บทที่3 ยอมแพ้เพื่อเป็นผู้ชนะ 1
บทที่3
ยอมแพ้เพื่อเป็นผู้ชนะ
เดินห่างออกมาได้ไม่ไกล เอมวิกาก็พยายามบิดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม แต่ก็เหมือนภูตะวันจะสนุกเพราะเขาไม่ยอมปล่อย แถมยังบีบกระชับจนแนบแน่นแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
เอมวิกาส่งตาเขียวไปให้ชายหนุ่ม แต่เขากลับไม่สนใจ จนกระทั่งเดินมาถึงห้องอาหารพบหญิงสูงวัยนั่งมองมาทางคนทั้งคู่ เอมวิกาพยายามชักมือกลับ
“ ปล่อยมือฉันสิคุณ ไม่เห็นหรือไงว่าคุณแม่คุณท่านกำลังมองเราอยู่” หญิงสาวกระซิบ
“ เห็นแล้วไง ดีสิ คุณแม่จะได้จัดงานแต่งให้เราเร็วขึ้น เธอเองก็อยากแต่งงานกับผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ บ้า! ใครอยากแต่งงานกับคุณกัน”
“ เธอไงเอมวิกา เธอบอกกับนับดาวไปเมื่อครู่ฉันได้ยินกับหู” ชายหนุ่มกระซิบตอบหญิงสาวอย่างคนอารมณ์ดี แต่ในความรู้สึกของหญิงสาว เธอคิดว่าภูตะวันเป็นผู้ชายที่ร้ายกาจ
“ นั่นฉันแค่อยากแกล้งแฟนคุณต่างหาก”
“ เหรอ!! แต่ที่ฉันได้ยินมาเธอพูดออกมาเต็มปากเลยนะว่า เพราะฉันหล่อ รวย เธอเลยไม่คิดจะปล่อยฉันให้หมาคาบไปแดก”
ชายหนุ่มเน้นคำหนักเบาขณะที่ตอบหญิงสาว
“ อ้าว สองคนนั่นคุยอะไรกันอยู่ แม่รอทานข้าวอยู่นะลูก”
เสียงของคุณวรรณวลีทักเบาๆแต่ก็ทำให้ทั้งคู่ได้สติหันไปมองหญิงสูงวัยด้วยกันทั้งคู่ เอมวิกาสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของชายหนุ่มอีกครั้ง คราวนี้ภูตะวันปล่อยอย่างง่ายดาย หญิงสาวหันไปมองค้อนชายหนุ่ม ก่อนจะเดินไปหาหญิงสูงวัยทรุดตัวลงนั่งพับเพียบตรงหน้าคุณวรรณวลี ยกมือขึ้นกราบไปที่ตักของหญิงชราอย่างนอบน้อม
“ เอมกราบค่ะคุณป้า”
“ ไหว้พระเถอะลูก เป็นอย่างไรบ้างกับการเดินทาง”
“ เรียบร้อยดีค่ะคุณป้า ขอบคุณค่ะคุณป้าที่ถามถึง”
“ จ้ะ แล้วคุณพ่อของหนูสบายดีไหม”
“ สบายดีค่ะคุณป้า หากว่าไม่ติดงานสำคัญ คุณพ่อคงจะมาด้วย”
“ อ๋อจ้ะ โอกาสยังมี ใช่ไหมภู” คุณวรรณวลีเงยหน้าไปถามบุตรชายเป็นนัย
“ ครับ โอกาสหน้ายังมี” ชายหนุ่มตอบรับมารดาทื่อๆ เพราะเขารับมุขที่มารดาส่งมาให้ไม่ทันนั่นเอง
จะเพราะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่เพราะเขามัวแต่มองกิริยาของเอมวิกาที่เปลี่ยนไปได้หลายรูปแบบในเวลาเดียวกัน เมื่อสักครู่ตอนอยู่ต่อหน้านับดาวเธอยังเป็นนางแมวยั่วสวาท พอห่างมาหน่อยเธอกลายร่างจากแมวเป็นเสือ แล้วยิ่งตอนนี้อยู่ต่อหน้ามารดาเขาเธอกลับกลายเป็นลูกแมวน้อยขี้อ้อน
