ตอนที่ 5 เวรหรือกรรม
การต์รวีกลับมาถึงคอนโดก่อนเที่ยงคืนเพียง 20 นาทีเท่านั้นเอง เพราะโดนผู้จัดการสาวเรียกไปเค้นสอบถามความจริงเรื่องที่โจซิสพูดใส่ร้ายเธอเอาไว้ว่าเป็นผู้หญิงขายบริการ กว่าผู้จัดการสาวจะเชื่อเธอก็เล่นเอาอ่อนใจไปเหมือนกัน แถมตอนลงจากรถแท็กซี่ที่หน้าคอนโดฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมาอย่างหนักจนเปียกปอนไปหมดทั้งตัว ยิ่งคิดหญิงสาวก็ยิ่งแค้นใจผู้ชายปากสุนัขอย่างโจซิสยิ่งนัก
“ซวย วันนี้มันเป็นวันซวยของฉันจริงๆ ไม่มีวันไหนจะเฮงซวยเท่ากับวันนี้อีกแล้ว ให้ตายสิ!” ริมฝีปากบางสีชมพูบ่นพึมพำ พร้อมๆ กับที่มือเรียวกำลังสาละวนอยู่กับการถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกาย เพราะไม่อยากเป็นไข้หวัดหรือปอดบวมตาย จากนั้นก็หยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาพันกายเอาไว้ก่อนจะสาวเท้าตรงไปยังห้องน้ำ
ยี่สิบนาทีต่อมาร่างบางในชุดกระโจมอกผ้าขนหนูก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำ ในขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายก็ดังขึ้น หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหยิบขึ้นมาก่อนจะยิ้มและกดรับสาย
“ว่าไงจ๊ะวิน?” การต์รวีทรุดนั่งลงบนเตียงกว้างพร้อมกับกรอกเสียงใสลงไป
“วินขอโทษนะที่โทรมารบกวนดึกๆ แบบนี้ แต่วินเป็นห่วงรวีน่ะก็เลยจะโทรมาถามข่าวคราวดู”
“รวีเพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี้เองจ้ะ ยังไม่ได้นอนหรอกจ้ะ”
“แล้วเป็นไงบ้างงานสาวเสิร์ฟน่ะทำได้ไหม?” น้ำเสียงนั้นแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่ออีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“ทำได้สบายมาก งานไม่นักหนาอะไร สนุกดีด้วย” หญิงสาวตอบกลับแล้วก็พานให้หวนกลับไปคิดถึงผู้ชายอีกคนที่สร้างแต่ความเดือดร้อนเสียหายให้กับเธอ ริมฝีปากบางจึงเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความโกรธเกลียด
“ทำได้ก็ดีแล้ว วินจะได้หายห่วงเพราะคงอีกสัก 4 วันนั่นแหละกว่าวินจะได้กลับเมืองไทย แล้วจะซื้อน้ำหอมไปฝากนะ เขาบอกว่าน้ำหอมเมืองผู้ดีน่ะหอมที่สุดในโลก”
“ขอบคุณวินมากนะที่มีใจนึกถึงรวี แต่อย่าเสียเงินเสียทองเพราะรวีอีกเลย” น้ำเสียงท่อนท้ายของการต์รวีแผ่วลง ทำให้คนต้นเสียงขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัยและเป็นห่วง
“รวีมีอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงแปลกๆ ไปนะ หรือว่ามีใครมาทำอะไร? บอกวินมาเดี๋ยววินจัดการให้เอง” น้ำเสียงของวินเชลล์เข้มขึ้นเมื่อนึกไปว่าพี่ชายจอมบงการ ที่ชอบเข้ามาบงการชีวิตของเขาอยู่เสมอๆ นั้นอาจจะเข้าไปวุ่นวายกับเพื่อนสาวของตนเอง
“เปล่าหรอก ไม่มีใครทำอะไรรวีหรอก พอดีรวีกำลังจะโทรไปหาวินเรื่องคอนโดอยู่พอดี คือว่าที่ภัตตาคารเขามีห้องเช่าให้พนักงานอยู่ฟรีๆ รวีก็เลยว่าจะคืนห้องให้วินน่ะ แล้วก็จะย้ายไปอยู่ที่ห้องเช่าของทางภัตตาคารเขา มันสะดวกสำหรับรวีมาก” การต์รวีสร้างเรื่องห้องเช่าขึ้นมาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตอบคำถามของเพื่อนหนุ่ม ซึ่งอีกฝ่ายก็นิ่งเงียบไปสักพักแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“ตามใจรวีก็แล้วกัน แต่ถ้ามันอยู่ไม่สบายก็กลับมาที่คอนโดนะ กุญแจห้องรวีเก็บเอาไว้เลยเผื่อจะย้ายกลับมาตอนไหน”
