเมื่อแตะถูกน้ำที่ขนตาก็รีบคลี่ยิ้มแล้วพูดแก้ตัวทันที “เมื่อครู่ฝุ่นมันปลิวมาเข้าตาน่ะ รวีก็เลยขยี้จนน้ำตาไหลน่ะ”

“รวีโกหกไม่เนียนเหมือนเดิมเลยนะ อาการแบบนี้มันร้องไห้ชัดๆ วินไม่ใช่เด็กนะรวีอย่ามาโกหกกัน โดนย่าดุเพราะขอเงินไม่ได้อีกล่ะสิ ย่าของรวียังไม่เลิกเล่นการพนันอีกใช่ไหม?” วินเชลล์คาดเดาเหตุการณ์จากประสบการณ์ที่คบหากับการต์รวีมานานหลายปีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย และเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาไปช่วยประกันตัวย่าของเพื่อนสาวออกมาจากคุกในข้อหาเล่นการพนัน และถึงแม้ว่าจะเรียนจบ เขาก็ยังติดต่อกับการต์รวีอยู่ตลอด

การต์รวีพยักหน้าตอบรับเพื่อนหนุ่มน้อยๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเบื่อระอา แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ ให้เพื่อนหนุ่ม

“ช่างมันเถอะวิน รวีชินแล้วล่ะ ว่าแต่วินเถอะมาทำอะไรแถวนี้ ไม่ไปทำงานเหรอ?”

“ไปสิ แต่จะมารับรวีไปส่งที่ทำงานก่อน แล้วตอนกลางวันก็จะมารับไปทานข้าว เพื่อเป็นการตอบแทนที่รวีช่วยเป็นคู่รักกำมะลอให้ไง ห้ามปฏิเสธด้วยนะ” วินเชลล์พูดดักคอเพื่อนสาวเอาไว้ก่อน เพราะเขารู้ดีว่าการต์รวีเป็นคนขี้เกรงใจ

“วินเล่นพูดซะแบบนี้แล้วรวีจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ” ในเมื่ออีกฝ่ายพูดดักคอเอาไว้เสียก่อนแล้ว เธอจึงต้องตอบรับ แล้วพานนึกย้อนไปถึงคำพูดของโจซิสที่ห้ามเธอคบกับน้องชายของเขาเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเธอจะมาปลอกลอกวินเชลล์นั่นเอง แต่เธอจะไปสนใจทำไมในเมื่อเธอไม่ได้มีจิตคิดอกุศลแบบที่เขาคิด

“เชิญครับคุณผู้หญิง” วินเชลล์คลี่ยิ้มกว้างก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตูรถให้เพื่อนสาวที่เดินยิ้มหวานตามหลังมา จากนั้นก็เดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับแล้วก็สตาร์ตเครื่องยนต์ เคลื่อนรถออกไปจากบริเวณหน้าบ้านไม้สองชั้นหลังนั้น

วินเชลล์เหลือบหางตามามองทางเพื่อนสาวเป็นระยะๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทางตั้งแต่รถเคลื่อนออกมาจากบ้าน ใบหน้าสวยก็ดูซึมเศร้าลงไป และด้วยความเป็นห่วงในตัวหญิงสาว เขาจึงเอ่ยถามขึ้น

“ไม่สบายใจอะไรก็บอกกันได้นะรวี ลืมแล้วเหรอว่าเราเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้ว่าช่วงหลังจากที่เราเรียนจบเราจะไม่ค่อยได้พบได้ติดต่อกันก็เถอะ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่นะ”

“ขอบใจมากนะวิน แต่รวีไม่เป็นอะไรหรอก แค่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง” การต์รวีหันมาฝืนยิ้มบางๆ ให้เพื่อนหนุ่ม ก่อนจะหันกลับไปนั่งนิ่งตามเดิม

“เรื่องย่าของรวีใช่ไหม?” หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง และนิ่งเงียบไปชั่วครู่เพื่อรอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย แต่เมื่อเพื่อนสาวเงียบ เขาจึงพูดต่อ

“มีอะไรที่วินพอจะช่วยได้ก็ขอให้รวีบอกมา วินยินดีที่จะช่วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องอื่นๆ”

