6 พูดตรงหรือเจ้าชู้ไม่เลือก
“ถ้าผมพูดความจริงคุณจะเชื่อไหมล่ะ”
“ถ้ามันคือความจริงจะต้องกังวลทำไมว่าฉันจะไม่เชื่อล่ะคะ”
“ผมเป็นเพื่อนของลูกชายเตียง 18 คุณก็น่าจะรู้ว่าลูกชายของคุณลุงไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง”
“ค่ะเขาส่งตัวแทนมาถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นทนาย มันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณรู้จักฉันตรงไหนคะ”
“เขาส่งรูปให้ผมดู ในรูปถ่ายมีคุณอยู่ในนั้นด้วย”
“พอคุณเจอที่ผับคุณก็เลยจำได้เหรอคะ ฉันว่าคุณไม่น่าจะจำได้นะเพราะวันนั้นฉันแต่งหน้าเข้มมาก”
“เวลาที่เรารู้สึกชอบใครสักคนไม่ว่าเขาจะแต่งตัวหรือแต่งหน้าเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหนแต่เราก็จะจำเขาได้”
“คุณคงไม่ชอบฉันตั้งแต่เห็นในรูปหรอกนะคะ”
“เห็นไหมล่ะ พอผมบอกความจริงไปคุณก็ไม่เชื่อ”
“ใครจะเชื่อกันล่ะคะ ไปหลอกเด็กเถอะค่ะ”
“ผมพูดจริงนะ ถึงคืนนั้นผมจะไม่เจอคุณที่ผับผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะมาหาคุณที่โรงพยาบาล แต่โชคดีที่เราเจอกันก่อน”
“คุณจะมาหาทำไมคะ”
“ก็ผมบอกไปแล้วไงว่าชอบคุณ” เขาบอกเธอเป็นครั้งที่สองซึ่งคนฟังไม่ได้เขินอายอย่างที่คิดแต่กลับมองเขาด้วยสีหน้าที่อ่านยากจนพีรกันต์กลัวว่าหญิงสาวจะโกรธ
“ฉันเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าคุณเป็นคนพูดตรงหรือเป็นคนเจ้าชู้กันแน่”
“ถ้าผมบอกว่าผมเป็นคนพูดตรงคุณก็คงไม่เชื่อง่ายๆ ใช่ไหมครับเนย”
“ค่ะ”
“แต่ผมมีทางพิสูจน์เรื่องนี้ได้นะ” พีรกันต์คิดว่าผู้หญิงคนนี้นอกจากหน้าตาจะสวยถูกใจแล้วยังฉลาดทันคน
“ยังไงคะ”
“เราลองคบกันไหมล่ะ คุณจะได้รู้ว่าผมพูดจริงหรือพูดเล่น”
รัญรวีเงียบเพราะไม่คิดมาก่อนว่าผู้ชายที่ตนเองเจอสามครั้งในสองวันจะพูดกับตนแบบนี้ แล้วสีหน้าของเขาก็ดูจริงจังมากจนเธอไม่กล้าถามว่าเขาล้อเล่นหรือเปล่า
“หมายถึงคบกับเป็นเพื่อนใช่ไหมคะ”
“ผมว่าคุณรู้นะว่าผมหมายถึงอะไร แต่ผมก็ไม่อยากจะเร่งรัดจนคุณรู้สึกอึดอัด”
“หรือคุณไม่อยากจะเป็นเพื่อนฉันล่ะคะคุณกันต์” รัญรวีก็อยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะมีลูกเล่นอะไรอีกไหม
“อยากสิ อย่างน้อยระหว่างผมกับคุณก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันอีกแล้ว เราก็คงได้เจอกันบ่อยขึ้น”
“บ่อยขึ้นเหรอคะ”
“ใช่สิเพื่อนกันก็ต้องเจอกันบ่อยๆ”
“คุณกันต์คงหมายถึงเวลาที่มาเยี่ยมคุณลุงเตียง 18 ใช่ไหมคะ”