“จ้ะ ขอบคุณในความมีน้ำใจของวินจริงๆ” หญิงสาวซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ ก่อนจะจามใส่โทรศัพท์มือถือของตนเอง
“รวีไม่สบายหรือเปล่า?” วินเชลล์ถามขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงจามของอีกฝ่าย
“พอดีรวีโดนฝนที่หน้าคอนโดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก รวีเป็นคนหัวแข็งไม่เป็นอะไรกับใครง่ายๆ หรอกนะ” การต์รวีตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
“ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ อย่าหักโหมงานมากจนไม่ได้พักผ่อนล่ะ เดี๋ยวเงินที่หามาได้มันจะไม่คุ้มกับค่าหมอ”
“จ้า ขอบคุณนะจ๊ะที่เป็นห่วง”
“ครับผม งั้นแค่นี้นะนอนหลับฝันดีล่ะ” คนต้นสายอวยพรพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง
“เช่นกันนะจ๊ะ หวัดดีจ้ะ” พูดจบนิ้วเรียวก็กดปุ่มวางสายลงพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ พรุ่งนี้เธอมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องทำ โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์บริษัทของเธอหยุดงานพอดี สิ่งแรกที่เธอต้องทำก็คือเก็บเสื้อผ้าออกไปจากที่นี่ ต่อไปก็ต้องหาห้องเช่าที่ราคาถูกๆ เพราะถ้าขืนกลับไปบ้านผู้เป็นย่าก็ต้องด่าเธอจนต้องกลับออกมาอีกอย่างแน่นอน
“เฮ้อ...” การต์รวีถอนใจให้กับความอาภัพของชีวิต ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหัวเตียง แล้วลุกขึ้นเพื่อจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน แต่ความรู้สึกตึงๆ ที่ศีรษะก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นกุมที่ขมับ
“สงสัยต้องรีบกินยา ช่วงนี้เราจะป่วยไม่ได้เด็ดขาดใกล้ถึงกำหนดจ่ายค่างวดให้กับยัยคุณนายสมลิ้มจอมงกนั่นแล้ว” หญิงสาวพึมพำบอกตัวเองก่อนจะถอนใจออกมายาวๆ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานยาแก้ปวดแล้วก็เข้านอน
โจซิสนั่งหน้าเครียดตลอดการประชุมในช่วงบ่าย สาเหตุก็เนื่องมาจากลูกน้องโทรมารายงานว่าการต์รวียังไม่มีทีท่าว่าจะย้ายออกไปจากคอนโดชุดของน้องชายเขาแม้แต่ก้าวเดียว แบบนี้มันก็เท่ากับว่าหญิงสาวต้องการท้าทายเขาโดยตรง และคนอย่างเขาก็ไม่ยอมพลาดโอกาสแบบนี้ไปเสียด้วยสิ ดังนั้นพอการประชุมเสร็จสิ้นลง เขาก็ตรงไปยังคอนโดมิเนียมหรูของน้องชายทันที
และเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ร่างสูงก็มาปรากฏกายที่หน้าห้องชุดของวินเชลล์ แววตาสีน้ำเงินเข้มลุกวาวราวกับเปลวไฟ
“ตั้งแต่เช้าเธอยังไม่ออกไปไหนเลยครับ” ฝ่ายลูกน้องรายงานอย่างกระตือรือร้น