“รวีขอบใจวินอีกครั้งนะ แต่รวีไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนด้วย” การต์รวีรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนหนุ่มมาก แต่นี่เป็นปัญหาของเธอที่ต้องจัดการด้วยตนเอง

“รวีก็เป็นแบบนี้ทุกที มีอะไรชอบเก็บเอาไว้คนเดียว ระวังจะเครียดตายนะ ระบายออกมาเสียบ้างเถอะ รู้ไหมเนี่ยว่าวินน่ะอยากช่วยรวีม๊าก มาก” เขาพูดติดตลกเพื่อให้หญิงสาวผ่อนคลายความตึงเครียดลง

“ขอบใจในน้ำใจของวินนะ ถ้าวินอยากจะช่วยรวีจริงๆ วินช่วยหางานพาสทามน์หลังจาก 4 โมงเย็นไปแล้วให้รวีหน่อยได้ไหม รวีอยากหารายได้เสริมน่ะ” การต์รวีนั่งคิดมาตลอดทางว่าตัวเธอเองต้องหางานอย่างอื่นทำเสริมไปด้วย รายได้ถึงจะพอใช้จ่ายในแต่ละเดือน และเมื่อเพื่อนหนุ่มเสนอตัวช่วยเหลือเธอจึงให้เขาช่วยหางานหลังเลิกงานให้เธอทำ

“นึกแล้วเชียวว่าต้องเดือดร้อนเรื่องเงิน ไอ้เราเสนอตัวเข้าช่วยก็ไม่ยอมรับ แต่ก็เอาเถอะวินจะช่วยหางานให้” วินเชลล์ตบปากรับคำ ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าตึกสูงซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเพื่อนสาว

“ขอบคุณมากนะวิน” การต์รวียิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม

“ไม่ต้องขอบคุณอะไรหรอก เราเป็นเพื่อนรักกันนะ แล้วนับจากพรุ่งนี้ไปวินจะไปรับไปส่งรวีทุกวันเลยนะ รวีจะได้ไม่ต้องนั่งรถเมล์ให้มันแออัดกับคนอื่นเขา” วินเชลล์เอ่ยขึ้นก่อนที่เพื่อนสาวจะก้าวลงจากรถ ทำให้การต์รวีชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวแล้วหันมามองหน้าเพื่อนหนุ่มด้วยความเกรงใจ

“แต่ว่า...”

“ห้ามปฏิเสธ” หนุ่มลูกครึ่งพูดตัดบทก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยจนจบประโยค เพราะเขารู้ว่าเพื่อนสาวต้องปฏิเสธแน่ๆ จึงเอ่ยดักคอเอาไว้เสียก่อน การต์รวีมองหน้าเพื่อนนิ่งพร้อมกับนิ่งคิดก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“แต่มันจะเป็นการรบกวนและสิ้นเปลืองน้ำมันเปล่าๆ นะ เพราะวินต้องขับอ้อมมารับรวีน่ะ”

“ไม่รบกวนและไม่สิ้นเปลืองอะไรทั้งนั้น รวีอย่าคิดมากสิ แต่ถ้ารวีไม่ให้วินไปรับนี่สิ วินจะเคืองจริงๆ ด้วย” ชายหนุ่มทำหน้าตึงใส่ ทำให้การต์รวีต้องถอนใจออกมายาวก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มบางๆ ส่งให้เพื่อนรัก แล้วจึงก้าวลงจากรถเดินเข้าไปในตัวอาคาร จากนั้นรถเบนซ์สีบรอนซ์ทองก็เคลื่อนตัวออกสู่ถนนหลักอีกครั้ง และหลังจากวันนั้นวินเชลล์ก็คอยตามรับตามส่งเพื่อนสาวด้วยความห่วงใย

โจซิสกัดกรามกรอดอย่างโมโหหลังจากวางสายจากลูกน้องของตนเองที่ให้เฝ้าติดตามดูพฤติกรรมของการต์รวีอยู่หลายวัน ลูกน้องของเขาได้โทรมารายงานว่าน้องชายของเขาไปรับไปส่งการต์รวีที่บ้านกับที่ทำงานเกือบทุกวัน ส่วนตอนกลางวันก็มารับออกไปทานข้าวและพาไปซื้อข้าวของมากมาย มือใหญ่กำโทรศัพท์มือถือของตนเองเอาไว้แน่น ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะทำงานของตนเองอย่างแรงด้วยความโกรธ ร่างสูงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ก่อนจะหรี่ดวงตาคมมองไปยังเบื้องหน้านิ่ง

