ตอนที่ 12 กินข้าวทั้งน้ำตา
"พีทไปช่วยมันทำไม น่าปล่อยให้มันตายกลางลมกลางแดดไปซะ!"
"เราทำแบบนั้นไม่ได้ครับคุณแม่ ถ้าเกิดแม่นี่เป็นอะไรไปฝั่งเราก็มีแต่เสียกับเสีย"
"โอ้ย! แม่อยากจะรู้จริงๆที่ลูกไม่กล้าปล่อยให้มันตายเพราะสงสารหรือเพราะยังรักมันอยู่!"
เสียงทะเลาะแจวๆกันปลุกให้หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น ความรู้สึกแรกที่รับรู้ได้ก็คือแสบร้อนไปทั้งตัวเนื่องจากโดนแดดเผา ก่อนหน้านี้ยังอยู่ที่สวนหน้าบ้านอยู่เลยแล้วทำไมถึงเข้ามาอยู่ในบ้านได้ล่ะ
"แม่ฟังไว้นะครับ ที่ผมช่วยผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เพราะรักหรือสงสาร แต่เป็นเพราะผมรู้สึกสมเพชเวทนาต่างหาก!"
"ก็ดี ถ้าลูกไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้หญิงคนนั้นแล้วแม่ก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย คนต่ำๆแบบนั้นแม่ไม่เอามาเป็นลูกสะใภ้หรอก!"
กึก~
หญิงสาวรีบพลิกตัวตะแคงหันหลังพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมาจากหางตา เธอไม่ได้ตั้งใจตื่นขึ้นมาได้ยินเรื่องที่สองแม่ลูกกำลังพูด ผิดหรือที่เกิดมาจน หากเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้หรอก
เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากจะขอหลับต่ออีกสักสองชั่วโมง
ตึก~ตึก~
เสียงฝีเท้าเดินมาจากทางด้านหลัง รมิดารีบปาดน้ำตาออกทำเหมือนกับว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้ร้องไห้
"ไง ยังไม่ตายใช่ไหม"
"..." หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
"ฉันรู้ว่าเธอฟื้นแล้ว"
"คุณพีทมีอะไรหรอคะ" หญิงสาวหันมาสบตา
ดวงตาแดงก่ำไม่สามารถหลบซ่อนคราบน้ำตาไว้ได้ ทำให้ชายหนุ่มพอจับใจความได้ว่าที่รมิดาร้องไห้เพราะได้ยินเรื่องที่เขาพูดกับคุณแม่เมื่อสักครู่
"ฉันก็แค่จะเข้ามาดูอาการ...คนสำออย"
"ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่เป็นลม"
"เล่นละครเก่งนิ"
"ฉันเป็นลมจริงๆไม่ได้เล่นละครค่ะ" รมิดาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนังห้อง ตายจริง! นี่เธอยังไม่ได้กินยาหลังอาหารนิ "อะ...เอ่อ...ฉันไปกินข้าวได้หรือยังคะ"
"เธอเพิ่งทำงานไปสามชั่วโมงเอง ร้องเรียกหาข้าวหาปลาแล้วหรอ"
"เมื่อเช้าฉันไม่ได้ทานข้าวมาค่ะ"
"เอาสิ ในครัวน่าจะมีของกินเหลืออยู่บ้าง เพราะช่วงเที่ยงแม่บ้านเพิ่งทานไป"
รมิดามองใบหน้าหล่อเหลาเชิงตัดพ้อ เธอเป็นก็คน จะให้กินของเหลือเหมือนหมูเหมือนหมาได้ยังไง แต่ก็เอาเถอะ ต้องรีบทานข้าวเพราะจะได้รีบทานยา
คนใจร้าย...ทำได้แค่ตัดพ้อกับตัวเองในใจ
รมิดาตัดสินใจเดินลงมายังห้องครัวหลังบ้าน พยายามเดินเลี่ยงลงไปข้างบ้านเพราะไม่อยากประจันหน้ากับใคร ในที่สุดก็มาถึงครัวที่ตกแต่งสไตล์อิตาลีและยังมีครัวไทยเล็กๆอยู่ที่มุมห้อง เธอกำลังจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาของกินแต่ปรากฏว่ามีกุญแจล็อคเอาไว้