“นั่นก็ใช่ แต่นอกเวลางานผมก็อยากเจอคุณบ้าง อย่างเช่นวันหยุดเสาร์อาทิตย์”
“พยาบาลไม่ได้หยุดทุกเสาร์อาทิตย์หรอกนะคะ เราจะเปลี่ยนกันหยุด”
พีรกันต์พยักหน้าเข้าใจเพราะเขาคลุกคลีอยู่ในโรงพยาบาลมานาน
“แล้วเนยหยุดวันไหนบ้าง บางทีถ้าเราหยุดตรงกันจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน”
“ดูเหมือนคุณจะว่างานนะคะ ฉันถามได้ไหมว่าทำงานอะไร”
“ลองเดาสิครับ”
“ฉันเดาไม่ออกหรอกค่ะ อาชีพบนโลกนี้มีเยอะแยะเต็มไปหมด ถ้าจะให้เดาจริงๆ ก็คงจะเป็นงานที่เป็นเจ้านายตัวเอง ทำกิจการของที่บ้าน ฟรีแลนซ์หรือไม่ก็กำลังตกงาน”
“คุณเก่งนะเดาถูกด้วย”
“ถูกข้อไหนล่ะคะฉันเดาไปตั้งหลายข้อ”
“ผมทำกิจการของที่บ้านครับ”
“ค่ะ” เธอไม่ถามต่อเพราะไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา
“คุณเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากบอกว่าหยุดอีกทีวันไหนใช่ไหมล่ะ”
“ฉันหยุดพรุ่งนี้กับมะรืนค่ะ” เพราะเขารู้ทันหญิงสาวจึงบอกไปตามความจริง
“อยากไปเที่ยวไหนไหมครับ”
“ไม่ค่ะ”
“ไม่กล้าไปไหนมาไหนกับผมสองคนเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ แค่หลายวันมานี้ฉันขึ้นเวรติดๆ กันหลายวันพอมีวันหยุดก็อยากจะนอนให้เต็มที่” รัญรวีปฏิเสธเพราะกลัวว่าถ้าได้เจอกันบ่อยๆ ตนเองจะแพ้ลูกตื๊อของเขา
“แต่คนเราก็ต้องกินข้าว ถ้าไม่อยากไปไหนไกลเรามากินข้าวร้านนี้ด้วยกันอีกก็ได้นะ พรุ่งนี้ผมเลี้ยงเอง”
“ฉันไม่รับปากนะคะ ถ้าคุณมาเยี่ยมคุณลุงเตียง 18 เสร็จก็ลองโทรถามดูนะคะถ้าตอนนั้นฉันยังไม่กินข้าวเราก็อาจได้เจอกันค่ะ แต่วันนี้ขอตัวก่อนนะคะ”
“คุณพักที่ไหน ใช่หอพักในโรงพยาบาลหรือเปล่า”
“ค่ะ”
“ผมเดินไปส่งนะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แถวนี้ฉันเดินมาหลายปีแล้ว”
“แต่ผมต้องกลับไปเอารถโรงพยาบาลอยู่แล้วนะ”
พีรกันต์เดินคู่มากับรัญรวีจนมาถึงลานจอดรถซึ่งตอนนี้เหลือรถเพียงไม่กี่คันเท่านั้น
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะครับเนย”
“เปลี่ยนใจเรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องคบกันกับเรื่องไปเที่ยวพรุ่งนี้”
“ไม่ค่ะ เราเพิ่งรู้จักกันและเพิ่งเป็นเพื่อนกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเองนะคุณกันต์”
“ผมก็ว่านานพอสมควรแล้วนะ”
“ค่ะนานมากเลยค่ะ ขอตัวนะคะ”
“เปลี่ยนใจก็โทรหาผมได้ตลอดนะ ผมแอดไลน์จากเบอร์โทรไปแล้วอย่าลืมรับแอดผมด้วยล่ะเนย”