“ผู้หญิงคนนี้ดื้อด้านกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก แต่ก็ไม่มีอะไรจะดื้อด้านกับเงินได้หรอก เดี๋ยวพอเห็นเงินก็จะรีบวิ่งแจ้นออกไปจากห้องแทบไม่ทัน” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกระตุกวูบ เขาน่าจะคิดออกตั้งนานแล้วว่าควรจะให้เงินหญิงสาวไปสักก้อนจะได้ไม่ต้องมามัวเสียเวลาอยู่แบบนี้ มุมปากรูปกระจับยกขึ้นนิดหนึ่งอย่างเย้ยๆ ก่อนจะหันมาทางลูกน้องแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเคาะเรียกคนที่อยู่ด้านใน
เสียงเคาะประตูถี่ยิบจนดังลั่นห้องทำให้ร่างบางที่นอนเหงื่อซึมหน้าผากอยู่นั้น ค่อยๆ เผยอเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้น ริมฝีปากบางซีดจนไม่มีเลือดฝาด มือเรียวถูกยกขึ้นมากุมที่ขมับเพราะรู้สึกหนักไปทั้งศีรษะ พอจะพยุงตัวลุกขึ้นก็เหมือนกับคนไร้เรี่ยวแรง จึงต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ทว่าเสียงเคาะที่หน้าห้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร่างบางต้องกัดฟันฝืนสังขารลุกขึ้นเพื่อจะไปเปิดประตู
และเมื่อประตูห้องเปิดออกอาการปวดศีรษะของการต์รวีก็แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเจอกับใบหน้าคมที่บึ้งตึงดุดันกับสายตาที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของโจซิส ความโกรธที่เก็บสะสมมาเมื่อคืนก็ปะทุขึ้นทันที เขาทำให้เธอเกือบจะโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มงานก็เพราะปากชั่วๆ ของเขา ยิ่งคิดแล้วยิ่งอยากจะหาไม้หน้าสามมาฟาดกบาลเขาเสียนัก
“มาทำไมอีก? ฉันกำลังจะเก็บข้าวของย้ายออกไปอยู่แล้ว ไม่ต้องมาบ่อยนักหรอก บอกตรงๆ ว่าเหม็นขี้หน้า!” หญิงสาวเท้าเอวอย่างโมโหโดยลืมตัวไปว่าตนเองนั้นมีเพียงชุดนอนยาวแค่เข่าปิดบังร่างกายอยู่แค่ตัวเดียว ส่วนด้านในนั้นไม่มีอะไรเลย
โจซิสมองร่างบางตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก่อนจะกัดกรามแน่น เมื่อคืนเขาก็เห็นเธอใส่ชุดกี่เพ้าที่สั้นจู๋ เผยขาขาวเนียน พอมาตอนบ่ายของอีกวันก็เจอในชุดนอนบางเบาจนเห็นเรือนร่างอรชรรำไรๆ และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันทีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการจะยั่วยวนเขาเหมือนกับที่ทำกับน้องชายของเขา คิดแล้วก็อยากจะจับหญิงสาวตรงหน้าโยนออกไปให้พ้นหูพ้นตาโดยไว
“เธอแน่ใจเหรอที่พูดน่ะ คนที่จะรีบย้ายออกไปมันก็ต้องไปตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ใช่รอจนตะวันจะพลบค่ำแบบนี้”
คำพูดของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวอ้าปากค้างก่อนจะหันไปมองนาฬิกาที่ติดอยู่ที่ข้างผนังห้อง ซึ่งมันบอกเวลาบ่ายสองโมงแล้ว ริมฝีปากบางเม้มนิ่ง นี่เธอนอนยาวมาขนาดนี้เลยหรือนี่ เมื่อเช้ามืดเธอก็ตื่นมาเที่ยวหนึ่งแล้ว แต่เพราะปวดหัวมากจึงกินยาแก้ปวดเข้าไปใหม่และเผลอหลับไป คงเป็นเพราะฤทธิ์จากการตากฝนเมื่อคืนแน่ๆ ตอนนี้เนื้อตัวของเธอก็ยังร้อนวูบวาบอยู่เลย
“เอ่อ...ฉันขอโทษค่ะ ฉันตื่นสายไปหน่อย เดี๋ยวฉันจะรีบเก็บของแล้วย้ายออกไปจากที่นี่” เธอหันมาบอกเขา และทำท่าจะปิดประตูเพื่อยุติการสนทนา
“เดี๋ยว!” แต่อีกฝ่ายก็ใช้มือผลักมันออก แล้วหยิบเช็คเงินสดในกระเป๋าเสื้อมาส่งให้หญิงสาว “สิ่งนี้คงทำให้เธอออกไปจากที่นี่เร็วขึ้น และไม่กลับมาวุ่นวายกับน้องชายของฉันอีก”
