ตอนที่ 6
หญิงสาวกลับลงมาจากดอย ถึงพื้นราบก็เป็นเวลาโพล้เพล้ พระอาทิตย์ดวงกลมโตเรี่ยต่ำลงเกือบแตะสันดอย ย้อมแสงสีส้มแดงไปทั่วผืนฟ้าด้านทิศตะวันตก ค่อยๆลดดวงลงทีละน้อยๆ ดูเชื่องช้า แช่มช้อยเป็นฉากหลัง ระหว่างที่หญิงสาวกำลังขับรถแล่นลงมาสู่พื้นราบ
เกือบห้าชั่วโมงของการเดินทาง เมื่อเข้าสู่ถนนสายหลักซึ่งมุ่งสู่นครพิงค์ หญิงสาววาดวงเลี้ยว พารถแกรนด์เชอโรกีสีเทาดำเข้าจอดยังที่จอดรถของโรงแรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ก่อนจะพาร่างกายอันเมื่อยขบ แทบสลบไสล ก้าวออกจากรถอย่างอ่อนล้า
จากนั้นก็เข้าสู่ที่พักซึ่งได้โทรมาจองเอาไว้ล่วงหน้า เช็คอินกับพนักงานสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่หน้าเคาน์เตอร์ เพียงชั่วอึดใจก็รับกุญแจ รี่จากไปเข้าที่พักในทันที
ภายในห้องพักของโรงแรม
เมื่อเสร็จจากอาบน้ำและแต่งตัว หญิงสาวหันไปสำรวจตัวเองที่หน้ากระจกบานใหญ่เพียงครู่ ก่อนจะควักนามบัตรที่คุณลุงพิทยาให้มา พลิกนามบัตรเก่าๆใบนั้นขึ้นดูช้าๆ กวาดสายตาไปตามตัวอักษร สะกดคำว่า ‘เปลวฆวัจน์ ไพรรำพึง’ อยู่ในใจ คิดเรื่อยเปื่อยไปว่าคนอะไร…นานสกุลออกจะเชยๆ เหมือนพระเอกลิเก
ใคร่ครวญไม่นาน
หญิงสาวก็ตัดสินใจออกไปตามหาที่อยู่ของนายเปลวฆวัจน์ในทันที เพราะตระหนักดีว่าความเป็นความตายของชานนท์ผู้เป็นพี่ชาย ไม่ใช่เรื่องที่รอได้
ความเป็นความตายของเขา…อาจขึ้นอยู่กับความพยายามของเธอ
ทว่าข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนในนามบัตรใบนั้น ก็ทำให้หญิงสาวบ่นอุบ
แอบตัดพ้อ รำพึงในใจอย่างอารมณ์เสีย กำนามบัตรใบนั้นเอาไว้แน่น ก่อนจะก้าวออกจากห้องพักเพื่อไปตามหาเจ้าของนามบัตร
‘พิลึกคน! นามบัตรบ้าบอใบนี้ เบอร์โทรก็ไม่มี...มีแค่ที่อยู่กับชื่อของนายให้ฉันต้องบุกบั่นไปหา นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณลุงพิทยาเป็นคนแนะนำมา ฉันไม่มีวันจะดั้นด้นไปตามหานายเด็ดขาด…นายเปลวฆวัจน์’
ค่ำของวันนั้น รถแกรนด์เชอโรกีสีดำ ที่มีร่างอรชรของพริมเป็นคนขับ ค่อยๆชะลอจอดที่หน้าประตูบานกว้างของบ้านหลังใหญ่ ซ่อนตัวมิดชิด เงียบเชียบอยู่ในแสงไฟสลัว ภายใต้อ้อมกอดของแมกไม้ที่แผ่กิ่งสยายก้าน ยื่นออกมาสานสะกันตรงปากทางเข้า ที่เชื่อมกันถนนโรยกรวด ทอดยาวไปสู่ตัวบ้าน
สองข้างทางก่อนจะถึงตัวบ้าน เต็มไปด้วยไม้พุ่มเตี้ยและพงหญ้ายาวสูง
หญิงสาวอดที่จะรู้สึกไม่ได้ ว่ามันออกจะรกหูรกตา มากกว่าน่ารื่นรมย์ หากเจ้าของบ้านที่ชื่อเปลวกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาชอบที่จะเห็นต้นไม้เติบขึ้นอย่างอิสระ ไม่ตัดไม่แต่ง พิศมัยในความรกรื้นเป็นธรรมชาติ ที่ตนมองว่าชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้านั้นน่าร่มรื่นอภิรมย์
ทว่าในสายตาของหญิงสาวผู้มาเยือน กลับรู้สึกกังวลถึงงูเงี้ยวเขี้ยวขอ และสัตว์เลื้อยคลานที่อาจเข้ามาอาศัย
“นี่มันบ้านหรือป่าดงดิบกันแน่”' หญิงสาวกล่าวออกมาลอยๆกับสภาพที่เห็น
เก้ๆกังๆอยู่ชั่วครู่
เมื่อเห็นว่าที่ประตูไม่มีกริ่ง ไม่มีออดกดเรียก จึงพยายามทอดสายตามองผ่านพุ่มใบครึ้มเขียวของต้นไม้ที่บดบังสายตาอยู่ตรงหน้า เนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลาค่ำ ความมืดช่วยซ่อนตัวบ้านให้กลืนไปกับความทึมเทาของราตรีกาล อาศัยแสงจากหลอดไฟเรืองๆที่สาดออกมาจากมุกหน้าบ้าน ช่วยในการเพ่งมอง
ทว่ายิ่งพยายามกวาดสายตามองหาเจ้าของบ้าน ก็ยิ่งได้เห็นภาพของป่าล้อมบ้าน รู้สึกถึงความรกครึ้มจนน่าหลัว
“มีใครอยู่บ้างไหมคะ”
หญิงสาวตัดสินใจตะโกนเรียก
ทว่ามีเพียงความเงียบงันและเสียงจิ้งหรีด ที่สะท้อนตอบกลับมา
“มีใครอยู่ไหมคะ” เธอยังไม่ละความพยายาม
กระทั่งแลเห็นเงาลางๆ วูบไหว ทอดทับเงาของเธอมาจากทางด้านหลัง ดวงไฟจากเสาไฟต้นสูงโย่งเหมือนผีเปรตที่ส่องลงมาจากมุมสูง ทำให้เงานั้นทอดยาวเกินจริง วูบไหวมาที่ประตูรั้ว
“ว้าย!...”
เธอใจหายวาบ หน้าซีด ยกมือขึ้นทาบอกอยู่ในอาการตกใจ
รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ เมื่อมีสายลมวูบผ่านมาเบาๆ พร้อมกับการปรากฏกายขึ้นของเจ้าของเงา
“มาหาใครครับ?”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นทำลายความเงียบงันอันน่าสะพรึง
หญิงสาวหันขวับมาตามเสียง
สายตาปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง
“…..” เธอนิ่ง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เมื่อตระหนักชัดว่าน้ำเสียงที่เอ่ยทักนั้นเป็นเสียงของคน
แต่สายตาก็หวาดหวั่นกับสภาพของบ้านที่ดูลึกลับจนเหมือนกับป่าดงดิบ