ตอนที่ 7
“เอ่อ!...ฉันมาหานายเปลวค่ะ” หญิงสาวถามทั้งที่เดาว่าต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน
นามบัตรใบน้อยยังถูกกำแน่นอยู่ในอุ้งมือชื้นเหงื่อ
“ผมเอง เปลวฆวัจน์” เขาแนะนำตัว พร้อมกับก้าวนำไปเปิดประตูบ้าน พลางเอื้อมมือไปกดสวิทช์ไฟที่ซ่อนอยู่หลังเหลี่ยมกำแพงรั้ว
แสงไฟสีเหลืองนวล เปล่งประกายขึ้นจากโคมหัวเสาที่ข้างประตูทั้งขวาซ้าย ไล่มืดออกไปพร้อมๆกับความกลัว กระทั่งหญิงสาวแลเห็นใบหน้าหล่อเหลาได้กระจ่างชัด
“คุณเองหรือ...เปลวฆวัจน์”
สายตาของเธอจับจ้องใบหน้าครึ้มเคราของเขา เรียกชื่อเต็มของเขาออกมา
นายคนนี้หน้าผากสูงและกว้าง จมูกโด่งเป็นสันสูง โค้งคิ้ว เข้ม หนา เชื่อมรับกับหน้าผากลาดทำให้ยิ่งดูหล่อเหลา ดวงตาคมทั้งสองข้าง เรียงเต็มไปด้วยแพขนคิ้วแน่น เป็นระเบียบและสม่ำเสมอ โหนกแก้มสูงนูน ทำให้เบ้าตาหลุบลงไปอย่างได้รูป เมื่อประกอบกับคอและคางที่แลเห็นขอบโค้งเหลี่ยมคมสันชัดเจน ทำให้ใบหน้าที่เห็นนั้นดูคมคร้าม หล่อเหลาน่ามอง
ในดวงตาคมกริบคู่นั้นมีประกายวิบวับกลอกไปมา จนหญิงสาวตะลึงจ้อง มองดวงหน้าของนายเปลวฆวัจน์อย่างลืมตัว
“ไม่ผิดคนหรอกครับ”
เขาตอบอย่างวางมาด ดูสงวนถ้อยคำ และท่าที
หญิงสาวรู้สึกถึงกังวานเสียงของเขา ที่มีพลังอันแปลกประหลาด
การประสานสายตาในจังหวะสั้นๆของชายหญิงที่เพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก…แต่รู้สึกเต็มไปด้วยความแปลกใจในกันและกัน เหมือนมีคลื่นบางอย่างส่งผ่านไปมาจากแววตาของเธอและเขา
หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ก่อเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อสังเกตเห็นดวงตาคมกริบของเขา จับจ้อง มองเธอไม่กระพริบ
ซึ่งการมองแบบนั้น กำลังสร้างความอึดอัดใจให้เธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เอ่อ!....” หญิงสาวกระอึกกระอัก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง กับสายตาคมจนเกือบแข็งกร้าวของเขาที่ทำประหนึ่งว่าเป็นสายตาของนักล่า
‘แต่ก็ช่างเถอะ! อย่าลืมว่านายคนนี้เป็นอดีตนายพรานใหญ่...คงคุ้นเคยกับสัตว์ป่าและการล่าจนคุ้นเคย จึงได้ใช้สายตาเหมือนนักล่ามองเธอ…ทว่าเธอไม่ใช่เหยื่อของใคร!’ หญิงสาวคิดในใจ
“ขอโทษ...ถ้าสายตาของผมอาจสร้างความอึดอัดให้คุณบ้าง” เหมือนเขาอ่านใจเธอออก
“รู้ด้วยหรือคะ?” เธอย้อน
รู้สึกไม่พอใจ หากมีใครสักคนที่ล่วงรู้กระทั่งความคิดของเธอ
“ผมไม่ค่อยคุ้นกับการต้อนรับผู้หญิงในยามวิกาลแบบนี้ โดยเฉพาะ...?” เขาทิ้งท้ายประโยคเอาไว้ให้คนฟังสงสัย หญิงสาวรู้สึกว่าจะดีกว่า ถ้าเขาไม่กล่าวมันออกมาเลย และมันทำให้เธอต้องถามต่อ
“โดยเฉพาะอะไรคะ…?”
หัวคิ้วโค้งราวคันเคียว ขมวดน้อยๆ สู้สายตาเขา คาดคั้นเอาประโยคที่เขากล่าวทิ้งเอาไว้
“โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆอย่างคุณ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หญิงสาวไม่ได้รู้สึกว่ามันคือคำชม หากรู้สึกว่ามันเป็นการไร้มารยาทกับเธอ
“ลุงพิทยากล่าวว่าคุณต่างจากผู้ชายคนอื่น แต่...” หญิงสาวทิ้งท้ายประโยคเอาไว้บ้าง สร้างความอยากรู้ให้กับนายเปลวฆวัจน์ขึ้นมาได้เช่นกัน
“แต่อะไรครับ…?”
เขาเลิกคิ้ว ดวงตาเบิกโต…ถามบ้าง
“แต่คุณก็เหมือนกับผู้ชายทั่วไป...ที่ชอบมองผู้หญิงสวย ชอบแทะโลมด้วยสายตาและคำพูด เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่เห็นผู้หญิงสวยเหมือนของหวานอาหารตา” เธอสัพยอก
“ก็นั่นและครับผู้ชาย...ไอ้ผมมันก็พิสมัยเพศตรงข้ามซะด้วย เป็นคนรักป่า แต่ไม่นิยมไม้ป่าเดียวกัน ขอโทษที่พล่ามออกไปตรงๆ ขอโทษที่ความตรงไปตรงมาของผม อาจทำให้คุณรู้สึกอึกอัด” เขาทำน้ำเสียงตำหนิตัวเอง
“ฉันคงอึดอัด ถ้าไม่รู้เรื่องราวของคุณมาก่อน จากปากของลุงพิทยา แต่ฉันจะไม่ถือสา...คิดซะว่าคุณคนตรง คงจริงที่มีคนบอกว่าคุณเป็นประเภทปากหนัก ขวานผ่าซาก มุทะลุดุดัน”
“ครบสรรพคุณ…คุณวิทยาคงเผาผมซะเกรียม ถึงว่าสิ!...วันนี้จามทั้งวัน” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ อารมณ์ขันของเขา ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย
“เปล่าค่ะ…ลุงวิทยาไม่ได้เผา ไม่ได้นินทา ออกจะเอ่ยชมซะมากกว่า”
“อย่างนี้ผมก็เสียเปรียบแย่…คุณรู้เรื่องผม แต่ผมไม่รู้เรื่องคุณเลย ว่าแต่มีคนสรรเสริญผมขนาดนั้นเชียวหรือครับ”
หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น รอยยิ้มละมุนผุดพรายที่ริมฝีปาก อมยิ้มกรุ้มกริ่ม กอดอกมองเธอ
‘คนแนะนำมาคงลืมบอกไปอย่างนึง…ว่านายเปลวคนนี้ท่าทางเป็นคนเจ้าชู้’ หญิงสาวคิด