การต์รวีขมวดคิ้วอย่างงุนงงพร้อมกับรับแผ่นกระดาษแผ่นเล็กมาจากอีกฝ่าย ก่อนจะไล้สายตาไปตามตัวหนังสือ แล้วริมฝีปากบางก็เม้มแน่นขึ้น ใบหน้าเนียนที่ซีดเซียวเงยขึ้นมองนักธุรกิจหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาชิงชัง เขาใช้เงินฟาดหัวเธอ ช่างสมกับเป็นนักธุรกิจจริงๆ แต่คนอย่างเธอไม่มีวันที่จะให้ใครมาดูถูกศักดิ์ศรีของเธอได้ เรียวปากบางจึงยิ้มออกน้อยๆ เหมือนกับว่าพอใจกับตัวเลขในเช็คนั้นมาก
“สำหรับฉันแล้วมันเป็นเงินก้อนโตเลยนะคะเนี่ย คุณนี่ลงทุนน่าดูเลยนะคะ เงินตั้งล้านหนึ่งเชียวนะคะ”
“ถ้ามันทำให้เธอออกไปจากชีวิตของน้องชายฉันได้ ฉันยอมจ่าย” โจซิสเน้นเสียงตอบอย่างหนักแน่น
“ฮึ ฮึ น่าภูมิใจแทนวินเชลล์จริงๆ เลยนะคะ” การต์รวีหัวเราะในลำคอ ก่อนจะชูแผ่นเช็คขึ้นมาในระดับสายตาของตนเอง แล้วฉีกมันออกเป็นเสี้ยว ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง และสิ่งที่ทุกคนไม่ขาดคิดก็เกิดขึ้น หญิงสาวปาเศษกระดาษจากแผ่นเช็คใส่ใบหน้าคมเต็มแรง
“จำเอาไว้นะคุณโจซิส เงินของคุณมันซื้อความสัมพันธ์ที่ดีของฉันกับวินเชลล์ไม่ได้หรอก เงินของคุณมันไม่มีค่าสำหรับฉันเลยจำเอาไว้!” หญิงสาวตะคอกใส่อย่างโมโหจัด ก่อนจะดึงประตูกระแทกปิด แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ใส่กลอน ร่างสูงก็ใช้กำลังผลักบานประตูเข้ามาอย่างแรง จนร่างบางเซถอยหลังกรูดอย่างไม่เป็นท่า จากนั้นเขาก็ใช้มือผลักมันปิดเสียงดังปัง
โจซิสขบกรามแน่นพร้อมกับพาร่างสูงก้าวเข้าไปหากระต่ายน้อยตรงหน้าด้วยความโกรธ ใบหน้าคมที่เรียบเฉยเมื่อครู่แดงก่ำด้วยความโกรธ เกิดมาในชีวิตเขาไม่เคยถูกใครหยามหน้าได้มากขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้กล้ามากเกินไปแล้วที่มาทำกับเขาอย่างนี้ เจ้าหล่อนจะต้องได้รับการสั่งสอนอย่างสาสม
“มันจะมากไปแล้วนะ กล้าหยามหน้าคนอย่างฉันขนาดนี้เชียวเหรอ!” น้ำเสียงแข็งกระด้างเน้นลอดไรฟันอย่างน่ากลัว ร่างบางถอยกรูดเนื้อตัวเริ่มร้อนๆ หนาวๆ สลับกันไปมาจนมัวไปหมด ภาพเบื้องหน้าเริ่มเห็นรางๆ เลือนๆ อาการปวดตุบๆ ที่ศีรษะรุนแรงขึ้น
“คุณดูถูกฉันก่อนนี่ ถ้าคุณโกรธนั่นก็แปลว่าคนที่คุณหยามเกียรติของเขาก็โกรธเหมือนกับคุณนั่นแหละ!” การต์รวีฝืนยืดตัวขึ้น พยายามบังคับตัวเองให้ยืนนิ่ง ทั้งๆ ที่ขาเริ่มสั่นและอ่อนแรงลงทุกขณะ
“ผู้หญิงอย่างเธอมีเกียรติมากขนาดที่ฉันต้องให้เกียรติด้วยเหรอ ฮึ! ฮึ!” เขาหัวเราะในลำคอพร้อมกับย่างสามขุมเข้าไปหา ส่วนอีกฝ่ายก็ถอยหนีอย่างซวนเซเหมือนกับกระต่ายน้อยที่กำลังบาดเจ็บ
“คนทุกคนย่อมมีเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองทั้งนั่นแหละ คุณอย่าคิดว่าคุณเป็นคนรวยแล้วจะเหยียบหัวคนอื่นได้ง่ายๆ นะ” น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มอ่อยลงเรื่อยๆ มือเรียวยกขึ้นกุมขมับเมื่อรู้สึกว่าห้องเริ่มโคลงเคลงไปมา