"อ่าว แล้วเราจะกินอะไรล่ะทีนี้" รมิดาพอนึกได้ว่าคนเดียวที่สามารถล็อคกุญแจตู้เย็นนั่นก็คือคนรับใช้ที่ชื่อฟ้า สงสัยคงหาเรื่องกลั่นแกล้งเธออีกแล้ว
โชคดีที่หางตาของรมิดาเหลือบไปเห็นไข่ไก่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ อย่างน้อยก็พอมีอาหารประทังชีวิต รมิดาจึงลงมือทำไข่เจียวทานเพราะเป็นเมนูง่ายๆ
คับที่อยู่ได้...คับใจอยู่ยาก เป็นอีกเรื่องที่ทำให้รมิดาเหนื่อยใจเพราะคนในบ้านไม่มีใครชอบเธอเลย ไม่รู้พรุ่งนี้จะโดนคนกลั่นแกล้งอะไรอีก ไม่มีทั้งที่พึ่งทางกายและที่พึ่งทางใจมีแค่ตัวของเธอเองเท่านั้นที่สามารถพึ่งตัวเองได้
"ไง ทำอะไรกิน"
"อุ้ย!" รมิดาตกใจจนเกือบทำทัพพีหล่น
"ขะ...ไข่เจียวค่ะ คุณพีททานด้วยกันไหมคะ"
"ไม่ล่ะ" สายตาของทีปกรเหลือบไปเห็นกุญแจคล้องตู้เย็น ใครมันบังอาจเอากุญแจมาล็อกตู้เย็นทั้งๆที่เขาไม่ได้สั่ง!
"วันนี้คุณพีทไม่ได้ทำงานหรอคะ"
"ถ้าทำฉันคงไม่มีเวลาว่างทั้งวันแบบนี้หรอก" ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา รมิดากำลังจัดแจงโต๊ะกับข้าวซึ่งเธอตักข้าวสวยมาสองจาน "ฉันบอกตอนไหนว่าจะกินด้วย!"
"ดาก็แค่..."
"อยากรำลึกความหลังในอดีตงั้นหรอ จะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้ฉันลบเรื่องราวทุกอย่างในอดีตหมดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องมารื้อฟื้น!"
"..." รมิดาไม่ตอบโต้อะไร เธอก้มหน้าลงต่ำก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งอย่างเงียบๆ ตรงข้ามกันคือข้าวอีกจานแต่ทว่าชายหนุ่มไม่ยอมกินด้วย "ดาขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้...เอ่อ...จะทำให้คุณโมโหได้ขนาดนี้"
"เรื่องแค่นี้งั้นหรอ! เธอรู้ไหมความทรงจำที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือความทรงจำที่มีเธออยู่ด้วย เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าฉันเกลียดอะไรอย่าพยายามรื้อฟื้นเป็นอันขาด!!"
"ดาขอโทษค่ะ..ดะ...ดาไม่รู้จริงๆ"
"และข้าวจานนี้ก็เหมือนกัน คราวหน้าคราวหลังอย่าสะเออะตักมาให้ฉันอีก!!"
เพล้ง!!!
รมิดาตกใจจนสะดุ้งเมื่อชายหนุ่มใช้มือปัดจานข้าวทิ้งจนตกแตกเศษจานกระเบื่องกระจัดกระจายเต็มพื้น เธอยังอยู่ในอาการตกใจเพราะไม่คิดว่าทีปกรจะทำถึงขนาดนี้ แค่ข้าวจานเดียวมันทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าได้ขนาดนี้เลยหรอ ความเสียใจส่งผลให้น้ำตาค่อยๆเอ่อคลอดวงตากลมโต
"ต่อไปถ้าเธอพยายามรำลึกความหลังอีกล่ะก็...ฉันไม่ทำแค่นี้แน่!!!"
"ฮึก...ฮื้อๆๆ~"
ทันทีที่หมอหนุ่มกระฟึดกระฟัดเดินออกไปรมิดาก็สะอื้นร่ำไห้อย่างหนัก ผิดเองที่พยายามรำลึกความหลังทั้งๆที่เขาเกลียดเธอเข้าไส้ ตอนนี้ไม่รู้รสชาติของไข่เจียวเลยด้วยซ้ำรับรู้ได้เพียงรสเค็มของน้ำตา รมิดาตักข้าวเข้าปากแต่สุดท้ายเธอก็กลืนไม่ลงเพราะวันนี้เพิ่งได้รู้ซึ้งกับคำว่า 'กินข้าวทั้งน้ำตา'
เกลียดเธอได้ แต่อย่าเกลียดอดีตที่เคยทำร่วมกันมาเลย เพราะมันคือความทรงจำที่สวยงามที่สุดในชีวิตของรมิดา