“ ทำไมมองน้องอย่างนั้นละลูก” คุณวรรณวลีถามลูกชายอย่างขำๆ ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น
“ ลุกเถอะหนูเอมเลยเวลาอาหารมานานแล้วหนูคงจะหิวทานข้าวกันเถอะ” หญิงสูงวัยเอื้อมมือไปแตะบ่าหญิงสาวที่เธอหมายหมั้นว่าจะให้เป็นเจ้าสาวของลูกชาย
เอมวิกาลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินมานั่งเก้าอี้ที่ชายหนุ่มเลื่อนให้ คุณวรรณวลีทำสัญญาณมือให้เด็กที่ยืนคอยรับใช้ตักข้าวให้ ขณะที่กำลังลงมือรับประทานอาหารกันอยู่นั้น เสียงแปร๋นที่ทุกคนลืมสนิทว่ายังอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ดังขึ้น
“แหม ดีจังเลยนะคะ ทานข้าวกันไม่มีใครรอดาวเลยสักคน”
คุณวรรณวลีส่ายหน้ากับจานข้าวพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวเหยียด ส่วนหญิงสาวที่นั่งอยู่ก่อนแอบยิ้มอย่างนึกขัน มีเพียงภูตะวันที่ยังคงทำหน้าเฉยเหมือนคนไม่มีความรู้สึกอะไร ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้นับดาวนั่ง
“ ทานข้าวครับน้องดาว”
นับดาวลงนั่งด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นอย่างน้อยภูตะวันก็ยังลุกมาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง แต่ความรู้สึกดีๆที่เธอว่าหาได้อยู่กับเธอนานไม่ เพราะพอเธอเงยหน้าไปมองฝั่งตรงข้ามที่มีคู่หมั้นของภูตะวันนั่งอยู่ ความรู้สึกเกลียดชังก็พุ่งเข้ามาอย่างระงับไม่อยู่ ยิ่งเอมวิกาอาศัยที่ ทุกคนกำลังทานข้าวกันอยู่ แอบส่งสายตามาเย้ยหยัน และดูแคลนให้เธอเจ็บใจเล่นอีก ต่อมความเกลียดสูงปรี๊ดจนสุดระงับไว้ได้ ร่างอวบอัดของนับดาวขยับตัวลุกขึ้นจนเก้าอี้ครูดกับพื้นเสียงดังลั่น
ก่อนที่ทุกคนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ข้าวสวยเม็ดยังอุ่นร้อนก็ถูกสาดเข้าหน้าของเอมวิกาเต็มๆ เอมวิกาผงะอยากจะลุกขึ้นต่อกรกับผู้ที่มาราวีเธอ แต่เมื่อสมองอันชาญฉลาดบวกลบคูณหารในใจอย่างรวดเร็วแล้วคิดว่าไม่คุ้ม เธอจึงแสร้งทำเป็นหน้าใสซื่อถามนับดาวอย่างอินโนเซ้นต์
“ นับดาวเธอทำไมทำแบบนี้ละคะ ข้าวหกเลอะเปื้อนเสื้อผ้าฉันหมดแล้ว โธ่ดูสิคุณป้าเพิ่งกินไปได้ไม่กี่คำเอง”
เอมวิกาเอาชื่อคุณวรรณวลีมาอ้าง และแอบยิ้มอย่างสะใจเป็นไปตามที่เธอคาดการณ์ เพราะภูตะวันหันไปมองหน้านับดาวอย่างไม่พอใจ
“ดาวทำไมทำแบบนี้ ไม่เห็นหรือไงว่าคุณแม่พี่กำลังทานข้าวอยู่ แล้วแบบนี้จะทานกันยังไง”
“ ก็ดาวทนไม่ไหว นังเอมมันเยาะเย้ยดาว”