“ถ้างั้นฉันก็ขอดูเกียรติของตัวเธอหน่อยแล้วกัน!” เสียงตะคอกดังขึ้น พร้อมๆ กับที่ร่างสูงสาวเท้ายาวๆ เข้าไปกระชากร่างบางเข้าหาตัวเอง แต่แล้วคิ้วหนาดกดำก็ต้องขมวดมุ่นเมื่อสัมผัสกับผิวเนื้อขาวที่ร้อนผ่าวราวกับไฟ
“เธอตัวร้อนนี่ ไม่สบายหรือเปล่า?” น้ำเสียงนั้นอ่อนลงไปกว่าครึ่งแต่ก็ยังแข็งกระด้าง
“เรื่องของฉัน! ปล่อย! ฉันจะรีบไปเก็บของ ส่วนคุณก็เชิญออกไปรอข้างนอก!” เธอออกปากไล่ด้วยริมฝีปากที่สั่นระริกพร้อมกับสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากวงแขนแกร่ง แต่เรี่ยวแรงเธอมันไม่มีเหลืออีกแล้ว
“อวดเก่งนักนะ!” เขาเน้นเสียงเข้มและก้มลงมองใบหน้าซีดที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ปล่อย! ปล่อยฉัน! ปะ....” คำสุดท้ายยังหลุดออกมาจากริมฝีปากบางไม่หมด ร่างบางก็อ่อนระทวยคอพับอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มไปแล้ว
“การต์รวี! การต์รวี!” โจซิสเขย่าเรียกเบาๆ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากอีกฝ่าย เขาจึงช้อนร่างบางอุ้มไปวางลงบนเตียงแล้วยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากมน
“บ้าฉิบตัวร้อนขนาดนี้ยังกล้ามายืนเถียงกับเราอีก บ้าแน่ๆ” เขาสบถอย่างหงุดหงิด แล้วหันไปมองขวดยาที่โต๊ะหัวเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดู แต่ปรากฏว่าเป็นขวดยาที่ว่างเปล่า ชายหนุ่มจึงตวัดสายตามามองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง และตะโกนเรียกลูกน้องที่ยืนรออยู่ด้านนอก ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบเข้ามาทันทีเมื่อสิ้นเสียงเรียก
“ออกไปซื้อยาลดไข้ ยาแก้ไข้หวัดมาให้ที เร็วๆ ด้วย” ชายหนุ่มออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง
“เอ่อ...ซื้อให้ใครครับ” วิสุทธิ์ถามอย่างงุนงง ก่อนจะมองไปที่หญิงสาวบนเตียงอย่างสงสัย
“ไม่ใช่หน้าที่ของนายที่จะต้องถาม ทำตามอย่างเดียวก็พอ ไปได้แล้ว!” โจซิสหันมามองหน้าลูกน้องด้วยสายตาดุๆ ทำให้อีกฝ่ายรีบเดินออกไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ถึงเขาจะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหนแต่ก็คงปล่อยให้ตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ เขาจะยืดเวลาให้เจ้าหล่อนอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักวันหนึ่ง เพราะยังไงน้องชายของเขาก็ยังไม่กลับมาพรุ่งนี้แน่
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองร่างบางนิ่งแล้วก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดว่าน้องชายของตนเองหลงใหลได้ปลื้มกับเรือนร่างบอบบางนี้ ร่างสูงจึงหมุนตัวเตรียมที่จะก้าวเดินออกไปจากห้องนอน แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นทำให้ต้องหยุดชะงักลง มือใหญ่จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบมันขึ้นมากดรับสายด้วยสีหน้าที่ขึงขัง
“ว่าไงทิพ?” หนุ่มลูกครึ่งถามออกไปสั้นๆ ห้วนๆ เหมือนกับเบื่อๆ เซ็งๆ
“คุณลืมนัดของเราแล้วเหรอคะ คุณสัญญากับทิพไว้เมื่อคืนไงคะว่าจะไปดูรถคันใหม่ของทิพด้วยกัน นี่ทิพรอคุณเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะคะ” เสียงอีกฝ่ายทวงติ่งอย่างอ้อนๆ
“ผมขอโทษ ผมติดธุระน่ะ เอาไว้วันหลังได้ไหม? หรือถ้าไม่ได้คุณก็โทรไปชวนเพื่อนคุณไปเป็นเพื่อนก็แล้วกัน” คำพูดที่เหมือนไม่ใส่ใจของชายหนุ่มทำให้คนฟังถึงกับเม้มปากแน่นด้วยความโมโหระคนน้อยใจ แต่ก็ยังฝืนตอบกลับไป
“งั้นเอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะ”
“อืม...” โจซิสรับคำในลำคอ ก่อนจะกดวางสาย อันที่จริงเขากับทิพย์สุดาก็รู้จักคุ้นเคยกันมานานจนสามารถเข้าออกบ้านของกันและกันได้อย่างสนิทสนม แต่ในความคิดของเขาทิพย์สุดาคือเพื่อนทางธุรกิจที่ดีและยอดเยี่ยมมาก เธอเป็นผู้หญิงเก่งที่หาได้ยาก ซึ่งทั้งพ่อแม่ของเขาก็ชอบหญิงสาวอยู่ไม่น้อยทีเดียว แถมมีทีท่าว่าจะให้เขาแต่งงานกับทิพย์สุดาเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาไม่ออกอาการว่าชอบอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งเท่านั้นเอง
และนั่นก็เป็นเพราะว่าผู้หญิงอย่างทิพย์สุดาไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาต้องการ แล้วผู้หญิงที่เขาต้องการล่ะ มันคือแบบไหนกัน? ชายหนุ่มตั้งคำถามขึ้นในใจ ก่อนจะหันไปมองที่เตียงกว้างอีกครั้ง แล้วก็ต้องนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจและรีบเดินออกไปจากห้องนอนของการต์รวีด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง
ความรู้สึกเย็นวาบและเหมือนกับมีอะไรมายุ่มย่ามบนเนื้อตัวของตนเอง ทำให้การต์รวีต้องฝืนเปิดเปลือกตา เธอเห็นเงารางๆ ของใครคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงหน้า ดวงตากลมจึงรีบกะพริบเพื่อปรับภาพให้เด่นชัดขึ้น ก่อนจะอุทานออกมาเบาๆ
“ป้า...”
“ค่ะ ป้าเองค่ะ พอดีคุณโจซิสเขาวานป้าให้มาเช็ดตัวให้หนูรวีน่ะ” หญิงสูงวัยคลี่ยิ้มกว้างให้หญิงสาว ก่อนจะหันไปเอาผ้าชุบน้ำพอหมาดๆ แล้วมาเช็ดที่แขนทั้งสองข้าง แล้วเอ่ยขึ้นต่อ
“ตอนที่ป้าเข้ามาน่ะนะ ตัวหนูร้อนฉ่าเลย แต่ตอนนี้ทุเลาลงมากแล้วล่ะ เนี่ยคุณโจซิสสั่งคนให้ไปซื้อมาให้เลยนะ” เธอวางผ้าลงแล้วหันมาหยิบยาลดไข้วางลงในมือของหญิงสาว
“เดี๋ยวทานยาก่อนนะแล้วค่อยนอนพักต่อ”
“หนูไม่นอนแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณป้ามากนะคะ หนูดีขึ้นมากแล้ว ป้ากลับไปทำงานของป้าต่อเถอะค่ะ” การต์รวีฝืนยิ้มแห้งๆ ให้ ก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งอิงหัวเตียง ในมือยังคงกำยาลดไข้เอาไว้
“แต่ว่าคุณโจซิสเขาจ้างป้าให้มาดูแลหนูนะ” อีกฝ่ายค้านเสียงอ่อยๆ
“หนูไม่เป็นแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ไม่ใช่หรือคะ เขาไม่รู้หรอกค่ะ ป้าไปเถอะค่ะ” เธอยิ้มให้อีกครั้ง แม่บ้านสูงวัยจึงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