“ในเมื่อฉันเตือนเธอดีๆ แล้วไม่ฟัง เราก็จะได้เห็นดีกันแน่การต์รวี!” นักธุรกิจหนุ่มคำรามอยู่ในลำคอ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

ช่วงเย็นในขณะที่การต์รวีกำลังเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกับพวกเพื่อนๆ พนักงานด้วยกัน แต่แล้วร่างบางก็ต้องหยุดชะงักอยู่ที่หน้าลิฟต์ เมื่อสายตาสีนิลเหลือบแลไปเห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอ เหล่าบรรดาเพื่อนพนักงานสาวๆ ต่างก็คลี่ยิ้มหวานส่งให้หนุ่มรูปหล่อ

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” โจซิสบอกเสียงเข้ม ดวงตาคมมองตรงไปยังการต์รวีนิ่ง ทำให้บรรดาสาวๆ ที่ยืนแอบมองเขาอยู่ ต่างก็พากันหุบยิ้มอย่างผิดหวังแล้วเดินแยกย้ายกันไป

“แต่ดิฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” การต์รวีบอกเสียงแข็ง ก่อนจะเดินหลบเลี่ยงออกมา แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้หญิงสาวเดินหนีไปดื้อๆ มือแกร่งจึงคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบางแล้วฉุดร่างบางให้เดินตามตนเองไปทางลานจอดรถ ก่อนจะจับหญิงสาวดันเข้าไปในรถพร้อมกับขู่เสียงกร้าว

“อย่าคิดวิ่งหนีเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะทำให้เธออับอายจนไม่กล้าสู้หน้าผู้คนเลยคอยดู!”

“คุณโจซิส! คุณต้องการอะไรจากดิฉันกันแน่!” การต์รวีตะคอกถามพร้อมกับมองอีกฝ่ายเขม็งอย่างโมโห ส่วนชายหนุ่มนั้นก็แค่กระตุกยิ้มและกระแทกประตูรถปิดใส่หน้าหญิงสาว ก่อนจะรีบเดินอ้อมมาประจำที่ของตนเองแล้วเคลื่อนรถออกไปจากลานจอดรถของบริษัทแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

การต์รวีนิ่วหน้าอย่างโกรธเคือง ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อเม้มแน่น ก่อนจะหันมาเอ่ยถามเสียงกระด้าง

“คุณจะพาดิฉันไปไหนกันแน่คุณโจซิส!”

“พาเธอไปเชือดทิ้งไง!” โจซิสหันมาตะคอกใส่เสียงดังด้วยความรำคาญ ก่อนจะเลี้ยวรถไปทางซอยเปลี่ยว การต์รวีถึงกับหน้าซีดเผือดหันซ้ายหันขวา แล้วทำท่าจะเปิดประตูรถกระโจนลงไปทั้งๆ ที่รถยังวิ่งอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ใช้มือข้างหนึ่งตะครุบไหล่บางดึงเอาไว้ และเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน ทำให้หน้าผากของการต์รวีโขกเข้ากับคอนโซนหน้ารถอย่างจัง

“เป็นไงล่ะ หาเรื่องเจ็บตัวดีนัก สมน้ำหน้า!” นักธุรกิจหนุ่มกระแทกเสียงใส่พร้อมกับเหยียดมุมปากออกอย่างเยาะๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่าย

การต์รวีถึงกับน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บ มือเรียวยกขึ้นลูบคลำหน้าผากพร้อมกับหันมาจ้องอีกฝ่ายตาถลนด้วยความแค้นใจ

“คิดจะใช้สายตาฆ่าฉันหรือไง ฮึ!” เขาหัวเราะเยาะในลำคอพร้อมกับหรี่ดวงตาเย็นชามองอีกฝ่ายอย่างหมิ่นๆ แล้วพูดต่อ

“ฉันเคยเตือนเธอแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่ามายุ่งกับน้องชายของฉันอีก แต่เธอก็ไม่ยอมฟัง” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มแข็งกระด้างอย่างดุดัน