รัญรวีหันมายิ้มก่อนจะเดินไปยังหอพักซึ่งอยู่ทางด้านหลังของโรงพยาบาล
หญิงสาวเดินเข้าออกบริเวณนี้มาสี่ปีกว่าแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะวันนี้มีคนเดินคุยด้วยตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลจนมาถึงลานจอดรถ ซึ่งเดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึงหอพัก
เธออยากเล่าเรื่องที่ได้เจอกับพีรกันต์และไปทานข้าวด้วยกันให้กับเพื่อนสนิทอย่างจริญญาฟังแต่ดูนาฬิกาแล้วก็เปลี่ยนใจเพราะเวลานี้เป็นเวลาที่บนวอร์ดน่าจะกำลังยุ่งกันอยู่ จึงได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงกว้าง
ความรู้สึกที่มีให้กับชายแปลกหน้าซึ่งบังเอิญเจอในผับมันเป็นอะไรที่อธิบายยาก การเจอกันในสถานที่อโครจรยามค่ำคืนแบบนั้นทำให้รัญรวีมอบสถานะให้เขาได้แค่เพื่อนถึงแม้ชายหนุ่มจะมีหน้าตาและรูปร่างตรงสเปกมากแค่ไหนก็ตาม
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำให้หญิงสาวออกจากภวังค์ความคิด
“ไม่ยุ่งเหรอจ๊ะถึงมีเวลาโทรหาเพื่อน”
“ยุ่งสิเนย แต่จุ๋มเคลียร์งานหมดแล้ว”
“มีเรื่องอะไรจะเม้าท์ใช่ไหมล่ะถึงโทรมาหาในเวลางานแบบนี้”
“แน่นอนสิเรื่องสำคัญด้วยนะ”
“ชักอยากจะรู้แล้วว่าเรื่องอะไรรับเล่ามาเลย”
“คนที่เล่าคือเนยไม่ใช่จุ๋ม”
“เนยเหรอ”
“บอกมาเลยว่าเย็นนี้กินข้าวร้านป้าแอ๋วกับใคร”
“จุ๋มรู้ได้ยังไง”
“น้องผู้ช่วยที่วอร์ดเห็นน่ะ ใช่คนที่มาหาตอนกลางวันใช่ไหม”
“ก็เขานั่นแหละ เขาได้เบอร์โทรศัพท์มาจากยุก็เลยโทรมาทวงเรื่องที่เนยต้องเลี้ยงข้าว”
“เลี้ยงข้าวร้านป้าแอ๋วเนี่ยนะเขาไม่บนแย่เหรอ”
“ก็มันใกล้และสะดวกดีไง เขาจะแอบบ่นทีหลังหรือเปล่าเนยก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะบ่นยังไงเนยก็ไม่ได้ยิน”
“กินข้าวแล้วคุยอะไรกันบ้าง บอกหน่อยสิจุ๋มอยากรู้”
“ก็คุยหลายเรื่องถ้าอยากรู้พรุ่งนี้ลงเวรแล้วแวะมาที่ห้องสิ”
“ต้องรอถึงพรุ่งนี้เลยเหรอแล้วคืนนี้จุ๋มจะนอนหลับไหม”
“เรื่องมันยาวถ้าเล่าตอนนี้ก็เล่าได้นิดเดียวแต่ถ้ามาหาที่ห้องจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเลยตกลงไหม”
“เนยก็รู้ว่าจุ๋มอยากรู้แต่ยังแกล้ง”
“แกล้งที่ไหนล่ะ เรื่องมันยาวจริงๆ”
“เนยจ๋าอย่าใจร้าย ตอนนี้ต่อมเผือกของจู๋มกำลังหลังสารอยากรู้ออกมาเยอะเลยนะ”
“ถ้าจุ๋มลงเวรบ่ายมาแล้วไฟห้องเนยยังไม่ปิดจุ๋มก็เคาะเรียกได้เลยแล้วเนยจะเล่าให้ฟัง”
“แบบนี้ค่อยโอเคหน่อย แต่อย่าปิดไฟหนีกันไปเสียล่ะ”