“งั้นป้าไปนะคะ นี่ค่ะน้ำ” เธอบอกพร้อมกับหยิบแก้วน้ำมาส่งให้หญิงสาว แล้วลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณนะคะป้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ป้าไปนะคะ” พูดจบหญิงสูงวัยก็เดินออกไป การต์รวีมองตามหลังไปจนลับสายตา ก่อนจะหันมาจัดการกับยาในมือ จากนั้นจึงค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นยืน อาการมึนเวียนหายไปแล้ว เหลือแต่อาการหนักศีรษะกับอาการร้อนๆ หนาวๆ เท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคมากในการที่เธอจะพาตัวเองออกไปจากคอนโดแห่งนี้ ไปให้พ้นจากผู้ชายใจยักษ์ใจมารอย่างนายโจซิส หญิงสาวกัดฟันเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาชุดหนึ่งแล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไป
สิบนาทีต่อมาก็เดินออกมาในชุดเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงยีนสีน้ำเงิน แล้วเดินไปเก็บเสื้อผ้าในตู้ยัดใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว แต่มือเรียวก็ชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อมีเสียงฝีเท้าของคนเดินเข้ามาในห้องนอน
การต์รวีรีบหันไปมองทันที ก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ดวงหน้ารูปไข่เชิดขึ้นน้อยๆ “ฉันกำลังเก็บข้าวของอยู่ ไม่ต้องกลัวหรอกว่าฉันจะไม่ไป!” หญิงสาวกระแทกเสียงใส่พร้อมกับค้อนให้ ก่อนจะก้มลงไปรูดซิบกระเป๋าแล้วหยิบขึ้นมาถือเอาไว้
“ฉันจะให้เธออยู่ต่ออีกสักวันหนึ่ง รอให้อาการของเธอดีขึ้นเสียก่อนแล้วค่อยไป เดี๋ยวจะไปนอนตายกลางทางมันจะเป็นบาปกับฉันเสียเปล่าๆ” มือหนาชักออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปลี่ยนมาเป็นกอดไว้ที่อกแทน สายตาคมจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวของอีกฝ่ายนิ่ง
“ไม่จำเป็น ไม่ว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปอยู่ดี ฉันไปตอนนี้จะดีกว่า ฉันค่อยยังชั่วแล้วคงไม่ไปนอนตายกลางถนนหรอก อ้อ...แล้วก็ขอบคุณมากที่กรุณาหายามาให้ ชาติหน้าฉันจะตอบแทนให้ ส่วนในชาตินี้ฉันขออย่าได้เจอะได้เจอกับคุณอีกเป็นพอ” เธอสะบัดเสียงใส่ก่อนจะก้าวออกไปจากห้องนอน โดยมีร่างสูงเดินตามหลังมา
“พอฟื้นขึ้นมาได้ก็ปากดีเชียวนะ ถ้าเธออยากจะไปฉันก็ไม่ขัดอยู่แล้ว เดี๋ยวฉันจะให้ลูกน้องไปส่ง เพื่อเห็นแก่หน้าของนายวิน ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วด้วย ฉันไม่อยากมานั่งอ่านข่าวหน้าหนึ่งรอบเช้าว่าพบศพหญิงสาวถูกฆ่าข่มขืนหมกป่า” คำพูดรวนๆ ของหนุ่มลูกครึ่งทำให้ร่างบางหยุดเดิน แล้วหันมาถลึงตาใส่อย่างโมโห
“ขอบคุณในความกรุณา แต่ฉันไม่ต้องการ!” พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้ากลับแล้วรีบสาวเท้าไปที่ประตูห้องอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังช้ากว่าร่างสูงที่เดินมาหยุดยืนขวางหน้าเธอเอาไว้
“อย่ามาอวดเก่งกับฉัน! ฉันสั่งยังไงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไป! ถ้าเธอไม่ไปดีๆ ฉันจะใช้เชือกมาผูกคอเธอลากออกไป!” เขาส่งสายตาดุดันมาให้ก่อนจะลากกึ่งจูงการต์รวีออกจากห้อง โดยไม่ฟังเสียงค้านหรือท่าทางขัดขืนของอีกฝ่าย และด้วยอาการจากพิษไข้ทำให้หญิงสาวไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนเขา จึงต้องยอมทำตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างไม่เต็มใจ