การต์รวีมองสบสายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว มือเรียวเริ่มเย็นลงจนต้องกำเอาไว้ ทั้งๆ ที่บอกกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องกลัวเขา แต่สายตาคมคู่นั้นมันเหมือนกับมีพลังบางอย่างที่ดูดกลืนความกล้าหาญของเธอไปจนหมดสิ้น

“ฉันไม่เคยไปยุ่งกับน้องชายของคุณเลยนะ!” การต์รวีแหวใส่ ทั้งเจ็บทั้งโมโหปะปนกัน

“ฉันไม่ใช่คนตาบอดนะที่จะไม่รู้ว่าเธอยั่วยวนออดอ้อนให้มันมารับถึงที่บ้าน อ้อนให้มันพาไปกินข้าว พาไปซื้อของ เธอรู้ไหมว่าการกระทำแบบนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกผู้หญิงหากินหรอก!”

เผียะ!

สิ้นเสียงของชายหนุ่ม ฝ่ามือบางก็ฟาดลงไปบนใบหน้าหล่อของเขาเต็มแรง จนใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งสะบัดไปตามแรงมือ กรามทั้งสองข้างขบแน่นก่อนจะหันกลับมามองคนที่ทำด้วยแววตาดุดัน

ใบหน้าสวยของการต์รวีแดงก่ำด้วยความโกรธสุดขีดที่ถูกอีกฝ่ายดูหมิ่นเหยียดหยามเกียรติและศักดิ์ของเธอ

“ฉันไม่เคยยั่วยวนใคร และไม่มีความคิดชั่วๆ อย่างที่คุณคิดด้วย ผู้หญิงอย่างฉันไม่เคยคิดจะขายศักดิ์ศรีของตัวเองหรอก ถึงฉันจะจนฉันก็มีศักดิ์ศรีของตัวเองเหมือนกัน!” เธอตะคอกใส่หน้าเขาลั่นรถ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าเช่นไรในตอนนี้ เพราะเธอเองก็โมโหจนหูอื้อตาลายแล้วเหมือนกัน

“เธอกล้าตบฉันหรือการต์รวี!” โจซิสเน้นเสียงลอดไรฟันอย่างน่ากลัว มือแกร่งกระชากไหล่บางให้หันมาทางเขา ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงดุดันมองเขม็งไปที่หญิงสาว

“ฉันกล้ามากกว่านี้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของฉัน!” น้ำเสียงของหญิงสาวแข็งกร้าวบ่งบอกถึงความรู้สึกโกรธแค้น พร้อมกับพยายามสะบัดตัวออกมาจากจากมือใหญ่

“ฮึ! ฮึ! อย่างเธอน่ะเหรอมีศักดิ์ศรีมีเกียรติ ถ้ามีจริงอย่างที่ปากเธอพูด เธอคงไม่จ้องจับน้องชายของฉันหรอก ฉันเห็นมาเยอะแล้วผู้หญิงที่ทำตัวเป็นว่าไม่สนใจเงินทอง แต่พอเห็นเงินก็มือสั่นอ่อนระทวยทุกราย” โจซิสกระตุกยิ้มเยาะ มือหนาออกแรงบีบหัวไหล่บางมากขึ้นเพื่อสร้างความเจ็บปวดให้หญิงสาว

“หยุดนะคุณโจซิส! หยุดดูถูกฉันซะที!” การต์รวีตวาดใส่หน้าชายหนุ่มอย่างโมโหเดือดดาล และสะบัดไหล่จนหลุดด้วยแรงฮึดสู้ แต่โจซิสก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียวแล้วกระตุกให้อีกฝ่ายเอนมา ก่อนจะคว้าข้อมือเรียวอีกข้างยึดเอาไว้ เท่านี้หญิงสาวก็หนีเขาไปไหนไม่รอดแล้ว

“ฉันดูถูกก็ดีกว่าดูผิดก็แล้วกัน!” เขาดึงร่างบางเข้ามาใกล้มากขึ้น

“ปล่อยฉันนะคุณโจซิส ไม่งั้นฉันจะตะโกนให้คนช่วย” เธอขู่เขากลับบ้าง แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะกลัว แต่กลับกระตุกยิ้มอย่างเหี้ยมๆ

