เพลิงแค้นแรงพยาบาท บทที่1.....
“นาง...เรามีแค่นี้ เก็บไว้นะไม่ต้องคืนหรอก” เพื่อนที่ไม่สนิทเลย แค่เห็นหน้ากันในวิทยาลัย’ แต่กลับยืนมือเข้าช่วย แบบไม่ลำเลิกบุญคุณด้วย หญิงสาวก้มหน้าลง เธอซาบซึ้งกับน้ำใจเพื่อน...ในวันที่เธอล้ม วันนั้นเองเธอถึงรู้ เพื่อนกินหาง่าย แต่เพื่อนตายนั่นหายากยิ่ง!!
“ขอบใจนะปูน...ขอบใจจริงๆ” ปูน ปริศา เพื่อนที่หน้าตาธรรมดา เอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือเป็นส่วนใหญ่ เธอเรียนเก่งและไม่สนใจเที่ยวเตร่ เป็นคนเดียวที่คอยเตือนเธอ แต่ช่วงเวลานั้นคณานางค์กำลังเหลิง...
“ไม่เป็นไร รีบกลับเถอะ! ท่านกำลังรอนางอยู่” ปริศาได้แต่เตือนสติ หล่อนสงสารเพื่อแต่ช่วยได้เท่าที่ทำได้
“ฉันจะไม่มีวันลืมวันนี้! ความอัปยศทุกอย่างฉันจะทวงคืน” หญิงสาวเอ่ยอาฆาต หลังกำเงินไว้ในมือ หลังจากเพื่อนที่ไม่สนิทหยิบยื่นสตางค์ให้ แต่ใครก็ตามที่ทับถมเธอ จะขอจำไปจนวันตาย...
แต่ความคับแค้นทั้งหมดจะถูกสะสางได้หรือไม่ เมื่อตัวเองยังเอาไม่รอด...
มีสายตาห่วงใยมองตาม หญิงสาวส่ายหน้า คณานางค์กำลังผูกอาฆาตด้วยใจที่เอนเอียง...จากข่าว...มันเป็นความโชคร้ายของบิดาเธอ แต่มันเป็นวัฏจักรในโลกธุรกิจ มีกลเกม มีเล่ห์เพทุบาย ใครพ่ายคนนั้นคือผู้แพ้ มันต้องมีสาเหตุมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเศรษฐีใหญ่จะพังคลื่นลงมาง่ายๆ ได้อย่างไร...ปริศาได้แต่ถอดถอนใจ และได้แต่เป็นห่วงเพื่อน จากใจจริง...
สิบสองชั่วโมงแห่งความทรมาน บนที่นั่งชั้นประหยัด เมื่อเธอมีงบจำกัดในการอาศัยนกเหล็กเหินฟ้ากลับบ้าน แทนที่ที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสที่เคยใช้บริการเป็นประจำ ที่นั่งคับแคบ อึดอัด...แถมผู้โดยสารร่วมก็แสนจะโสโครก กลิ่นตัวเหม็นเอียนๆ หมอนั่นนอนกรนครอกๆ ตลอดการเดินทาง
“ชึ้ย! ไอ้บ้าเอ๋ย!” หญิงสาวกระทืบเท้าเร่าๆ เธอต้องหารถยนต์กลับบ้าน แต่เพราะงบจำกัดจะให้ใช้บริการลีมูซีนเหมือนเก่าคงไม่ได้ เลยต้องอาศัยแท็กซี่หน้าเลือดกลับมา มันโขกราคาเสียจนเธอแทบจะหมดตัว
กระเป๋าลากที่เหลือแค่ใบเดียว เพราะบรรดาเสื้อผ้าที่เคยมี เธอขายแลกเงินไปเกือบหมด เพราะหากนำกลับมาด้วยก็ไม่มีปัญญาจ่ายค่าฝากกระเป๋า สู้เปลี่ยนเป็นสตางค์ยังดีเสียกว่า
หญิงสาวถอนใจเฮือกๆ ใหญ่ ยืนมองหน้าประตูรั้วบ้านน้ำตาคลอ...
หมายศาล...หมายศาลที่กำหนดวันยึดทรัพย์ชัดเจน...เท่ากับว่าแม้แต่ที่ซุกหัวนอนเธอก็จะไม่มีเหลืออย่างนั้นเหรอ?
“คุณหนู!” เสียงร้องเรียกของ คนงานหน่วยรักษาความปลอดภัยตั้งแต่สมัยเก่าแก่ ลุงยามที่ใจดียิ้มแย้มตลอด เวลานี้กลับหน้าดำคล้ำ เขาวิ่งหน้าตื่นมาหาเธอพร้อมกับน้ำตานองหน้า
“คุณหนูท่านๆ” เสียงสั่นๆ ไหล่สั่นๆ เธอรับรู้ความเสียใจนั่น จนน้ำตาร้อนๆ หลั่งไหลออกมาทันที
“นางรู้แล้วจ้ะลุง พ่ออยู่ที่ไหนคะ?”
แม้น้ำตาจะไหลอาบแก้มเธอก็ต้องฝืนยิ้มสู้ หากเธอแสดงความอ่อนแอออกมาอีกคน ทุกคนจะพลอยกังวลไปด้วย
“ท่านอยู่ที่วัดครับ เข้าบ้านก่อนเถอะครับ พวกเรากำลังรอคุณหนูกลับมา”
สภาพความเป็นอยู่หลังจากผ่านประตูเข้าบ้านเข้ามาได้ เธอเห็นแต่ความทรุดโทรม แทบจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใดเหลือในบ้านสักชิ้น คฤหาสน์หลังใหญ่จึงดูโล่งๆ พิกล
“คุณหนู...” นมย้อย แม่นมของเธอตั้งแต่สมัยเด็ก วิ่งถลาเข้ามาหา พร้อมกับร้องไห้โฮๆ
“ท่านๆ “เสียงสะอึกสะอื้นเพราะต่อมน้ำตาแตก ร่วงอวบท้วมสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น
“นม นางรู้แล้ว...เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมเป็นแบบนี้”
คณานางค์ถามคนใกล้ตัวเสียงสั่น มันปุบปับ จนเธอตั้งตัวไม่ทัน
“พวกเราก็ไม่รู้อะไรหรอกค่ะ คุณท่านไม่เคยบอก”
นั่นสินะ...เธอจะไปถามหาความจริงจากใครได้? เมื่อมันเป็นเรื่องใหญ่ ที่บิดาคงไม่หันมาปรึกษาคนใต้บังคับบัญชา คนที่รู้ดีที่สุด คงไม่พ้น มิเกล บาร์น ไอ้มหาเศรษฐีขี้ฉ้อ ใส่ไคล้บิดาเธอ จนหมดทางเดิน
“ช่างเถอะค่ะ นางอยากไปหาพ่อ” หญิงสาวกลั้นสะอื้น เธอยกมือปาดน้ำตาบนใบหน้า พูดเสียงแหบแห้ง เพราะก้อนสะอื้นตีตื้นจนจุกอยู่ในลำคอ