“ก็เอาสิตะโกนได้เลย ดูสิว่าจะมีใครมาช่วยเธอ! ฉันไม่เห็นจะมีบ้านคนเลยสักหลัง มีแต่พุ่มไม้ใบหญ้ารกร้างทั้งนั้น ตะโกนสิ! ตะโกนเลย!” กรามแกร่งทั้งสองข้างนูนขึ้นเป็นสัน ใบหน้าคมอยู่ห่างจากใบหน้าเนียนไม่ถึงคืบ หัวใจของการต์รวีเต้นถี่และแรงมากขึ้นกว่าเมื่อครู่เกือบเท่าตัว ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในหัวใจของหญิงสาวอีกครั้ง เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ทำได้ทุกอย่างอย่างที่เขาพูดแน่ๆ

“คุณมันบ้า! ชั่วร้ายที่สุด! เนี่ยนะเหรอสุภาพบุรุษ คุณมันก็แค่ผู้ชายที่ชอบรังแกผู้หญิงนั่นแหละ!”

“เธอด่าฉันงั้นเหรอ!”

“ใช่! ที่ฉันด่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำ คุณมัน...อุ๊บ!” ริมฝีปากบางยังสบถคำพูดออกมาไม่หมด ก็ต้องนิ่งเงียบไปเพราะริมฝีปากหนานุ่มกระแทกลงมาปิดอย่างแรง

ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ หัวใจดวงน้อยแทบจะหยุดเต้นด้วยความคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าทำกับเธอแบบนี้ แม้สัมผัสนั้นจะรุนแรงและสร้างความเจ็บให้กับเธอ แต่ก็ถือว่าเป็นสัมผัสที่แปลกใหม่ของหญิงสาว ร่างบางหยุดนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก ครู่ต่อมาจึงตั้งสติได้และสะบัดหน้าหนี

“จำเอาไว้นะว่าอย่ามาปากดีใส่ฉันอีก!” โจซิสคำรามในลำคอและมองรอยเลือดซิบๆ ที่มุมปากเรียวอย่างสะใจ

“คุณมัน...เลว! เลวที่สุด! ฉันไม่เคยเห็นใครเลวเท่าคุณมาก่อนเลย! ฉันเกลียดคุณ!” การต์รวีสั่นระริกไปทั้งตัวด้วยความโกรธและความอายระคนกัน เขากล้าดียังไงถึงมาขโมยจูบแรกในชีวิตที่เธอห่วงแหนเอาไว้ให้ผู้ชายที่เธอรักไป

“ฉันก็ไม่ต้องการให้เธอมารักฉันเหมือนกัน แล้วถ้าจะให้ดีก็เกลียดน้องชายของฉันด้วยนะ แล้วฉันก็ขอเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังไม่เลิกวุ่นวายกับนายวินอีก เธอได้เจ็บมากกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่!” หนุ่มลูกครึ่งเน้นเสียงเหี้ยมขู่ ก่อนจะผลักร่างบางไปชนกับประตูรถและมองด้วยแววตาเหยียดหยาม

การต์รวีหันมามองเขาด้วยแววตาดุดันที่มีน้ำตาเอ่อคลออยู่เต็มเบ้าตา มือเรียวกำแน่นด้วยความโกรธแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ ก่อนจะรีบเปิดประตูก้าวลงมาอย่างรวดเร็ว แล้วรีบวิ่งออกไปที่ปากซอย

โจซิสหรี่ดวงตาคมมองตามหลังร่างบางผ่านกระจกรถไปจนอีกฝ่ายก้าวขึ้นรถแท็กซี่แล้วแล่นออกไป มือหนากำพวงมาลัยรถแน่น เมื่อครู่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องใช้วิธีการแบบนั้นสั่งสอนผู้หญิงคนนั้นด้วย ทั้งๆ ที่เขาบอกตัวเองว่ารู้สึกขยะแขยงผู้หญิงแบบนี้มาก นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? ชายหนุ่มตบมือลงบนพวงมาลัยรถเพื่อระบายอารมณ์โมโหตัวเอง ฟันกรามขบเข้าหากันดังกรอด ก่อนจะเคลื่อนรถกลับออกไปจากซอยเปลี่ยวด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิดอย่างมาก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel